บทความหมออมรา
พื้นฐานเพื่อทำภาวนา
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา
วันที่ วันที่ 18 เมษายน 2522
ณ ชมรมพุทธธรรม โรงพยาบาลสิริราช
หมวด
อันดับที่
ดังที่เรียนให้ทราบแล้วว่า การทำภาวนาคือ การมาฝึกให้วิถีของจิตตนเองพื้นฐานโนการทำภาวนา ก็ไม่ได้จำเพาะแต่เวลาที่นั่งภาวนาแบบเป็นพิธีกรรมเท่านั้น แต่เป็น การกระทำต่อเนื่องเพื่อดัดเกลาสิ่งที่เสีย ที่เป็นข้อบกพร่องในตัวเราทิ้งไป และปลูกต้องอุปนิสัยที่ดีให้เกิดขึ้นมาแทนที่ไม่ว่าจะทำสิงใดก็ตามเราต้องเริ่มตันด้วยการมีความเห็นที่ถูกต้อง ในวัตถุประสงค์ของสิ่งที่จะกระทำเสียก่อน ซึ่งเรียกตามภาษาธรรมก็ว่า ต้องมีสัมมาทิฐิ ดังนั้นก่อน ลงมือทำอะไรสักอย่างขอให้ฉุกคิดสักนิด ใช้สติใช้ปัญญา ไตร่ตรอง พินิจพิจารณาให้รอบคอบ มองให้เห็นวัตถุประสงค์ ที่แท้จริง แล้วจึงตัดสินใจกระทำ เมื่อเริ่มต้นด้วยสัมมาทิฐิ แล้ว สิ่งที่ทำลงไป ถือเป็นมรรค ทั้งสิ้นมรรคคือหนทางนำพาเราไปให้ถึงความดี ความ
บริสุทธิ์ ความดับทุกข์ทั้งปวง
เมื่อเห็นถูกต้องแล้ว จะบังเกิดเป็นความสำเร็จไต้ก็ ต้องมีความตั้งใจมั่นคง มีสัจจะ กระทำไปไม่ละไม่ถอย
สิงที่อุปการะให้เราสามารถยีนหยัดทำอะไรไปจนสำเร็จ ไต้นั้น คือ อิทธิบาทสี เราต้องมีความผูกพันรักใคร่ พอใจ แน่นแฟ้นต่องานที่กระทำ คือมีฉันทะ พากเพียรทำสิงนั้น นิวิริยะ เอาใจฝึกใฝ่ไม่วางธุระ มีจิตตะ และหมั่นตริตรอง พิจารณาเหตุผล ให้งานนั้นลุล่วงไปด้วยดีที่สุด นิวิมังสา ในกิจกรรมนั้น ๆเมื่อลงมือทำ มุ่งมั่น แน่ใจ ใฝ่ให้สำเร็จแล้ว ก็ไม่ ใช่สักแต่ว่าทำให้มันเสร็จพ้นหน้าไป ควรนกถึง คุณภาพ ของ มันด้วย ของสิ่งใดก็ตาม ถ้าทำไปด้วยเต็มความสามารถ มุ่งให้มีผลดีที่สุด มันก็เป็นประโยชน์สูงทั้งกับตนและกับ
เพื่อนร่วมโลก
การทำอะไรให้ได้ผลดี ผลเที่ยงตรง สม่ำเสมอ ก็ ต้องอาศัยสติ อาศัยปัญญา เป็นเครื่องเกื้อหนุน ไม่ว่า จะประกอบกิจการใด โปรดคิดไว้เสมอว่า เราคำนึงถึงผล อย่าเป็นคนช่วย อย่าเป็นคนสุกเอาเผากิน เป็นต้นว่า เรา ออกตรวจคนไข้ที่แผนกคนไข้นอก ซึ่งมีคนไข้มาเยอะแยะ เกินคาด เราเริ่มหงุดหงิด เลยคิดเพียงเอาเถอะ เอาเพียง ให้มันเสร็จ ๆ ไปก็แล้วกัน เมื่อทำอย่างนั้น มันมีบางเวลา
ที่คนไข้เหล่านั้นกลับมาใหม่ เราย้อนคิดเสียใจว่า แหม.. นี่นะ ..ถ้าตอนนั้นเราประณีต อดทนอีกลักนิด ก็จะไม่มี ข้อผิดพลาดอย่างนี้เกิดขึ้น หรือว่า แหม.. ถ้าเราได้ทำอย่างโน้น มันคงดีกว่านี้
การกระทำ และความคิดเหล่านี้เป็นนิสัยไม่ดี เพราะ การหวนคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และฉุกเสียใจอยู่เรื่อย ๆ ทำให้ จิตของเราเศร้าหมอง เกิดสนิม เป็นนิวรณ์ เป็นเมฆหมอก มาทำให้จิตใจหมดกำลัง หมดคุณภาพ ถ้าปล่อยให้ใจเป็น อย่างนี้เรื่อย ๆ กำลังที่มีอยู่ และที่จะได้จากการภาวนา จะ ลดน้อยถอยลงไปโดยลำดับ
