วิธีสร้างเสน่ห์
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 8 กรกฏาคม 2546
ณ ชมรมพุทธธรรม โรงพยาบาลศิริราช
หมวด
อันดับที่
ชื่อเรื่องฟังดูจะไม่เป็นการปฏิบัติ เพราะเป็นวิธีสร้างเสน่ห์ เราก็มาดูว่า เสน่ห์นี้ ท่านให้คํานิยาม ว่าอย่างไรในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบาย ว่า เสน่ห์ คือลักษณะที่ชวนให้รัก หรือเครื่องที่ทํา ให้คนอื่นรัก เพราะฉะนั้น ที่เราจะมาพูดกันวันนี้ คือ เรามาหาวิธีปรับปรุงตัวเรา ทําอย่างไรให้เราเป็นที รักของคนทั่วไปจริงๆ แล้ว การปฏิบัติธรรมก็คือการฝึกให้ เรามีเมตตาต่อกันและเมตตาต่อตัวเราเอง คือเรามาทําตัวเราให้รักคนอื่น ให้คนอื่นรักเรา ให้เราเป็นผู้ที่ ไม่ไประคายใคร ทําร้ายใคร นันก็คือการทีเราทํา ตัวเราให้มีเสน่ห์นันเองทีนี้ก็มาดูกันว่า ทีเราว่าเรามาปฏิบัติธรรมนี หัวใจก็คือให้เราเมตตาต่อตัวเอง คือให้ตัวของเรามีความอิ่ม มีความเต็ม คนเราจะเป็นที่รักของผู้อื่นได้เราก็ต้องมีความชุ่มชื้น มีสิ่งที่อิ่มเต็มในตัว ไม่ใช่ว่า เราไปถึงทีไหน เราก็แห้งผาก ดูด... ดูด... ดูดเอาจากสิ่งอื่นคนอื่นจนหมดเกลี้ยง ถ้าเป็นแบบนั้น คนเขา ก็คงรักเราไม่ไหว เพราะเขากำลังสบายๆ เราก็ไป เป็นปลิงดูดจนกระทั่งเขาทุกข์เดือดร้อน มันก็ไม่ไหว ฉะนัน คุณลักษณะที่จะให้คนอื่นร่มเย็นเป็น สุข มีความเอ็นดู รักใคร่เมตตาเราได้ เราเองต้องชุมชื่น เราตองอิ่ม เราต้องเต็มในตัวเรา เพื่อว่าเข้า ใกล้ใครแล้ว เขาจะได้รู้สึกถึงความฉาชุ่มเย็นสบาย ถ้าเขากำลังแห้งแล้งรู้สึกไม่สงบ พอเข้าใกล้เราแล้ว เขาต้องรู้สึกคลีคลาย เบาสบาย ร่มเย็น
สมัยที่ดิฉันเป็นนักเรียนแพทย์ศิริราชปีสุด ท้าย เราอยู่หอ เวลาจะสอบ หาที่เงียบสงบไม่ได้ก็ ข้ามฟากไป แล้วก็เดินไปวัดพระแก้ว ที่วัดพระแก้วไม่มีพระสงฆ์ แต่แปลก พอเข้าไปถึงบริเวณวัดนั่งลงตรงไหนก็รู้สึกชุ่มเย็น ใจที่หงุดหงิด ลุกลนที่กําลังรู้สึกอุ้ยตาย ฉันจะท่องหนังสือจบไหมนี่ กลับเหมือนเรากำลังตกอยู่ในสนามแม่เหล็ก ใจจะสงบพอเริมต้นอ่านหนังสือ ก็จดจ่อสงบอยู่กับหนังสือ สมัยนั้นเรายังไม่รู้ว่าลักษณะอย่างนั่นคือสมาธิ คือ ว่าเราจะทำอะไร ใจเราจดจ่ออยู่กับตรงนั้น จะท่องหนังสือก็ได้เรือ่งดี ถ้ากำลังหงุดหงิดกับอะไร พอไป ถึงตรงนั้นก็เหมือนว่ามันมีอะไรที่ทำให้ใจของเราเบา สบาย ก็เลยรู้สึกว่า วัดพระแก้วนี้ดีแฮะเมื่อไรใจของเรารู้สึกว่าไม่ใช่ใจของเรา เราก็นั่งเรือข้ามฟากไปเดินเล่นออกกำลังกาย บางทีก็ไป นั่งฟังเสียงกรุ้งกริงๆ ตรงลานวัดพระแก้ว หรือถ้าไม่นัง ก็ไปเดินวนจนกระทั่งใจชุ่มชื่นดี ก็ออกไปวน
รอบท้องสนามหลวงอีกหน่อยหนึ่ง พอค่ำค่อยกลับ ก็มีความสุขมากเมื่อไปปฏิบัติจึงได้รู้ว่า สภาพใจอย่างนี้คือใจที่เราอยู่กับขณะปัจจุบัน อยู่กับตัวของเราเองแล้ว มันเป็นสมาธิ ก็ทำให้ใจอันนี้แทนที่จะพร่อง จะหิวอยากโน้นอยากนี่ ไปเกาะโน้นเกาะนี้เกาะนั้น ใจก็สงบอยู่กับตัวเอง ก็อิ่มเต็ม เหมือนที่ครูบาอาจารย์ บอกว่า ใจของเรา เราก็ต้องเก็บไว้ในใจเราสิ เอาไป แขวนไว้กับปลายอ้อปลายแขมได้อย่างไร เดี๋ยวก็ถูก
ลมพายุคืออารมณ์พัดตกลงมาแตกเสียหรอก ก็คือใจของเรา ที่เดี๋ยวก็ไปอยากตรงโน้น เดียวก็ไป
เกลียดคนนั้น เดียวก็ไปดูดๆ ผลักๆ เป็นใจที่ไม่ สบาย ไม่มีเสน่ห์ ไปเข้าใกล้ใครก็เป็นไฟร้อนวูบวาบ ลุกไหม้ สูบซับดูดเขาไปหมดเพราะฉะนัน เราอยากให้เราเป็นที่รักของผู้ คนทั่วไป ทำใจของเราให้ชุ่มให้อิ่มเต็มเสียก่อน เราจะได้ไม่ไปดูดสูบซับเอาอะไรจากผู้อื่นให้เขารู้สึก เดือดร้อน เขาทุกข์ ไม่เป็นปกติสุขเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ลักษณะต่อไปคืออะไร
คนเราโดยมากเมื่อเจอะเจอกัน จะมีความรู้สึก เอ...เขาดูถูกเรา เขาเพ่งโทษเรา หรือเขามีน้ำใจกับเรา เห็นเราเป็นเพื่อน ไม่ถือตัว ไม่ยกตนข่มท่าน ฉะนั้นลักษณะหนึ่งที่จะทำให้เราเป็นที่รักใคร่ของผู้คนทั่วไป คือ เราวางตัวให้เสมอกับเขา สมานัตตตา คือให้ เรากับเขามีความรู้สึกว่า เราต่างมีใจเป็นเพื่อนกัน เสมอกัน ถึงเราจะฐานะสูงกว่าเขา เป็นเจ้านายเขา มีการศึกษาสูงกว่าเขา แต่เราก็ไม่เอาตรงนั้นมาทำให้เขารู้สึกเป็นกำแพง เราทำให้เขามันใจ สนิทใจ
กับเรา มีคนงานคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า พี่สาวของเจ้า นายน่ารักมาก ไม่ถือเนื่อถือตัวเลย แทนตัวเองว่าพี่ กับหนูทุกคำ หนูฟังแล้วยังตกใจเลย เพราะคนอื่นๆ เขาไว้เนื้อไว้ตัว นี่เป็นถึงพี่ของเจ้านาย แต่ทําอย่าง กับว่าท่านเป็นคนระดับเดียวกับเรา คนงานก็ชื่นใจ อะไรๆ ก็อยากรับใช้ทำห้ตรงนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า คนเรานั้นเมื่ออยู่กัน ด้วยพระคุณ พระคุณนี้แม้จะเป็นเหมือนใยไหมเส้น เล็กๆ ก็จริง แต่สามารถผูกใจได้เหนียวแน่น ดีกว่า ที่จะเอาโซ่จะเอาตะปูไปตอกไว้ เพราะของเหล่านั้น แข็งแรงก็จริง แต่มันเจ็บปวด บาดเนื้อบาดใจ พระ เดชนั้นถึงจะแข็งเท่าใดก็ตาม ถ้าทําให้คนที่ถูกบีบ บังคับทนไม่ได้ ยึดต่อสู้ขึ้นมา แข็งเท่าแข็ง เหล็กก็ หักได้ ท่านจึงสอนให้เราทําตัวให้กลมกลืนสม่ำเสมอ กัน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตายหรือเราเกิดคิดขวางโลก เหมือนสมัยนี้ เราไปซื้อของ รุ่นพวกเราจะเรียกลูกค้าว่าคุณ เราจะไม่นับญาติกัน แต่สมัยนี้เขาจะนับญาติ บางคนไม่รู้ว่าเขาควรจะเรียกเราว่าป้า หรือยาย หรืออะไรดี ไป