การแก้ไขคือ เมื่อกิเลส หรืออารมณีบอกให้ทำตาม ใจตัวเอง เราก็เข้มแข็ง รู้เท่าทัน เอาสติ เอาปัญญา มา คุ้มครองแนะสอนใจไว้ บอกว่า เราจะไม่ทำอย่างนั้นเป็น อันขาด ทุกสิ่งที่กระทำลงไป ต้องดีที่สุด สุดสติกำลังความสามารถเราไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะตายไป สมมุติเกิดเหตุสุดวิลัย เรากำลังจะตายไปบัดนี้ วินาทีนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรจะหวนกลับเข้า มาในความคิด มีนจะไม่มีอิทธิพลมาทำให้เราย้อนเสียใจ หรือ เสียดายว่า เราได้ปล่อยให้เวลากินชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์ เราฝึก หัด อย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ ความเบิกบาน ความสงบเย็นของใจ จะมีเพิ่มขึ้นโดยสำดับ และคุณภาพเหล่านี้ จะช่วยให้เวลาทำภาวนา ใจนิ่ง สงบ ลงรวมเร็วขึ้น
เมื่อฝึกตนให้มีอุปนิสัยด้งกล่าวแล้ว ต่อไปก็ควรมี คัล ศีลคือกฎที่เป็นแนว เป็นรั้ว เป็นกรอบ บังคับใจให้มี หลักยึดถือ เป็นปกติ ไม่กวัดแกว่งไปตามโลกธรรมแทนการกังวลกับข้อปลีกย่อย รายละเอียดของศีล ข้อต่าง ๆ ตัวศีลมูลฐานคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ของสิ่งใด เราไม่ชอบ ผู้อื่นย่อมไม่ชอบเช่นกัน เราจะได้ไม่ไปเบียดเบียน ผู้อื่น หรือไปทำให้ผู้อื่นเกิดความเดือดร้อน ไม่สบายใจถ้าพิจารณาศีลห้าแต่ละข้อ แต่ละข้อ ให้ดี ก็จะ เห็นว่าคือการไม่เอาอำนาจของตนหรือใช้สติปัญญาความรู้ไปเอารัดเอาเปรียบ เบียดเบียนผู้อื่นให้เป็นทุกข์ จัด เป็นการเกื้อกูลสังคมให้อยู่ได้ด้วยความสงบร่มเย็น เพราะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้การอยู่เป็นหมู่เป็นคณะ ต้องอาศัยความมีมิตรจิต มิตรใจต่อกันเป็นน้ำประสาน
เมื่อเราละเอียดประณีตขึ้นไป ก็จะเห็นว่าเราไม่เบียดเบียนผู้อื่นแล้วแต่ยังเบียดเบียนตัวเอง อยู่เนือง ๆ
ด้วยการตามใจกิเลส ปล่อยให้มันลากจูง เราไปประพฤติ สิงที่ไม่เป็นแก่นสารสาระ เราก็ปรับศีลให้ประณีตตามขึ้นไป
ด้วยการกดขี่ดัดสันดาน ดัดอารมณ์ ดัดกิเลสของตัวเอง ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ฟ้งเฟ้อในการกิน การนอน การบำรุงบำเรอ อารมณ์ของใจการไม่ฟุ่มเฟือย ฟ้งเฟ้อ ในการกิน การนอนนั้น มีความจำเป็นอย่างไรบ้าง
สิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งต่อการภาวนา ถ้าเรายึดถือ หลักการทีได้สนทนากันมาแล้วในอาทิตย์ก่อน ๆ ว่า ร่างกาย ของเรามาจากธาตุ ถึงแม้เรามีชีวิตอยู่ และคิดว่าอยู่เป็นปกติ แท้ที่จริง มันก็มีสภาวะของการเกิดใหม่ และการตาย เกิด ขึ้นทุก ๆ ขณะ ต่อเนื่องกันตลอดเวลาสิงที่กินเข้าไป คือการนาธาตุดิน ธาตุน้ำ จากอาหาร เข้าไปซ่อมแซมส่วนสึกหรอ พอให้เราได้อาศัยกายนี้เป็นพาหนะไปจนถึงจุดหมายปลายทาง