เรียกว่า ป้า... โกรธ ถ้าเรียกพี่ยังพอทนได้ เพราะฉันยังไม่แก่นะดิฉันเคยประสบมากับตัวเอง กําลังชื่อของ เด็กที่ขายของเรียกลูกค้าด้วยความอ่อนน้อม ถ่อมตน เห็นท่านนั้นเป็นผู้ใหญ่ก็เรียก ป้า แทนที่ จะขายของได้ คุณป้ากลับโกรธมาก กระแทกของที่กำลังเลือกลง แล้วแหวว่าฉันไม่ใช่ป้าเธอ แม่เธอไม่ใช่น้องฉัน เลยไม่ได้ซื้อของ วงแตกเลยดิฉันนึก จริงนะ การทีเราไปทึกทักนับญาติกับใครนี่ ใจเราไม่ได้รู้สึกเป็นจริงอย่างนั้น ก็เป็นสาเหตุให้เกิดปฏิกิริยาติดลบออกมาได้ ทำให้ อีกฝ่ายตกใจจนไม่รู้จะปรับสถานการณ์อย่างไร
แต่ถ้าเราทำในใจของเราให้เป็นธรรมว่า ถึง เราจะไม่ใช่ญาติตามสายเลือด ท่านผู้รู้ก็สอนว่า ในสังสารวัฏนี เราเป็นญาติ เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายกัน เราเสมอภาคกัน ไม่มีใครดีวิเศษกว่าใคร ต่ำต้อยกว่าใคร ไม่มีใครรวย ใครจนกว่าใคร เพราะอริยทรัพย์ของเราก็ปานกันทั้งนั้น บาง คนทำท่าจะสะสมเสบียงได้ก้อนหนึ่ง โลภ โกรธ หลง ซึ่งเหมือนหินแหลมๆ ตกกระแทกลงมาแรงๆ กระปุกออมทรัพย์ของเราก็แตก เสบียงที่สะสมไว้ เป็นทุนรอนยังไม่พอล้างหนี้ ก็เปรียบเหมือนแตก กระจายถูกขโมยไม่เหลือ เราก็ล้มละลายจากความ เป็นมนุษย์ ไม่มีชิ้นดีเลยถ้าพิจารณาอย่างนี้อยู่เนืองๆ ความที่จะไป หลงใหลได้ปลื้มว่าข้าแน่ มันก็ไม่แน่ ทุกคนมีโอกาส เท่าเทียมกัน ท่านอาจารย์ท่านเตือนว่า ไม้ลัมข้าม ได้ แต่คนล้มอย่าไปข้ามเป็นอันขาด เพราะคนบาง คนมีวิบากหนักหนาสาหัส แต่บุญเขาก็มีมหาศาล เหมือนอย่างกับท่านเปรตเศรษฐีในชาดก ที่ท่านเจ้า อาวาสเอามาเล่าขู่เณรน้อยๆ ของท่านเวลาพระเณรออกไปบิณฑบาต ชาวบ้านญาติ โยมก็เต็มใจจบข้าวเหนือหัว ขอถวายจัวน้อย... คือ ภาษาอีสานเรียกเณรว่าจัวน้อย พระเรียกเจ้าหัว ก็เป็นเจ้าหัวจัวน้อย ท่านเจ้าอาวาสบอก ถึงเขาจะ จบข้าวปลาอาหารเหนือหัว ถึงเขาจะเต็มใจใส่บาตรเขาก็ใส่ให้เณรที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าเณรปฏิบัติ ไม่ดี เอาผ้าเหลืองมาครองเฉยๆ พอฉันข้าวชาว
บ้านเสร็จ แทนที่จะภาวนาหรือรักษาให้ใจเป็นบุญ เป็นกุศล แผ่เมตตาไปถึงเขาแล้วเป็นอริยทรัพย์
จริงๆ มัวแต่มาเล่นกันอย่างนี้ เดียวก็ได้เป็นเปรต เศรษฐีหรอกท่านเล่าให้ฟังว่า มีเศรษฐีท่านหนึ่ง ซึ่งปกติ ก็ทำบุญทำทาน ภาวนา รักษาศีล แต่บังเอิญบ้าน ของท่านอยู่ติดพระเจดีย์ทีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ชาวบ้านมีความเลือมใสศรัทธา ช่วยกันทอผ้าด้วย ไหมทอง เอาไปห่มพระเจดีย์ไว้มีลมพายุพัดจนผ้าไหมทองนั้นหลุดจากพระเจดีย์ ปลิวไปตกในบ้านท่านเศรษฐี ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผ้าผืนนั้นเป็นผ้าที่ชาวบ้านห่มถวายพระเจดีย์ แต่ท่านเศรษฐีเกิดวิปริตอะไรไม่รู้ ท่านนึกว่า คง เป็นบุญของเรา พูระจะให้เราได้ผ้าผืนนี้ คล้ายๆ กับ ว่า การที่ท่านทำบุญทำกุศลแล้ว ท่านสมควรได้ผ้านี้ ลมก็ช่วยหอบให้ผ้ามาตกในที่ของท่าน ท่านเลยไม่ เอาผ้าไปห่มคืนพระเจดีย์ ก็ไม่ได้ขโมยนี่ ลมพัดผ้าตกลงมาเอง เพราะฉะนั้นก็เป็นของๆ เรา ท่านเลย เอาผ้านี้มาห่มตัวท่านเอง พอตายไปท่านเลยไป เป็นเปรต ตรงลำตัวที่ผ้าห่มอยู่ ก็มีเป็นแผ่นเหล็ก นาบไฟร้อนทาบติดอยู่ ท่านเศรษฐีได้รับความทุกข์ ทรมาน ร้องกระเซอะกระเซิงไป ทำอย่างไรๆ เหล็ก นาบไฟร้อนก็ไม่หลุดไปจากเนื้อตัวท่าน
ท่านไม่ได้ขโมยก็จริง แต่ก็ไม่มีสิทธิไปดู่ของ พระพุทธเจ้า เขาบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรม สารีริกธาตุ ถึงท่านเศรษฐีจะทำบุญทำกุศลมากแค่ ไหนก็ตาม ชาวบ้านเขาไม่ทอผ้าไหมทองมาให้หรอก ท่านเศรษฐีจึงทุกข์ทรมานมากวันหนึ่ง มีพระธุดงค์ผ่านมา พอท่านเข้าไป พักในถ้าแล้วเริ่มต้นภาวนา หูท่านก็สัมผัสเสียงร้อง ครวญครางของท่านเศรษฐี ท่านจึงกำหนดจิต ถามเจ้าของเสียงว่า ท่านเป็นใคร ทุกข์เดือดร้อนด้วย เรื่องอะไร เราสามารถจะช่วยท่านได้ไหมท่านเศรษฐีตอบว่า เดิมท่านเป็นเศรษฐีทีนี้ด้วยความที่คิดผิดไปก็ไปเอาผ้าที่ลมหอบมาจากพระเจดีย์ทีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุมาห่มตัวเองด้วยกรรมอันนี้ ทำให้ต้องมามีเหล็กนาบไฟแนบติดตัวอยู่ตลอดเวลาพระธุดงค์ถามว่า ท่านสามารถจะช่วยอะไรได้บ้างไหม เปรตเศรษฐีตอบว่าถ้าพระธุดงค์ไปพบ เศษผ้าที่เขาทิ้งแล้วให้ท่านซักบังสุกุล เอามาซักล้างจนสะอาดแล้วเย็บต่อๆกันจนได้ขนาดตามสมควรแล้วเอาไปห่มเจดีย์ร้างอุทิศให้ท่าน บุญกุศลนจะช่วยให้ท่านพ้นจากบาปกรรมได้รุ่งเช้า พระธุดงค์ออกจากสมาธิแล้วระลึก เรื่องได้ ระหว่างธุดงค์ไป ก็ดูตรงไหนมีเศษผ้าที่เขา ทิ้งพอใช้การได้ ท่านก็ซักบังสุกุล เอามาเย็บต่อกัน เป็นผืนไว้ เมื่อยาวพอสมควรจะห่มเจดีย์ได้ ท่านก็มองหาเจดีย์ร้างวันหนึ่งท่านก็พบเจดีย์ล้าง ก็เอาผ้านี้ไปห่มแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่านเปรตเศรษฐีตกกลางคืน ท่านทําสมาธิก็นึก บุญกุศลของ เราจะไปถึงท่านเปรตเศรษฐีไหม ขณะที่กําลังนึก อย่างนั้นก็นิมิตเห็นแสงสว่างสุกใสมากอยู่พอแสงสว่างค่อยจางไป ก็กลายเป็นเทวดา และเทวดาองค์นี้ก็คือท่านเปรตเศรษฐี ซึ่งท่านไม่ได้มีแต่บาปอกุศล เท่านั้น บุญกุศลของท่านซึ่งคอยทำอยู่ก็มีมากท่านชดใช้บาปของท่านไปแล้ว เมื่อได้บุญที่่พระ