หากเราไม่มีรูปกาย เราก็ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น และ กาย ซึ่งเป็นเครื่องมือรับสิ่งกระทบ ทำให้สติตามตะล่อม กิเลสที่สะสมอยู่ในใจแล้วปลิวฟ้งขึ้นมาตามแรงกระทบเราจึงสามารถเห็นตัวกิเลส แล้วเอาปัญญาไปตัดให้หลุดขาด ไปจากใจถ้าเมื่อไรเราลืมวัตถุประสงค์นี้ เราจะกินด้วยความ ขาดสติ อร่อย เผลอติดในรส กินโดยไม่ใช่ความจำเป็น
ของธาตุขันธ์ เราก็ต้องใส่เบรคกับมัน มีความประมาณ มีความสำรวมในการกิน กินด้วยความรู้สติ พิจารณาให้ เห็นว่า ทุก ๆ สิ่งนั้น คือดินและน้ำ ที่นำเข้าไปซ่อมแซม เยียวยาธาตุขันธ์การนอนก็เหมือนกัน เรานอนเพื่อให้จิตได้พักผ่อน เพราะคนเราถ้าคิดอยู่วันทั้งวัน ไม่หยุดพักเลย มันก็แย่ ประสาทเครียด หรือบ้าได้เราจึงต้องนอนกันการนอนที่เป็นประโยชน์คือ นอนให้หลับสนิท ไม่ กังวล ฟ้งปรุงไปตามอารมณ์
แต่บ่อยครั้งเราไม่ได้หลับ เราตามใจอารมณ์ที่ยังไม่ อยากลุกขึ้น ยังอยากนอนคิดโน่น คิดนี่ เลอะเทอะไม่ เป็นสาระ ใจไม่มีสติรักษา ปล่อยให้สัญญา ปล่อยให้อารมณ์ เข้ามาพาคิดไปข้างหน้า คิดไปข้างหลัง คิดไปข้างไหนก็ไม่ ทราบ ในเวลาน้อยนิดเพียงเสียวของวินาทีเท่านั้น กิเลส สามารถจูงเราไปให้ก่อบาปทางความคิด ปล่อยใจให้คิดไป โดยไม่มีฝั่งมีฝาหากเราเป็นลมปัจจุบัน ตายไปขณะนั้นเราย่อมไม่มีที่พึ่ง เพราะใจขาดสติ ขาดปัญญาท่านจึงสอนให้สำรวมในการนอน เราต้องรู้จักนอน ให้ถูกต้อง การนอนที่ปลอดภัยคือ เมื่อลงนอน ให้กำหนด สติไว้กับใจ จะโดยดูลมหายใจ หรือบริกรรมพุทโธ หรือ วิธีไหนก็ได้ จนกระทั่งหลับไป เมื่อทำอยู่เรื่อย ๆ เราจะรู้ ได้ว่าตรงไหนสติดับไป และเราหลับพอเมื่อไรก็ตามที่เริ่มรู้ตัว ถอนออกมาจากการหลับ แล้ว ก็เอาสติกำหนดจ่อเข้าไปบางทีถ้ายังอยู่ในท่านอน การกำหนดสติมักลำบาก ท่านจึงแนะให้ลุกขึ้น ล้างหน้า เดิน หรือทำอะไร ที่เป็น การช่วยปลุกให้เราตื่นเต็มตาทันทีคือพยายามตัดสภาวะของการงัวเงีย สภาวะที่สติอ่อนให้หมดไปโดยรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะด้งที่เรียนให้ทราบแล้วว่า ถ้าเราตามรู้ วิถีของจิตของเราได้ตลอดเวลา เราปลอดภัย เรารักษาใจ เราได้ เรารู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราการบำรุงบำเรออารมณ์ของใจ ได้แก่การประเทือง ลูบไล้กายด้วยของหอม ประดับแต้มทา ตกแต่ง ทำให้ บดบังลักษณะแท้จริงของกาย ทำให้ใจหมกมุ่น ยึด พอใจ ในกายว่าสวยว่างาม หรือเผลอสติ ให้ใจปรุงคิดไปตามการ ละเล่นที่ได้ดู ได้ฟัง ใจหลุดไปจากสภาวะเป็นจริงเมื่อมีศีล แล้ว ก็ปลูกฝังธรรมให้งอกงามขึ้นในใจ มีความเข้าใจ ให้อภัยแก่เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย จิต ใจค่อยอ่อนโยน มีพรหมวิหาร เมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่น ได้สุข กรุณา ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มุทิตา มีใจยินดีใน ลาภยศ สรรเสริญ สุข ของผู้อื่น และเมื่อเมตตา กรุณา ช่วยเหลือเขาจนสุดความสามารถแล้ว มันไม่ดีขึ้น ก็รู้จักมี อุเบกขา มีความคิดแนะสอนใจว่า ของทุกอย่างย่อมเป็นไป ตามกรรมของแต่ละบุคคลพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า กรรมเป็นเครื่องจำแนก แจกสัตว์ให้เป็นไปต่าง ๆ กัน เราก็เห็นอยู่กับตาว่า คน ทุกคนเมื่อคลอดออกมาจากท้องแม่ ก็มาตัวเปล่า ๆ เท่ากัน แต่ทำไมทุกคนจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่า ๆ กันไม่ได้เติบโต ขึ้นมาเป็นอย่างเดียวกัน ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจหวังทุกอย่าง ไป มันจะต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นข้อบ่งชี้ หรือข้อบังคับ เอาไว้ ให้มันต้องแปลกแตกต่างกันไปอย่างนั้นเมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ก็พยายามน้อมสอนใจให้ยอม รับตามความเป็นจริงเมื่อได้พยายามท่าทุกสิงอย่างดีที่สุด อย่างประณีต เต็มสติกำลังความสามารถของเราแล้ว อย่าไปกำหนดยึดหมายว่าผลจะต้องออกมาอย่างที่ใจเราอยาก เพราะมีอะไร อีกหลายอย่างที่เรารู้ไม่ได้ รู้ไม่ถึง มาร่วมกำหนด ดังนั้น ผลจะเป็นอย่างไร ขึ้นมาก็ท่าใจให้กว้างยอมรับ โดยเต็มตัวตามสภาพเป็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เอาความเคย
ชินที่แล้วมา หรือความเป็นตัวตนของเรามาตัดสินว่า อย่างนี้ ต้องถูก อย่างนี้ต้องผิดคำว่าฉัน โปรดตัดออกไปให้มากที่สุดพยายามที่จะแลเห็นทุกอย่างเป็นสภาวธรรมเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเป็นสิงจริงจัง เป็นแก่นสาระ ทุกอย่างเป็นเพียง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง แล้ว ถักทอกันทาให้แลดูเสมือนหนึ่งว่ามันมีอะไรเป็นของจริงของจัง แต่แท้ที่จริง มันไม่ได้มีอะไรเลยใจของเราความสำคัญมั่นหมายของเราที่ไปยึดว่าอันนี้เป็นสีแดง อันนั้นเป็นสีดำ เราไปตั้งชื่อมัน เราไปสมมุติ มัน เราไปบอกว่า นึ่เป็นของดี นั่นเป็นของชั่ว แล้วเราก็ไป ติดในสิงที่เราสมมุติ ในสิงที่เราบัญญัติขึ้นมา เมื่อติดแล้ว ก็เข้าไปแบก ไปหาม ไปยึด ไปถือ ไปบังคับว่า เราจะต้อง เป็นผู้กำหนด สิงนั้นจะต้องเป็นอย่างนี้สิ่งนี้จะต้องเป็น อย่างนั้น ความทุกข์ทั้งหลายจึงทับถมทวีคูณขึ้นมาบนจิตใจ ของเรา ก็ทำให้เรานั่นแหละยึดติดอยู่ในสิงที่เราสร้างเราสมมุติขึ้นมาเองเป็นเงาเป็นบ่วงหลอกลวงคล้องตัวเองพาให้จมติดอยู่ในหล่ม เวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ รู้สิ้นได้โปรดพยายามมองให้ชัดเจนตามสภาพความเป็น
จริงแล้วค่อยๆ ปล่อยวางเสีย การภาวนาที่ถูกต้องคือ การภาวนาเพื่อละ เพื่อถอน เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกกิเลสให้ตกออกไปหมดออกไปหลุดออกไปจากจิตใจของตน เพื่อใจจะได้ทรงสภาพความเป็นธาตุรู้เป็นแต่เพียงธาตุรู้อย่างเดียวเท่านั้นไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นมากระทบใจเรา รู้ว่ามันเป็นสุข มันเป็นทุกข์ เราชอบ เราไม่ชอบ เพียงแต่ รู้เท่านั้น ไม่ไปยึดถือไม่ไปปรุงต่อไปเมื่อสามารถทำใจของเราให้เป็นอย่างนี้ได้แล้วเรา