ธุดงค์อุทิศจากผ้าบังสุกุลให้ท่าน ท่านก็พ้นจากบาป อกุศล มาเสวยบุญเป็นเทวดาสว่างสดใส ท่านมา อนุโมทนาแล้วขอบคุณพระธุดงค์ท่านเจ้าอาวาสเล่าจบแล้ว ท่านก็ขู่เณรน้อย ทั้งหลายของท่านว่า นี่.. มันจะเป็นเหมือนเปรตเศรษฐี เขาให้ก็จริงอยู่ แต่ว่าเขาให้เณรที่ตั้งใจปฏิบัติ ไม่ใช่เอาผ้าเหลืองมาพันกายแล้วก็วิ่งเล่นกัน แล้วก็ฉัน ข้าวเขาไป ก็เหมือนไปโกงเขา ไปปล้นเขา เอาจีวร เขามาห่มก็เหมือนไปกล่าวตู้ว่าเราเป็นเณรตรงนี้ทำให้เราสะดุดคิดว่า เวลาที่เราไม่ได้ ระลึกนึกถึงว่าเราเป็นอะไร เราทำอะไรอยู่ แล้วทำ ให้สมกับหน้าที่ที่เราเป็น ทั้งๆ ที่ผู้คนเขาก็ให้ด้วย ความเต็มใจ แต่เหมือนเราหลอกลวงเขา เขาให้เรา เพราะเขาเข้าใจผิด อย่างพวกเราถ้าไม่มีความจริงใจ ไม่มีความซื่อตรงต่อสิ่งที่เราทำตามตำแหน่งหน้าที่ แม้จะปรุงแต่งกิริยามารยาทให้มีเสน่ห์ ให้คนที่มา ติดต่อกับเรา เขาหลงเชื่อ เขาดีใจ ไว้อกไว้ใจ แต่จริง ๆ ในใจของเราไม่มีความตังใจจริงกับเขา ไม่ได้ คิดช่วยให้กิจธุระของเขาลุล่วงไปด้วยดี มุ่งแต่ผล ประโยชน์ ให้เขานิยมชมชีนเรา ถ้าเป็นดังนั้นก็เป็นเสน่ห์ปลอม มันจะกลับมาเดือดร้อนกับเรา ไม่ได้ ไปเดือดร้อนกับเขาหรอก มันจะมาเดือดร้อนกับเราเหมือนกับเราไปทําหนี้ทําสิน ไปโกงเขา อย่างที่ท่าน เจ้าอาวาสท่านดุเณรน้อยๆ ของท่านนั่นแหละการที่เราจะทําตัวให้คนอื่นมารักใคร่เรา ให้เราเป็นทีนิยมนัน จะต้องมาจากความจริงใจ ยุคนี้จะมีหนังสือคู่มือวิธีสร้างเสน่ห์ วิธีสร้างคนหนุ่มสาวให้ ประสบความสําเร็จ วิธีสร้างบุคลิกให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ถ้าในใจของเราไม่มีความจริงใจ ไม่ได้ทำขึ้นมาจากความเชื่อว่า กิริยาที่เราทํานั้นเป็นของดี มีคุณมีประโยชน์ทั้งกับผู้รับและทั่งกับเราด้วย เกิดผล เพราะของดีจริง ไม่ว่าศัตรูหรือเพื่อนของ เราเอาไปใช้ มันต้องดีเสมอกัน
ของดีนั้นไม่มีหรอกที่ว่าศัตรูเอาไปใช้แล้วตายแต่เพื่อนหรือเราเอาไปใช้จึงจะเจริญรุ่งเรือง ไม่มี ของที่เป็นธรรม ของที่ดีจริง ถ้าติแล้วมันดีเสมอหน้ากันหมด ไม่ว่ากับใคร ต้องดีเหมือนกันหมด ถ้าไม่ดี ก็ต้องไม่ดีเหมือนกันหมด เป็นต้นว่าเราจะเอายาพิษ ไปเบื่อคนอื่น บังเอิญมือของเรามีแผลถลอก ยาพิษ ที่เราจะเอาไปใช้กับคนอื่นก็ซึมเข้าไปในแผลที่มือเรา เรานี่แหละจะตายก่อนที่จะเอายาพิษไปเบื่อคนอื่น ได้ มันเป็นกฎสากลนี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราคิดจะปรับปรุงตัวเรา ว่าทำอย่างไรจึงจะแต่งกิริยาวาจา รูปลักษณะภาย นอกให้เป็นเสน่ห์ได้ แต่ในใจไม่ปรับปรุง ไม่ดีจริง มันก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้น ความจริงใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้เราเป็นที่รักใคร่ไว้วางใจของ คนอื่นไม่ใช้แต่คนด้วยกัน แม้กระทั่งเทวดาหรือ อมนุษย์ ถ้าเรามีความจริงใจ มีความอ่อนน้อม มี ความเป็นมิตรไมตรี ไปที่ไหนเราไม่ไปล่วงเกินเขา ถึงเราจะเข้าป่าเข้าดงไปปฏิบัติ เราก็จะได้รับความ ร่มเย็นเป็นสุขดังนั้น ผู้ที่มาบวชเป็นพระจึงต้องมีอุปัชฌาย์เพื่ออบรมสังสอนอยู่ด้วยกันอย่างน้อย 5 ปีไม่ใช่ ว่าครบ 5 ปีแล้วทุกองค์จะมีสิทธิธุดงค์ไปได้ตาม ความพอใจ ถ้าอุปัชฌาย์เล็งเห็นว่า นี่ 5 ปีแล้ว แต่ พระยังบุมบ่ามซุ่มซ่าม ดีไม่ดีออกไปจะเป็นอันตราย ท่านก็ไม่ให้ออกไป เพราะพวกเรามองเห็นกันได้แต่ เฉพาะตาเนื้อ แต่เทวดาและอมนุษย์มีกายละเอียด ตาเนื่อมองไม่เห็นเวลาไปตามป่าตามเขา กายละเอียดนี้จะมี อยู่ตั้งแต่พื้นดินที่เราเรียกว่าภูมิเทวดา อยู่ตามต้นไม้ เรียกว่ารุกขเทวดา อยู่ตามถ้าตามเขา เทวดาเหล่า นี้ถึงจะมีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ อิ่มทิพย์ ไม่ ต้องกินข้าวอย่างเรา ท่านดูดีกว่าเรา แต่ว่าจิตใจก็ ยังไม่หมดกิเลส เป็นกามาวจรคือติดอยู่ในกามวัตถุ เหมือนเรา เพียงแต่ว่าท่านดีกว่าเราหน่อยหนึ่ง ตรงที่ใช้ของทิพย์ ไม่ต้องมาใช้ของหยาบๆ เหมือนเรา บางองค์จิตใจท่านยังเหมือนมาเฟียอยู่ เราเกิดเข้า ไปทํากิริยาไม่เป็นที่ถูกกิเลสเข้า ท่านก็นึกว่า ไอ้นี่ แหลมมาหรือ แกล้งมันเสียหน่อยเหมือนสมัยพุทธกาล พระออกธุดงค์ไปตาม ป่า ไม่รู้ธรรมเนียม ไม่รู้วิธีผูกไมตรีกับพวกเทวดา
เหล่าเทวดาเห็นพระธุดงค์เข้าไปพักปฏิบัติในถ้าก็ อนุโมทนาบุญ ปกติเทวดาเหล่านี้อยู่ตามเพดานถ้ำ ก็อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะอยู่เหนือพระ ต้องลงมาอยู่ที่ พื้นดิน ได้รับความลำบาก ครั้นอยู่ไปๆ พระท่านก็ขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ได้ปฏิบัติเคร่งครัดรักษาศีลให้ บริสุทธิ์ เทวดาก็รู้สึกว่าพระมาแย่งที่ของเราแล้วไม่ทําบุญทํากุศลให้อนุโมทนาได้ ท่านก็แกล้งให้พระ อยู่ไม่ได้ เหมือนกับว่าเราไปแย่งบ้านเขา แต่เราไม่รู้เพราะมองไม่เห็น เราไม่มีตาทิพย์ ใจเราก็ไม่ละเอียด ที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ระวังตัวว่า ทุกแห่งที่ไปอยู่ เราจะต้องตังใจใช้สถานทีนันให้เกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อเราแผ่เมตตาออกไปให้เจ้าที่เจ้าทางหรือกายทิพย์ ท่านก็ได้รับกุศลจริง ไม่ใช่ของเก้ จะได้เป็นมิตร มีน้ำใจไมตรีกับเรา
ผู้ใหญ่ปู่ย่าตาทวดจะสอนเราว่า ไปที่ไหนผิด ที่ผิดทาง อย่างน้อยต้องบอกกล่าวเจ้าที่ จุกธูปบอกว่า ที่เรามานี่ มาดีเป็นเพื่อน มาขออาศัยอยู่หน่อยไม่ได้มาล่วงเกินหรือทำอะไรไม่ดี หากเราเป็นคน