จะรู้สึกว่าใจเบาขึ้น สบายขึ้น เพราะเราได้หัดวิธีดีด วิธี ควบคุมใจให้อยู่ในร่องในรอย ในความมีเหตุผลกำกับ ไม่ใช่ ปล่อยให้อารมณ์ หรือความมัวหมองทั้งหลายมาครอบคลุม อยู่ ทำให้สติปัญญาด้อยคุณภาพลงไปใจแท้ดั้งเดิมที่มีสติปัญญากำกับเป็นของที่ใสมองอะไรก็มองทะลุปรุโปร่งลงไป เห็นถึงสิงที่ติดข้องแปดเปื้อนอยู่เช่นเดียวกับเวลามองลงไปในน้ำ ถ้าผิวหน้าของน้ำนิ่ง ไม่มีลมมากระเพื่อม เราจะมองอะไรที่อยู่ก้นสระก็เห็นชัดแต่เวลามีอารมณ์ หรือมีนิวรณ์ มีกิเลสมาท่าใจเราให้กระเพื่อมให้หมองให้พร่ามัว พอมองเข้าไป จะเห็น แต่เงา เห็นแต่ของไม่จริง เมื่อตามองเห็นไม่จริงใจก็ช่วย
จัดแจงคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้ความปรุงคิดทำให้เราวิ่งตามไป แล้วหลอกตัวของเราเองแทนที่จะค้นคว้าให้รู้ถ่องแท้ว่ามันเป็นอะไนกันแน่ เมื่อฝึกหัดอย่างนี้อยู่เรื่อยๆแล้วเราก็จะตัดกิเลสออกไปทีละเล็กทีละน้อยเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น แทนที่จะวู่วามโกรธหรือตีภายโทษภายนอกโทษบุคคลรอบข้างโทษดินฟ้าอากาศเราจะฉุกคิดว่า เราเองเป็นสาเหตุ แล้วมองเข้าด้านในค้นหาข้อบกพร่องของตนเอง การย้อนมองตนเอง คือการที่มีธรรมในใจ พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งทั้งหลายย่อมมาแต่เหตุธรรมทั้งหลายเกิดมาแต่เหตุ จะสุขจะทุกข์หรือมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมันต้องมีเหตุทั้งสิ้น ค้นเข้าไป ก่อนที่จะไปโทษสิ่งข้างนอกโทษตัวของเราเองก่อน เพ่งโทษตัวของเราก่อน ถ้าตั้งใจปฏิบัติ ต้องมองค้นจนเห็นความผิดของเราเอง แก้ไขตัวเรา ถ้าเรามัวแต่คิดว่า โทษของเราทั้งๆใหญ่โตเท่าภูเขา เราก็ไม่แล หรือถึงแลเห็นก็บอกว่าเรื่องเล็ก
ถ้าเป็นโทษของผู้อื่น แม้เล็กเท่าเม็ดงาก็ทนไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นมันปฏิบัติธรรมไม่ได้ พระพุทธองค์ตรัสแล้วว่า โลกนี้ก็เป็นอยู่อย่างนี้เป็นมาตั้งแต่ดั้งเดิมตั้งแต่ก่อนมีท่านขณะที่มีท่านอยู่โลกก็ยังเป็นอย่างนั้นและแม้ท่านจะปรินิพานไปแล้วโลกก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเพราะโลกก็เป็นโลกเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่มีสาระไม่มีแก่นสารจะยึดถือกำหนดกฏเกณฑ์อะไรกับมันไม่ได้มันจึงเป็นรวงวังของทุกข์ไม่มีความเที่ยงความแน่นอนใครก็ตามที่หลงไปยึดไปผูกพันมั่นหมายว่ามันโน่นมันเป็นนี่จึงเผาจิตของตัวเอง