สมัยใหม่ เราจะคิดว่า งมงาย คร้าครี เพราะเราไม่ สามารถหากล้องวิเศษที่จะถ่ายรูปกายละเอียดเหล่า นี้มาพิสูจน์ได้ แต่ถ้าคิดว่า ของอะไรก็ตาม ถึงเรา ไม่รู้ไม่เห็น ก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ หรือคิดเอาว่าเรารู้ดี หมดทุกอย่างแล้วค่อย ๆ ศึกษาไป ค่อยๆ ทำใจของเราให้ละเอียดเข้าละเอียดเข้าจนสัมผัสสิ่งนี้ได้ และเชื่อ ขึ้นมา เพราะธรรมไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอามาเขียนเป็น รูปอธิบายกันบนกระดานดํา หรือเอามาพิมพ์เป็น หนังสืออ่านกัน แล้วก็จะรู้เรื่อง มันต้องลงมือปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้วจึงจะรู้เห็นเป็นขึ้นในใจ ให้สัมผัสได้เมื่อเป็นอย่างนี้ มิใยที่ใครจะค้านว่า สิ่งนี้ ไม่จริง เราก็ไม่คล้อยไปกับเขา เหมือนเรากินข้าวอิ่มแล้ว คนมาบอกว่า ตายจริง หน้าตาเธอดูแย่จัง สงสัยจะหิวเอานี่ไปกินเสีย เราก็กินไม่ลงแล้ว หรือเราหิวจนไส้จะขาด เขากลับบอก ดูเธอเป็นน้ำเป็น นวล เธอคงอิ่มแล้ว ม่ต้องกินหรอก เราก็ไม่เชื่อก็เรายังไม่อิ่ม ท้องร้องกร้อกๆ ฟ้องอยู่การปฏิบัติจะทำให้เรารู้เห็นเป็นในใจ เหมือน อย่างกับเรากินข้าวอิ่ม เราก็รู้ว่าเราอิ่ม เราหิว เราก็รู้ว่าเราหิว ใครจะมาพูดอย่างไร เราก็ไม่บ้าตาม ตรงนี้จึงได้ว่า การจะทำตัวให้เป็นที่รักของใคร เรา ต้องจริงใจ เราต้องรู้ตัวเรา เมื่อเราเป็นคนไม่สวย ก็ไม่ต้องปรุงแต่งให้เป็นคนสวยขึ้นมา มันเป็นรูปธรรมนามธรรม อาจเป็นว่าแต่ก่อนนี้ศีลเราบกพร่อง บางคนบอกว่า ที่เราไม่สวยเป็นเพราะเราไม่เคยทำบุญทำทานด้วยเสื้อผ้า อย่าไปเชื่อเขาหลวงปู่หลุยท่านเคยพูดให้ฟังถึงผู้หญิงสวย ที่เป็นนางงาม ท่านว่าไม่ใช่เพราะอานิสงส์ของเสื้อผ้าแพรพรรณที่เธอทำบุญ เป็นเพราะว่าเธอรักษา ศีลมาบริสุทธ์ผุดผ่อง ท่านยังห่วงใยอยากให้เธอได้ มาปฏิบัติเหมือนเรามีสมบัติอยู่ในกระปุกออมสิน เสร็จแล้วก็หลงใหลได้ปลื้มจนลืมใส่กระปุกออมสินต่อ เมื่อวันหนึ่งมาแคะกระปุกออมสินดู เหลือแต่ ลม มันก็จะไม่มีเสบียงเลี้ยงตัวคนที่สวยด้วยศีลนั้นสวยยั่งยืน ถึงแก่แล้วก็ยังสวย ไม่เหมือนคนสวยบางคน เหมือนดอกไม้ที่กำลังบานใหม่ ๆ ก็สวย ถูกแดดถูกลมประเดี๋ยว เดี๋ยวก็เหี่ยวเฉาแล้ว ไม่สวยยั่งยืน ตรงนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ทำให้ใจมีความจริงใจ มีศีลเป็นสมบัติถึงจะสวยสักแค่ไหน พอคบกันไปหน่อยหนึ่ง อ้าปากวาจาของเราก็ไม่สวย ไม่เป็นวาจาน้ำผึ้ง
ท่านผู้รู้จำแนกไว้ว่า คนเราจะพูดจะจา อาจเป็นวาจาเหมือนขี้ก็ได้ อ้าปากพูดนี่ไม่เข้าหูใครเลย เหม็นไปหมด หรือเป็นเหมือนดอกไม้ สวยก็จริงแต่ ไม่มีประโยชน์ คือพูดจาให้คนอื่นฟังดูดี แต่ไปคิด ดูดีๆ ไม่มีคุณ ไม่มีประโยชน์เอาแต่ประโยชน์ใส่ตน ถ้าเป็นอย่างนี้ใครไปหลงคารมก็ขาดทุนวาจา ที่ดีคือวาจาที่เป็นเหมือนน้ำผึ้ง พูดด้วยใจเมตตา เป็นวาจาอ่อนโยน พูดสิ่งที่เป็นความจริง ถูกกาลเทศะ มีคุณ มีประโยชน์ เพราะน้ําผึ้งนอกจากจะ หวาน เอาไปทําน้ำหวานแล้ว ยังเอาไปทำยาก็ได้ มีคุณมีประโยชน์การจะทำตัวให้เป็นที่รักของผู้คน ไม่ใช่เพียง แต่หวังประโยชน์ว่าอะไรที่เขาชอบเราทำแต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่ทำไปอาจผิดกาลเทศะ ไม่เป็นคุณกับเขา แทนที่เราจะบอกเขาตรงๆ เตือนเขาตรงๆ เรากลับยกยอปอปั้นว่าเขาทำถูก ทั้งๆ ทีเขาทําผิด ก็เท่ากับเราทำร้ายเขาให้อับปาง อย่างนี้มันไม่ยั่งยืน เมื่อความจริงปรากฏเขาก็ไม่นิยมชมชื่นเราเราทุกคนมีเสน่ห์อยู่แล้วด้วยการรู้กาลเทศะ ถ้าพากเพียรฝึกไปจนในที่ สุดเป็นอุปนิสัยเราจริงๆ อะไรที่จะพูดออกไป ถึงจะเห็นว่าสิ่งที่เขาทำผิด แต่ ตรงนั้นผู้คนมากมาย กาลเทศะไม่เหมาะ เราก็ปิด ปากเงียบเสีย แต่ไม่พูดสนับสนุนให้เขาเข้าใจผิด ถ้า เขาฉุกคิดได้ เขาต้องเกิดเอะใจแล้วว่าทำไมเราถึง เงียบการไปพูดตำหนิ จะเหมือนกับประจานเขา เพราะกาลเทศะไม่พอเหมาะ แต่เราก็คอยหาโอกาส ที่จะพูดกับเขาเป็นการส่วนตัว จะได้ชี้แจงว่าสิ่งที่ เขาทำนั้นไม่เหมาะไม่ควร เพราะอย่างนี้ๆ เรามี เหตุผล ไม่ใช่ไปก้าวร้าวเขา เราพูดตามจริงด้วย ความสุภาพ เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะปฏิบัติตาม หรือจะยังดึงดันต่อไป เราก็ไม่ไปบีบบังคับเขา เพราะ ถือว่าหน้าที่ของเราคือให้ความจริงกับเขา ถ้าเขา ถามความเห็นว่าเขาควรทําอย่างไร เราก็ชี้แนะ แต่ ไม่ไปบีบบังคับหรือพูดจาให้เขาเจ็บชั้าน้ำใจ
คนบางคน ด้วยความที่รัก เมื่อเขาไม่ทํา อย่างที่เราแนะนำ ก็มีอารมณ์ตัดพ้อต่อว่า อย่างนั้น ก็ไม่เป็นเสน่ห์ แม้จะรักกันแทบตาย ถ้าโดนอารมณ์ อย่างนี้เป็นประจํา ...ไม่ได้ ถ้าเธอรักฉัน ฉันพูดอะไร เธอต้องทำตามฉันหมด มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะ ว่านกอยู่ดีๆ จะให้ลงน้ำไปว่ายน้ำใส่ชุดประดาน้ำอยู่ เรื่อยๆ ก็แย่ มันต้องเป็นธรรมชาติของมันบ้างตรงนี้เอง เสน่ห์ประกอบด้วย หนึ่งมีความจริงใจ สองเคารพในสิทธิของกันและกัน ใครเป็น อย่างไร เขามีธรรมชาติที่เหมือนนกก็จะบิน เรา เหมือนปลาจะว่ายน้ำ ถึงเวลา เราไปว่ายน้ำ เขา ก็ไปบิน เราไว้ใจกันเราอยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ กัน ด้วยเหตุผล อย่างนี้ความน่ารัก ความเป็นเสน่ห์ของเราจึงจะยั่งยืนอยู่กับใครๆก็อยู่ได้ทั้งนั้น กับคนชั่ว ถ้าเราจำเป็นต้องไปอยู่ เราก็อยู่ได้เหมือนที่ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังว่า ช่วงที่ท่านยังหนุ่มที่ที่ธุดงค์ไปก็ยังไม่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าวัดไหนดี วัดไหนไม่ดี ท่านเล็งแล้วว่าวัดนี้ท่าทางเข้าท่า ก็ เข้าไปขอท่านเจ้าอาวาสค้างอ้างแรมด้วย เจ้าอาวาสก็มีไมตรีให้อยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาใกล้ค่าแล้ว สัก ประเดี่ยวก็มีพระลูกวัดมานิมนต์ไปฉันข้าวต้มด้วย กัน ท่านก็เริ่มปริวิตกปกติท่านฉันมื่อเดียว