สิ่งที่จะแก้ไข จะทำให้เป็นของเที่ยง เป็นของที่มีสาระแก่นสานได้ ก็คือจิตของเรา จิตเป็นอมธาตุไม่ตายไม่ได้เกิดไม่ได้ดับเป็นธาตุรู้ ถ้าราไม่ต้องการให้มันขึ้นๆ ลงๆ ลุ่มๆ ดอนๆ สูงๆ ต่ำๆ เราก็ต้องค้าหาวิธีที่จำทำให้มันเที่ยง หนักแน่น สงบ อิสระ เป็นที่พึงแห่งตนได้ ถ้ายอมรับทุกสิ่งความเป็นจริง เด็ดขาด เข้มแข็ง ที่จะมองเข้าไปข้างในค้นหาความผิดของตัวเอง เมื่อพบแล้วก็มีความกล้าหาญ ยอมรับความผิดนั้น และเข้มแข็ง อดทนพารเพียรที่จะข่มขู่ ดัดสันดารของตัวเอง แก้ไขตัวเองปลูกฝังสิ่งดีงามบุญกุศลทั้งหลายให้งอกงามขึ้นมาในตัวเรา เรามีหนทางที่จะเจริญขึ้นไปโดยลำดับ จนถึงจุดหมายปลายทางได้ เมื่อมีหลากคิดอย่างนี้แล้วเราจะเชื่อในเรื่องของกรรมมากขึ้น เมื่อเชื่อในเรื่องของกรรมมากขึ้น และรู้แล้วว่า กรรมคือการกระทำของเราเอง เราจะเริ่มคิดได้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ ณ บัดนี้ในปัจจุบัน อีกครู่ต่อไป มันจะกลายเป็นอดีต กลายเป็นมูลเหตุที่จะส่งผลมาสนองเราในภายภาคหน้า ถ้าเราอยากได้ผลอย่างไร เราก็สามารถควบคุมได้
ด้วยการมีความรอบคอบ มีความละเอียด มีสติรู้อยู่ในสิ่งที่เรากระทำลงไปทุกอย่างในทุก ทุกชั่วขณะ แต่ละปัจจุบันเฉพาะหน้านี้ ถ้าเราควบคุมคุณภาพในการกระทำของเราไม่ว่าจะด้วยกาน วาจา หรือ ความคิด ให้มัสติกับมีปัญญาแนะสอนอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ กรรมที่กระทำไป ย่อมเป็นกุศล ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นผลที่ดีตามคาดหมาย กรรมเก่าที่มีตกค้างอยู่ ที่ไม่สามารถไปแก้ไขอะไรได้นั้น วันหนึ่งย่อมหมดไป ถ้าเราไม่เติมเชื้อใหม่ลงไปด้วยการกระทำอะไรตามกิเลส ทำอะไรตามอารมณ์ ผลที่ไม่พึงปราถานาก็จะค่อยๆหมดไป
ส่งที่มีคุณภาพ ที่กำหนดคาดหมายแน่นอนก็ค่อยๆมาส่งผลและมาบ่งชี้คติที่ เราจะไปในกาลข้างหน้า ทำให้เราแน่ใจมั่นใจว่าไม่มีไรเกิดขึ้น ชีวิตของเราก็อยู่บนหนทางที่ถูกต้องแล้วจิตของเรามีที่ไป มีที่มา ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น จะเป็นความทุกข์ ความไม่ได้ดั่งใจ อย่าเผลอสติไปหงุดหงิด หรือปล่อยสิ่งนั้นสามารถเร้าความไม่มีเหตุมีผล จนเราตอบสนองไปด้วยอารมณ์ ให้น้อมความคับข้อง ความไม่ได้ด่างใจทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาเป็นเครื่องลับสติปัญญา เมื่อเราแลทุกอย่างที่เป็นความทุกข์ความขับข้องของชีวิตในแง่นี้เราก็จะได้ธัมมะได้ความสุข หรือแม้ความได้ดั่งใจไปทุกโอกาสนั้นจะพาให้เราเหลิงเผลอปล่อยสติจากใจได้เช่นกัน
สติเปรียบเหมือนยามเฝ้าบ้าน เมื่อไหราก็ตามที่เราเผลอไม่มียามเฝ้าขโมยขโจรก็จู่โจมเข้ามาได้ง่ายการมีสติรู้อยู่ทุกอิริยาบท หรือทุกชั่วโมงนั้นเป็นของลำบากยากยิ่ง ถ้าทุกอย่างสบายสะดวก ราบรื่น เป็นไปดังใจเราทุกอย่าง ดังนั้นจึงขอให้พยายามน้อมเอาความทุกข์ ความคับข้องทั้งหลายมาเป็นสิ่งสอนใจ พยายามลับ พยายามฝึกสติปัญญาให้มีคุณภาพงอกงามขึ้นไปเรื่อยๆ ท่านอาจารย์สิงห์เคยสอนว่า ที่เราบ่นกันเสมอๆว่าคนสมัยนี้ทำไมจึงดื้อด้าน พูดไม่รู้เรื่อง ไม่ใคร่มีความเป็นคนเสียในตัว ถ้าคิดดูให้ดี ท่านบอกว่า เพราะความชุ่ยของเราทั้งนั้น ทุกวันนี้คนเราทำอะไร มักไม่นึกถึงผลต่อส่วนรวมอย่างไรบ้าง เป็นต้นว่า เราให้อากาศเป็นพิษจากควันรถเสีย ควันโรงงานอุตสาหกรรมทำน้ำให้เป็นพิษจากการปล่อยสารพิษจากโรงงานทิ้งขยะทิ้งสารพัดสิ่งลงไปตามความสะดวกสบาย เราทำให้อะไรต่อมิอะไรรอบตัวเราเป็นพิษไปหมด
ท่านก็ว่า เทื่อเราทำน้ำให้เน่าเสียชีวิตของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น เคยมีชีวิตอยู่ในน้ำ ก็เกิดไม่ได้อาศัยอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะสภาวะไม่เอื้ออำนวย สัตว์บกก็เช่นกัน เราไปทำลายป่า จนมันสูญพันธุ์ แต่กรรมที่สัตว์เหล่านั้นยังคงมีเกี่ยงพันธุ์ของเราอยู่ ทำให้แสวงหาภพใหม่ชาติใหม่เกิด ก็เห็นแต่ภพภูมิคนนั้นแหละที่พอมาอาศัยเกิดได้แต่มันเป็นคนได้เพียงรูปร่าง ส่วนใจยังเป็นสัตว์เช่นเดิม ยังขัดสนบุญกุศลเครื่องเกื้อหนุน ก็เลยเป็นมนุสเดรัจฉาโน กรรมที่เราไปก่อความเดือดร้อนต่อเรา อันนี้เป็นแง่คิดที่ท่านเคยปรารภไว้ เมื่อใดที่เราโวยวายว่า โลกทุกวันนี้เดือดร้อนระส่ำระส่าย ขอได้โปรดฉุกคิดสักนิดนึงว่า มันเป็นผลงานที่เราก่อขึ้นมาเอง ด้วยความไร้สติ เห็นแก่ตัวปล่อยตัวปล่อยใจให้ทำอะไรสบายๆไปตามอารมณ์โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะติดตามมา เราบังคับให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ แล้วจะมาร้องโวยวายเพื่ออะไร ถ้าเล็งเห็นแล้วว่า โลกทุกวันนี้ร้อนลุ่มนักเราต้องแก้ไขคุณภาพให้ดีขึ้น ก็พยายามทำสิ่งที่เป็นธรรมเป็นสารประโยชน์ ผลที่จะเกิดต่อตัวเองและต่อเพื่อนร่วมโลก ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย จึงจะมีคุณภาพแล้วอะไรๆก็ร่มเย็นขึ้นได้ ถ้าจิตของเราหยาบ เราก็ไม่ใคร่เอาใจเขามาใส่ใจเราหรือไม่ใครครวญนึกออกไปกว้างนึกออกไปกว้างๆว่าคนเรานั้นนอกจากจะนึกถึงตัวเองแล้ว ยังต้องนึกถึงผืนดิน แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อากาศ ที่เราได้อาศัยอยู่ ถ้าเราทำแผ่นดินไม่น่าอยู่ ไม่น่าอาศัย แร้งค้า พืชพันธัญหารที่จะใช่เป็นอาหารก็ขาดแคลนไปด้วยทำให้เราเองก็เดือดร้อน คนรุ่นหลังที่เกิดมาก็เดือดร้อนลำบาก แผ่นดินที่ไม่ใช่ของๆเรา เราเพียงแต่มาอาศัยเหมือนเราเข้าพักในโรงแรม แล้วเราก็ทำลายทุกอย่างในโรงแรมให้พงจนหมดสิ้น ผู้ที่จะเข้ามาพักต่อไป จะเอาอะไรอยู่เอาอะไรเป็นเครื่องอาศัยได้ เราแต่ละคนที่มีหน้าที่ ความรับผิดชอบ ที่จะต้องช่วยเหลือ อุปการะเพื่อร่วมเกิดแก่เจ็บตายเท่าที่กำลังความสามารถจะมีอยู่ อนุเคราะห์ เกื้อกูลกันตามฐานะน้ำอากาศก็เช่นกัน เพราะเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง รวมทั้งตัวเราเอง ถ้าหัดมองออกไปให้กว้างขวางอย่างนี้ บางสิ่งที่เรากระทำ อาจมีน้ำใจแล้วโอบอ้อมอารีต่อผู้อื่นมากขึ้นกว่าเป็นอยู่ทุกวันนี้ ยิ่งโลกเจริญวัตถุมากขึ้นเพียงไรมักละเลยด้านจิตใจเพียงนั้น เรามักคิดว่า จิตใจไม่ใช่เรื่องสำคัญหากมองลึกซึ้งจริงจังลงไปจะเห็นได้ว่าการละเลยเหล่านี้ คือ สาเหตุของความเดือดร้อนวุ่นวายทุกวันนี้ ถ้าสนใจปรับปรุงแก้ไขจิตใจของตนให้มีคุณภาพขึ้น ก็พยายามฝึกนิสัยให้เป็นคนละเอียดประณีต พยายามมองอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วยความมีสติ ด้วยความมีปัญญา อย่าปล่อยให้อารมณ์ หรือความไม่มีเหตุผล มาชักพาเรามาทำอะไรลงไปแล้วต้องมาย้อนคิดเสียใจ เพราะการย้อนคิดเสียใจ คิดผูกพันอยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เป็นการขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง
อดีตเป็นสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว แต่ช่วงที่มันเป็นปัจจุบัน เป็นความจริง รอการกระทำของเรานั้นทำไมจึงไม่ไตรตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วค่อยทำลงไปมันอาจลำบากขณะตอนนั้น แต่ก็คุ้มค่าที่จะฝืนใจข่มใจ ฝึก ดัด ให้ตัวเองเป็นคนรอบคอบ ต่อไปจะได้ไม่ต้องวกคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาไปแล้วไม่วกคิดไปทำให้มัวหมองใจไม่มีกำลัง หากภาวนาจะบังเกิดผล ต้องมีใจที่สงบเยือกเย็นพอใจในสิ่งที่ตนมี ตนเป็นไม่คอยเสียดายอันโน้นอยากได้อันนี้ หรือวุ่นวายไปด้วยแรงที่เราไม่อาจบังคับได้ที่จะกระจัดกระจายซัดส่ายตลอดเวลา เราต้องฝึกทำใจให้สงบ ไม่ซัดส่าย ไม่คุกรุ่นเหมือน เป็นไฟไหม้แกลบอยู่ตลอดเวลา ทำใจจะนิ่งก็ไม่นิ่งจะเยนก็ไม่เย็น แต่จะร้อน จนเดือดเป็นปฏิกิริยาเปรี้ยงปร้างออกไปก็ไม่เกิด เป็นใจที่ไม่มีความสงบ
หากใจของเราเป็นแบบที่กล่าวมานี้ จะทำภาวนา อย่างไรก็ไม่เห็นผลก็เกิดความหงุดหงิดแล้วพาลไปคิดว่า การภาวนาไม่ใช่ของที่จะเป็นไปได้ดังที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ซึ่งเป็นสิ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะด้วยความหลงผิดของตัว ด้วยความไม่มีสติไม่มีปัญญา ทำให้เกิดมิฉาทิฐิ ตัดรอนหนทางของตนเอง ถ้าผู้ใดเห็นว่า การทำภาวนาเป็นสิ่งที่เราพอใจ ใคร่จะกระทำ และเป็นหนทางที่จะพาให้เราคติที่แน่นอนมีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ก็หมั่นตรวจสอบตนเอง ไม่ว่าจะนึกคิด จะพูดปราศรัย จำทำกิจการใด โปรดทำไปด้วยความมีสติ มีปัญญา รอบคอบ อยู่ในร่องในรอยดังที่ได้กล่าวมานี้ การภาวนาจะมีผลงอกงามไปโดยลำดับ คนไขย่อมไขน้ำไป ช่างศรย่อมดัดลูกศร ช่างถากย่อมถากไม้ บัณทิตทั้งหลายย่อมฝึกตน
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/2_pawana.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น