แต่นี่นิมนต์ไปฉันเมื่อ ค่า ครั้งแรกท่านก็ว่าจะโบ๊งเบ๊งออกไปแล้ว ว่ามัน เป็นพระหรือเป็นอะไร อย่างนี้ผิดพระวินัย แต่ท่านก็ ได้สติว่า เขาไม่ได้เชื่อเชิญให้เรามาพัก เรายัดเยียด ตัวเราเองเข้ามา แล้วเขาก็มีน้ำใจไมตรีรับเราไว้ ถ้าไม่มีไมตรี เขาก็แอบฉันข้าวต้มกันเงียบ ๆ ไม่ เอื้อเพื่อเผื่อแผ่มาถึงเรา แสดงว่าเขาจริงใจกับเรา แล้วเราจะไปทำบ้าอย่างนั้นได้อย่างไรในที่สุดท่านก็หาอุบายได้ บอกไปว่า ขอบคุณครับ ผมจัดการมาเสร็จแล้วก่อนจะมาที่นี่ ท่านไม่ ได้บอกว่า ท่านจัดการเสร็จตั้งแต่มื่อเช้า เรียบร้อย ก็ท่านจัดการเสร็จแล้วจริงๆ บัวก็ไม่ซ้ำ น้ำก็ไม่ขุ่น แล้วท่านอธิบายว่า บางครั้งเราอาจไปเจอะเจออะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าเราตรงแต่ตรงผิด กาลเทศะมันก็ไม่งามเพราะที่นี่เขาอาจจะทําอย่างนี้จนถือเป็นปกติก็ได้ เราก็ไม่รู้ด้วยเหตุนี้ อยู่ไหนจะไปทำอะไร ก็ต้องดูให้ถี่ถ้วน ถ้าดูถี่ถ้วนแล้วยังเกิดอุบัติเหตุอย่างนี้ขึ้น ก็ต้องดูว่าเราจะทำอย่างไร ให้เราเอาตัวออกมาจากเหตุการณ์คับขันนั้นได้โดยที่เราเองไม่ขาดทุน ไม่ใช่ ว่าเราจะต้องไปฉันข้าวต้มกับเขา หรือว่าเราไม่ฉันข้าวต้มกับเขา แต่ก็ด่าเขาเปิดเปิงจนกระทังวิวาท
กันเสียหายไปเลย ดีไม่ดีก็พระตีกันหากเราฝึกเราให้มีกาลเทศะแล้วเราก็จะทำตัวเราให้พอเหมาะพอควร เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ตึงเกินไป อัตตกิลมถานุโยค ก็เป็นพิษเป็นภัย หย่อนเกินไป ก็ เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ก็ทําให้เวลากลืนกินชีวิตเรา ไปเปล่าๆ ต้องมัชฌิมาปฏิปทา คือพอดีพองาม
ที่นี้ มัชฌิมาปฏิปทานี เวลาพูดมันพูดง่าย คราวหนึ่งดิฉันพูดถึงเรื่องนี ก็มีคนถามดิฉันว่า ในเมื่ออาจารย์บอกว่า มัชฌิมาปฏิปทา พระพุทธเจ้าก็ ทรงสอนแล้ว ทำไมคนทั้งหลายทีปฏิบัติธรรมถึงจะ ต้องมีเนสัชชิก ถึงจะต้องอดอาหาร ก็บอกแล้วปลาย สุดโต่งนั้นไม่ให้ทำ แล้วทำกันทำไมเราก็บอกใช่ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ตึง เกินก็ไม่ให้ทำหย่อนเกินไปก็ไม่ให้ทำก็เหมือนกับ ถนนนี่ เราก็รู้ว่าจะต้องเดินอยู่กลางถนน แต่ถ้ามา ถนนสายนี้ แล้วเรายังไม่เคยรู้ว่าขอบถนนอยู่ที่ตรง ไหน ที่บอกว่าตึงเกินไปหย่อนเกินไป เราก็ต้องเดิน สิ้ารวจก่อน เราถึงจะรู้ว่าตรงกลางถนนที่ปลอดภัย นั้นอยู่ตรงนี้ การที่ครูบาอาจารย์บอกว่าตึงเกินไปอย่า ทำเมื่อเดินๆ ไป ถนนชักทําท่าเอียงลาด แล้วที่เคย เรีบบก็ชักขรุขระ เราก็รู้ว่าถึงขอบแล้วนะที่เดิน มาใกล้จะอันตรายแล้วนะ เราจะได้ระมัดระวัง ไม่ประมาท แต่ถ้าไม่มีใครบอกเราไว้เลย เราก็เดินด้วย ความเพลิดเพลิน จนตกเหวไปเลยก็ได้ คราวนี้กว่า จะตะกายขึ้นมาได้ก็ย่ำแย่เหมือนกับเจ้าชายสิทธัตถะตอนที่ท่านป่าเพ็ญ ทุกรกิริยา เพราะท่านไม่รู้ว่าแค่ไหนถึงจะเป็นอัตตกิลมถานุโยค ท่านดำริว่า ถ้าร่างกายเหนื่อยมากๆ เราก็คงฟุ้งซ่านไม่ไหว เพราะฉะนั้น ถ้ากายเหนื่อย เพลียมากๆ กิเลสก็คงเหนื่อยไปด้วย แล้วก็คงแห้ง ตายไป ท่านจึงอดพระกระยาหาร จนกระทั่งในที่สุดทรงนิมิตว่าพระอินทร์มาดีดพิณให้ทอดพระเนตรครั้งแรกก็ซึ่งสายพิณเสียติงเปรียะ พอดีดเข้าก็ขาดคราวนี้พระอินทร์กลัวว่า ถ้าขึงตึงไปจะขาดอีก ก็ เลยไม่กล้าซึ่งให้ตึงนัก สายก็หย่อน พระอินทร์ดีดก็ ไม่มีเสียง ก็เหมือนกับพวกเรานี ขอบซ้ายขอบขวา ถนน พวกเราก็รู้กันทังนันแหละ พระอินทร์ก็ค่อยๆ ขันสายพิณให้ตึงเข้าอีกหน่อย อีกหน่อย จนดีดได้ เป็นเสียงไพเราะ เออ... ตรงกลางพอดิบพอดีเลยเจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงได้สติขึ้นมา ร่างกายก็ เหมือนเรือแพ ถ้าเราไปทารุณมัน ไม่ใส่ฟืนใส่น้ำมันเรือจะไปถึงที่ได้อย่างไร ท่านเลยกลับมาเสวยพระกระยาหาร ปัญจวัคคีย์ก็เข้าใจผิดว่า สมณโคดเวียนกลับมาที่ต่ำเสียแล้ว เรา เลิก เลิก ไม่อุปถัมถ์ท่าน แล้ว ไม่มีหวังแล้วที่ท่านจะบรรลุธรรม แต่แท้ที่จริง ท่านกำลังแสวงหาทีพอดีของท่านในการเสวย เพราะ ร่างกายเป็นสิ่งที่พร่องอยู่เนืองนิจ จึงต้องเสวยบ้างเพื่อซ่อมแซมที่สึกหรอไปตัวดิฉันกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ที่ปฏิบัติอยู่พอดีแล้ว จะให้เพียรอะไรมากกว่านี้ เดียวก็ทรมาน
ตัวเองเท่านั้น แค่นี้พอดีแล้ว ต้องนอนแล้ว ท่าน อาจารย์ตอบว่า นี่มันพอดีของกิเลส ดิฉันก็ประท้วง ว่า ไม่ได้ ถ้าไม่นอนจะแย่ ท่านก็สําทับว่า กิเลสน่ะสิ มันให้นอน เราก็ว่าเราทําแทบตาย ท่านว่านันแหละ กิเลส ยังไม่ใช่มัชฌิมาของพระพุทธเจ้า ยังเป็น ย่อหย่อนอ่อนแอท้อแท้เกียจคร้านอยู่ เสร็จกิเลสมัน ต้องเอาให้เกินตาย ถ้ามันจะตายให้มันตายไปเลยแล้วรู้รอดไปเลย นันแหละ จะเป็นทางสายกลางของ พระพุทธเจ้าเพราะฉะนัน พวกเราไม่ต้องกลัวว่าที่เราทํานี้จะตึงเกินไป ยังไงๆ มันหย่อนทุกที ที่เราบอกมัน ตึงไป ท่านอาจารย์ก็ว่าหยอนทุกที ดิฉันก็ไม่เชื่อ อะไรจะหนักหนาปานนั้น
วันหนึ่ง ไปอ่านประวัติท่านพระอาจารย์ฝันท่านเล่าถึงตอนที่ท่านตามท่านพระอาจารย์เสาร์มา พักที่วัดบรมนิวาส เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้วเดินกลับ วัดบรมนิวาสท่านเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งจูง ลูกสาวอายุ2 ขวบกว่าๆ เดินผ่านไป ผู้หญิงไม่ได้มองท่าน เขาก็จูงลูกเขาเดินกันไป แวบเดียวที่เห็น
ใจท่านเกิดความรู้สึกอยากได้ผู้หญิงคนนี้ว่า เมื่อเขามีลูก เขาก็ต้องมีผัว กิเลสกเถียงว่า ไม่ เป็นไร ถึงมีลูกมีผัวก็ยังอยากได้อยู่ คือเวลากิเลสสําแดงฤทธิ์ มันเอาถึงปานนั้นเมื่อกลับถึงวัด ท่านรู้สึกว่า ถ้าฉันจังหันมื้อนี้ คงเสร็จกิเลสแน่ ท่านเลยเอาอาหารที่บิณฑบาตได้ทังหมดเทเข้าส่วนกลาง แล้วลงไปเดินจงกรม จน ท่านพระอาจารย์เสาร์เสร็จจากฉันอาหาร คุยกับญาติโยมเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ขึ้นมากราบขอโอกาสเล่าเรื่องให้ฟังว่า มันเกิดอย่างนี้ๆ ท่านพระอาจารย์ เสาร์ก็ถามว่า แล้วท่านแก้ไขอย่างไร ท่านก็กราบเรียนว่า ท่านไม่ฉันจังหัน ไปเดินจงกรม ท่านพระอาจารย์เสาร์ก็ว่า ดีแล้ว แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไปท่านกราบเรียนท่านพระอาจารย์เสาร์ว่า กระผมจะอดอาหารต่อไปจนกว่าจิตใจจะสงบลง ท่านพระอาจารย์ก็ไม่ว่าอะไรท่านพระอาจารย์ฝันจึงไม่ออกบิณฑบาต เร่งความเพียร เดินจงกรม นังสมาธิ ได้รับความทุกข์ทรมาน เจ็บจนกระทังฝ่าเท้าแตก ใจก็ไม่ยอมเป็นสมาธิ นังสมาธิก็ไม่ลงรวม จะพุทโธหรือบริกรรมอะไร ก็เห็นแต่หน้าผ้หญิงขึ้นมา ถึงขันว่าเขามีลูก
มีผัวแล้วก็ยังจะเอา ท่านคงเดินจงกรมต่อไปจน กระทั่งฝ่าเท้าที่แตกมีเลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุด เจ็บระบมไปหมดท่านตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า ถ้าจะตายก็ขอตาย ในผ้าเหลือง ซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธ์ที่พระพุทธเจ้า ได้ประทานให้ไว้เป็นมรดก เป็นเข็มทิศทางเดิน ถึง จะตาย ก็จะเอามือกุมไว้ไม่ให้หลุดจากกายไปได้ และอธิษฐานต่อไปอีกว่า เมื่อเกิดใหม่ พูดยังไม่ได้ เห็นผ้าเหลืองเมื่อไร ให้มีใจอยากบวช จะได้บวช เร็วที่สุด กิเลสจะได้ไม่มาครอบครองใจท่านอย่าง ขณะนี้คิดอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ทำความเพียรต่อไป จนกระทั่งถึงวันที่ 7 ก็ย่ำแย่มาก เพราะไม่มีสมาธิ ให้เป็นที่พักของใจเลย ทั้งๆ ที่เดินจงกรมจนกระทั่ง กระปลกกระเปลี่ยฝ่าเท้าก็ไม่เป็นเพื่อน มันไม่เอา ด้วยแล้ว นั่งสมาธิก็เมื่อยล้าไปหมด ไม่เป็นอันนั่งไม่มีความสงบเลย เหมือนเราทรมานตัวเราเองชัดๆแต่ท่านก็ไม่ยอมแพ้กิเลสในวันที่ 7 ท่านรู้สึกว่าคงตายแน่ เพราะกาย ย่าแย่ จะเป็นลม จะไม่หายใจแล้ว กิเลสก็กระซิบ ว่า อย่างน้อยก็ต้องเก็บธาตุขันธ์เอาไว้เป็นเรือแพ เพราะถ้าไม่มีธาตุขันธ์แล้ว เราจะปฏิบัติอะไรได้ ตอนแรกท่านเห็นคล้อยตามไป ต่อมาก็ฉุกคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เสร็จกิเลสอีก ก็รีบเอามือกุมจีวรเอา ไว้ อธิษฐานว่า ตายเป็นตายๆ นั่นแหละ ท่านบอก ว่ามันเหมือนกับว่าตายแน่ ขาดใจตายแน่ พอนึกว่าจะตายแน่... มันก็วิบ ลงรวม จิตลงรวม พอลงรวม ถึงฐาน ก็นิมิตว่าท่านกับผู้หญิงคนนี้เคยเป็นคู่ครอง กันมาสัญญาเก่าที่ฝังใจกันมาเพียงแค่นั้น พอท่าน ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง มันมาทดสอบถึงปานนี้ ถ้าผู้หญิงเขามาทำหูทำตา ก็ยังจะโทษว่าเขามายัวยวน นีปรากฏว่าเขาก็ไม่ได้มองหน้าท่านด้วยซ้า เขามัว แต่ดูลูกเขา แล้วก็เดินไปธุระของเขา แต่ใจที่กำลังมาปฏิบัติเพื่อให้เรามีสมบัติติดตัวเป็นอริยทรัพย์นี้ มันทดสอบกันถึงปานนี้
สำหรับพระนั้น ถ้าท่านตัดตรงนี้ได้ ก็เรียก ว่าหนทางเส้นนี้ประจักษ์ชัด มั่นคง สามารถปฏิบัติ ต่อไปอย่างสม่ำเสมอและเบาสบาย มารถึงได้ทดสอบ กันปางตายปานนี้ดิฉันเพิ่งเข้าใจที่ท่านอาจารย์ว่าเอาให้เกินตายถึงจะเห็นธรรม เพราะเราจะประท้วงท่านว่า ทำจนสุดแรงเกิดแล้ว พอแล้ว ต้องพักแล้ว ท่านก็สําทับ ว่ากิเลสน่ะสิ เราก็รู้สึก อะไรนะ ทำจนปานนี้ ตอน ไปเรียนต่อที่เมืองนอกว่าถึงที่สุดแล้ว ยังไม่ทารุณถึง ขั้นนี้ มาอ่านประวัติหลวงปู่ฝันจึงเข้าใจที่ท่านอาจารย์ ว่าต้องเอาให้เกินตายจึงจะได้ธรรม แต่เราก็ไม่ได้ เกินตายสักที หมอบลงหมอนก่อนทุกทีเพราะฉะนั้น การที่จะทำตัวเราให้เป็นที่รัก ของทั้งเทวดา ทั้งอมนุษย์ ทั้งใครๆ ทั้งปวงให้เป็น คนมีเสน่ห์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย กิเลสที่ยังท่วมหัวท่วม หางอยู่เลยทำให้ไม่เป็นที่รัก เดี่ยวก็ไปเหยียบหัว แม่เท้าเขา เดี่ยวก็ไปข่วนเขา ตรงนี้เลยมีแต่เวร ภัยท่วมหัว ถ้าระลึกนึกอย่างนี้เอาไว้ เราก็เพียรพยายามไปเรื่อยๆ ผิดเป็นครู ผิดแล้วอย่าท้อถอยคนโดยมากคิดว่า โอ๊ย... พังแล้ว เลิก ไม่ทำถ้าคิดอย่างนี้ ท่านอาจารย์สิงห์ทองว่าไม่มีวันหรอกที่จะได้เป็นที่รักของใคร ไม่มีวันที่จะได้มีสมบัติติด เนื้อติดตัวหรอก ก็ต้องเป็นตัวบ้าอยู่อย่างนี้ แต่ถ้า เรานึกในใจว่า ไม่มีอะไรยากเกินความเพียรพยายาม ของมนุษย์ ผิดเป็นครู ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้า ท่านเด็ดเดี่ยว ยอมผิดครั้งแรกครั้งเดียว ถ้าเผลอผิด ซื้าอีก ท่านขอตายดีกว่าจะให้ผิดเป็นครั้งที่ 2 เพราะ จะมาลากจูงให้เป็นความเคยชิน พวกศิษย์ก็บอกกับ อาจารย์ ผิดครั้งเดียวเป็นครู แต่อาจารย์ยังไม่ทัน คล้อยหลังเลย มันก็ผิดซ้าอีก แล้วแทนที่จะเสียอก เสียใจ กลับบอก ช่วยไม่ได้ ก็มันผิดไปแล้วท่านสำหรับว่า นี่แหละเจ้าชายสิทธัตถะจึงได้ เป็นพระพุทธเจ้า แต่เราก็ยังเป็นเรา เพราะเราผิดเรื่อย จนกระทั่งเป็นอาจิณกรรม ก็เลยปรับนิสัยไม่หายสักที นึกจะแก้ไขแต่แล้วก็ผัดผ่อนว่า เอาไว้คราวหน้า ค่อยเอาจริง ท่านว่านี่ละมันเป็นอย่างนี้เราก็รู้นะ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่พอถึงวินาทีนี้ มันรู้ด้วยสัญญา ปรากฏว่าเสร็จกิเลสทุกที ท่านอาจารย์ก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ไม่มาฉุดเราขึ้นจากโคลนจากหล่ม สักทีเวลาที่เราไม่ช่วยตัวเราเอง เราไม่มีตนเป็น ที่พึ่งแห่งตน เราก็ไปคิดโทษท่านอาจารย์อีก เพราะฉะนั้นอย่าไปเสียใจ ใจที่ยังมีกิเลสครอบงำอยู่ มันก็ ว่าจะเอาจริง แต่มันก็เอาจริงแบบเด็กเล่น ก็ให้ทำไปเรื่อย อย่าไปท้อถอย เหมือนที่ท่านอาจารย์พระ มหาบัวเคยให้กำลังใจ ลัมลงไปหรือกันกระแทกจน ลุกไม่ขึ้น แต่ปากเราไม่ได้หักนี่นา เพราะฉะนั้น เชียร์ ตัวเองไว้ กูไม่กลัวมีง ทั้งๆที่ก้นกบหักอยู่ ลุกยังม่ขึ้น แต่ปากยังดีอยู่กูไม่กลัวมึง แล้วก็ค่อยๆยักแย่ยักยันพยุงตัวลุกขึ้นมาใหม่ถ้าเราทรหดอดทนกันอย่างนี้ เชื่อว่าหนทาง ยังมี ที่นี้ ที่เราจะพลาด ก็เพราะการจะทำอะไรสัก อย่างเรามักจะรีบร้อน ไปตั้งความหวังเอาไว้ที่ผล พอคิดว่า ฉันจะเปลี่ยนบุคลิกภาพ จะทำตัวให้เป็น ที่นิยมชมชื่น เป็นฉันตัวใหม่ ก็วางแผนเอาไว้เบ็ดเสร็จว่าจะต้องทำได้ภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้ วางแผนเอาไว้ แล้วก็สร้างวิมานในอากาศ ใจก็รุ่มร้อน
ที่จะยังจดจ่อ คอยดูและกระทำแต่เหตุที่เป็นมรรค
จริงๆ ก็ไม่เป็นอันทําแล้ว พอตั้งต้นทําไปได้หน่อยหนึ่งก็ เมื่อไรจะได้ผลล่ะ เมือไรจะสําเร็จล่ะ ตกลง ก็พลาดไปทุกที เหมือนที่ดิฉันรู้สึกว่า วันจันทร์กับวันศุกร์เป็นวันที่เราจะอารมณ์เสีย แล้วก่อหนี้สินให้ตัวเองเดือดร้อนอยู่เรื่อยๆ
เมื่อไปเรียนต่อที่เมืองนอก อาจารย์ที่ปรึกษา ท่านใจเย็น มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ลูกน้องทุกคนไม่ว่าจะเป็นภารโรงหรือใคร ถ้ามีปัญหา เขาจะไปพบท่าน ได้อย่างไม่มีพิธีรีตอง แล้วก็เล่าปัญหาของเขาอย่าง นั้นอย่างนี้ตามสบาย ไม่เหมือนเจ้านายคนอื่นๆ ที่จะ ต้องนัดผ่านเลขาฯ เสียก่อน เราก็นิยมชมชื่นว่าอาจารย์ทำอย่างไรจึงทำให้ลูกน้องเป็นกันเองได้อย่าง นี มีทุกข์โศกอะไรก็สามารถเล่าได้โดยไม่ลำบากใจ ว่าฉันเป็นภารโรงท่านเป็นหัวหน้าวันหนึ่งเราก็เห็นคนงานเอามาเล่าหาท่าน ว่าไม่ใช่เรื่องจริง เพราะเราก็เข้าประชุมด้วยเรารู้แต่อาจารย์ก็ยังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ให้เขาพูดไปสักพักหนึ่งจนเริ่มสบายใจแล้ว อาจารย์ก็ขัดขึ้นเออ ขอผมสรุปก่อนนะ ที่คุณพูดมาทั่งหมดมันเป็นอย่างนี้ๆ ใช่ไหม แยกประเด็นเป็นข้อ 1 ข้อ 2 3 นายคนนั้นก็ตอบ... ครับ ใช่ อาจารย์ก็อธิบายว่า ที่ คุณพูดมายังไม่ตรงกับข้อเท็จจริงอย่างนี้ๆแต่เอาเถอะผมอาจจะฟังในที่ประชุมไม่ละเอียดถี่ถ้วนก็ได้ ผมจะเอาประเด็นของคุณไปถามใหม่ในที่ประชุมคราว หน้า ได้ผลอย่างไรแล้วจะแจ้งให้คุณทราบวิธีที่อาจารย์ย้าว่า ที่คุณพูดนะ อย่างนี้ๆ แยก เป็นข้อ 1 ข้อ 2 เท่ากับตอกย้าให้นายคนนั้นมอง เห็นชัดเจน แล้วจึงเริ่มอธิบายที่ถูกให้ฟัง แต่ก็ไม่ สรุปว่าเธอผิดนะ ฉันจะไปถามให้แน่ นายคนนั้นก็ สบายใจกลับไป แล้วคงคุยกับเพื่อน หรือพิจารณา อีกที รู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจผิดที่ไปโวยวาย ผมไปทบทวนดูแล้ว เย็นก็ไปพบอาจารย์ใหม่ “ท่านครับ ผมมาขอโทษที่ เมื่อเช้าผมเอะอะโวยวาย ผมไปทบทวนดูแล้ว มัน ถูกอย่างที่ท่านว่าจริงๆ ท่านไม่ต้องเอาไปประชุม อาทิตย์หน้าหรอกครับ”ท่านก็ไม่ต้องดูเขา หรือไปเสียอารมณ์ เขาก็ ได้ระบายสิ่งในใจของเขาออกมา ได้เรียนรู้ว่าจะฟังอะไรต่อไปนีต้องฟังให้ดี ให้เป็นเรื่องเป็นราวถ้าเป็นเรา เราก็คง “...ทีหน้าจะมาพูดอะไร ทบทวนให้มันแน่นอนก่อน แล้วค่อยพูด จะได้ไม่“เสียเวลา” เห็นไหม เราเป็นอย่างนี้ เหมือนที่ท่าน อาจารย์พูดไว้ การจะทําตัวให้มีเสน่ห์ ต้องทำตัว ให้ราบเหมือนผ้าปีริว ใครจะหยิบไปซุกตรงไหนก็ ไม่กินที่ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เหมือนฟองน้ำ
แห้ง ๆท่านเคยว่าดิฉันเหมือนฟองน้ำเปียก ๆ หยิบ เข้าก็เปียกเลอะเทอะเขาหมดเลย เราก็มาปฏิบัติจน อัตตาเราลดละดีเป็นฟองน้ำแห้งแล้ว ท่านว่าก็แห้งอยู่หรอก แต่มันไม่ใช่ฟองน้ำ มันเป็นสก๊อตไบรท์ คือหยิบไปซุกได้ แต่หยิบซุกเข้าไปแล้ว เราก็ครูด เขาเลือดไหลซิบๆ เรียกว่าเราสารพัดพิษ ดิฉันก็ว่า ท่านอาจารย์พูดเกินเหตุเกินผลเราพูดอย่างเจ้านายพูดก็ได้ แต่เรากลับพูด แบบขอเหน็บเขาสักหน่อย ว่าเขาสักนิด แต่ไม่ทันรู้ตัว ครันได้ฟังเจ้านาย เป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านถึงเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ใครมีอะไรก็เข้ามาพูดได้ ตรงนี่ เป็นเสน่ห์ของท่านเอง โดยไม่ต้องทำอะไรเราก็ตังใจว่าจะทำอย่างท่านบ้าง เวลาใครมา ตัดพ้อต่อว่า จะจริงหรือไม่จริง ท่านจะพูดสุภาพมาก "ขอโทษครับ ถ้าเรืองเป็นอย่างนันจริงๆ ผมก็ขอโทษ ด้วย” หรือแม้ท่านรู้ว่าเรืองนันไม่จริง ท่านก็ยังพูด ขอโทษเถอะครับ ซึ่งทำให้คู่กรณีโล่งใจ สบายใจเราก็ว่าเราจะหัดพูดให้ติดปากว่า ขอโทษ หรือไครทำอะไรให้ก็ ขอบคุณค่ะ ต่อนี้ไปถ้าคนไข้ พูดข่มขู่เรา เราก็จะ "ขอโทษเถอะค่ะ ว่าไงนะคะ” ก็ "ซ้อมกับกระจกอย่างดี เปล่าหรอก พอถึงวันจันทร์ ไปเจอะเจอเหตุการณ์จริงเข้า แทนทีจะขอโทษเถอะ ค่ะ เราต้งสติ เงียบฟัง คู่กรณีก็ยังพูดไม่หยุด ข่มขู่เสียงดังขึ้นๆ เราก็สติขาดกระจุย ตบโต๊ะเปรียงคุณจะเป็นหมอหรือฉันจะเป็นหมอ พอพูดออกไปแล้วก็นึกได้ เอาละเงียบใหม่ แต่ยังไม่ยอมขอโทษดึงดันว่าไม่ได้ หน้าหักแน่ แต่เมื่อคิดไตร่ตรองว่า ไหนล่ะ ที่เจ้านายเป็นเจ้านาย ที่ทุกคนรักท่าน เพราะตรงนี้ เราก็ต้องทำอย่างท่านให้ได้กว่าจะข่มใจยอมพูดคําว่าขอโทษนี้ หลายอาทิตย์ทีเดียว ที่ต้องต่อสู้กับกิเลสของตัวเอง แต่เมื่อพูดออกไปได้แล้ว ได้ผลเกินคาด ครั้งแรกแม่คนไข้ ร้ายมาก เขาหาว่าเราไม่ได้เรื่อง อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น... ไม่ได้เรื่อง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ผิดเลย แต่ เราก็ "ขอโทษเถอะค่ะ คุณว่ายังไงนะคะ” ให้เขาเล่า ใหม่ เขาก็บังเอิญเป็นคนดี เห็นเราขอโทษ ก็นิ่ง ไป แล้วพอเริ่มเล่าไปได้หน่อยหนึ่ง เขาก็ "เอ๊ะ ฉัน ก็ไม่ดีด้วย” เขาเริ่มเห็นข้อผิดของเขาเราเลยรู้ว่า คำขอโทษ 2 พยางค์นี้มีค่ามาก มาย เพราะถ้ามัวอธิบายว่า เราไม่ผิด อย่างนั้น อย่างนี้ อาจจะทะเลาะกันอีกเป็นครึ่งค่อนชั่วโมงก็ ได้ เรื่องก็จบได้ใน 5 นาที เราเลยมีกำลังใจและ มั่นใจว่า แต่นี้ต่อไปจะขอโทษได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่เอา เป็นเอาตายกันว่าใครผิดใครถูก นิดเดียวก็ถอยไม่ได้ หน่อยเดียวก็ยอมไม่ได้ เวลาปฏิบัติต้องฝึกไปอย่างนี้ แล้วอย่าไปประเมินเวลา อย่าไปคิด นี่ก็วันหนึ่งแล้ว 2 วัน 3 วันแล้ว ยังไม่เห็นได้อะไร เลิกเถอะ ถ้า คิดอย่างนี้จะแก้ไขอะไรตัวเองได้3 วันแล้ว ก็จะเป็นไรไป แค่ 3 วันเท่านั้น เราไปตั้งต้นทำใหม่ ทำหน้าด้านเสียอย่าง ตื้อเท่า
นั้นที่ครองโลก เราก็ทำไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะทำได้ บุคคลล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร ท่านอาจารย์ว่า ไม่ใช่สติ ไม่ใช่ปัญญา เพราะทุกคนมีสติอยู่แล้ว เพียงแค่เผลอปล่อยให้มันไหลหลุดไปเรื่อยๆ
เราควรพยายาม ให้วันทั้งวัน ใจมีสติรักษา ไม่ปล่อยให้ลื่นหลุดไปเหมือนปรอทหลุดมือตกแตก กระจายเป็นก้อนใหญ่ก้อนน้อย วิ่งไปตรงโนันตรงนี้ สติอยู่กับตัวกับใจแล้ว ปัญญาย่อมเกิดขึ้น เพราะใจ ของเราเป็นพุทธะอยู่แล้ว เรารู้ เราตื่น เราเบิกบาน แต่เราชอบเผลอให้กิเลสซึ่งเปรียบเหมือนขี้ฝุ่นมา ปกคลุมใจจนโสโครกกลายเป็นกองขึ้ฝุ่นไป แล้วก็ บอก ฉันไม่มีบุญวาสนา ฉันไม่มีสติปัญญา ท่าน อาจารย์บอก นั่นแหละ กิเลสมันกล่อมทั้งนั้นเมื่อเห็นอย่างนี้ มีกำลังใจอย่างนี้ จะได้ตั้งใจ กระทำบุคคลจะล่วงทุกข์เพราะความเพียร เรา ตั้งใจทำจริงจัง เราก็เห็นผลตามที่ท่านอาจารย์บอกเราทุกคนมีสติปัญญา เรื่องบางเรื่องที่เมื่อ เห็นเข้าก็งงเป็นไก่ตาแตก แล้วรู้สึกว่ายังไงๆ ก็ทำไม่ได้ แต่พอสติมาอยู่กับใจ เราสามารถทําใจให้นิ่ง
ไม่ใช่กระฉอกตึกตัก ๆ ใจของเราจะแวบขึ้นมา คล้าย กับว่าเราเหนแล้วว่าควรจะดูตรงนี้ เริ่มที่จุดนี้
บางครั้งที่เราบอกว่า โอ๊ย.. ไม่รู้จะแก้ไขได้อย่างไร แต่ถ้าตังสติให้ได้อย่างนี วิธีแก้ปัญหาจะ ออกมาละมุนละม่อม ดีอย่างที่เราเองก็งง ว่าเราไปเอาปัญญาอย่างนี้มาจากไหนท่านอาจารย์บอก นี่ละใจของเราเอง ที่จริงมันก็บอกเราอยู่ตลอดเวลา แต่สติของเราไม่มีใจจึงกระเพื่อม คิดโน้น คิดนี่ เสียงผู้รู้ที่บอกมาเตือนมา เลยไม่ได้ยินเหมือนกับเราตั้งใจฟังเสียงอะไรที่เบามากๆ แล้วมีเสียงคนนั้นตะโกนเข้ามา คนนี้ทำเสียงของหล่นโครมครามกลบขึ้นมา เราก็เลยไม่ได้ยินเสียงที่ตั้งใจจะฟัง แต่จริงๆ แล้ว ผู้รู้ของเราบอกวิธีแก้ ปัญหาช่วยเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าจดจ่อตั้งใจฟัง ให้ดี ๆ บางคนจะได้ยินเป็นสำเนียงเสียงของท่าน อาจารย์ ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเสียงใจของเราที่เป็นพุทธะผู้รู้นี่ล่ะท่านจึงว่า ถ้าเราตั้งใจให้มีสติกำกับใจแล้ว พระพุทธเจ้าก็กำลังเทศน์ ท่านอาจารย์ก็เทศน์ให้ เราฟัง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือท่านอาจารย์ ความ จริงก็คือพุทธะที่เป็นธาตุเดียวกันกับใจของเรานี่เอง เมื่อไรที่สามารถเอาสติมารักษาใจไว้ให้แน่วนิ่งเป็น อารมณ์ปัจจุบัน โลภ โกรธ หลง เข้าไปปู่ยี่ปุ๋ยํา ไม่ได้ ความรู้นั้นก็เป็นความรู้หนึ่งเดียวกัน มีศักยภาพเท่ากัน ที่รู้เท่าทันกิเลส เป็นอาสวักขยญาณไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือ พวกเรา ไปจนกระทั่งสัตว์เดรัจฉานสัตว์นรกที่มาเกิด เป็นคนและได้ฝึกสติจนถึงจุดนี้ พุทธะของใจเหล่า นั้นก็จะเป็นพุทธะเดียวกัน เรากับพระอรหันต์กั พระพุทธเจ้าจะเป็นอาสวักขยญาณเดียวกัน ตัดกิเลส หมดสิ้นเหมือนกัน แต่สร้อยถนิมพิมพาภรณ์ที่จะมี หูตาทิพย์ไปรู้ใจคน อภิญญาอะไรเหล่านั้น ไม่เท่า กัน แต่ตอนนี้ท่านอาจารย์สิงห์ทองให้เอาใบไม้ใน กำมือ คือเอาตรงกิเลสให้หมดสิ้นไปก่อน ตรงอื่น อย่าเพิ่งไปเอา เราจะเสียเวลาเถลไถลไปเปล่าๆ เอา
ตรงกิเลสก่อน
เราก็รู้สึกว่าปฏิบัติอย่างนี้มันเซ็ง ไม่มีรสชาติ อยากตื่นเต้น อยากไปรู้ใจเขา อยากเหาะได้ ท่าน อาจารย์ก็ทําให้กิเลสเราลุกฮือ ท่านเล่าว่า สหธรรมิก ของท่าน พอปฏิบัติจิตลงรวมก็รู้สึกเหาะได้ แต่ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าตัวเองเหาะได้จริงหรือเปล่า วันหนึ่ง มีกระดาษอยู่ในมือ ท่านก็คิด ถ้าเราเหาะได้จริง จะ เอากระดาษนี่ไปเสียบไว้กับไม้ตับจากที่มุงหลังคา พอจิตท่านลงรวม ท่านเหาะไปในนิมิต ท่านก็ว่าท่าน เอากระดาษไปเสียบไว้ พอถอนจากสมาธิ ท่าน มองที่มือ กระดาษหายไป ท่านก็มองขึ้นไปที่หลังคา กระดาษเสียบอยู่ตรงนั้นจริง เราฟังอย่างนี้กิเลสก็ลุกฮือเลย ให้ท่านอาจารย์ เทศน์จบเสียก่อน เราจะถามว่าท่านองค์นี้อยู่ที่ไหน เราจะไปปฏิบัติด้วย ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ท่าน อาจารย์ก็เทศน์ขึ้นมาเลย นกก็บินได้ เหาะเหินเดิน อากาศ ไส้เดือนก็ดําดินได้ แล้วมันพ้นทุกข์ มัน หมดกิเลสไหม มีโอกาส มีครูบาอาจารย์สั่งสอนแล้ว จะไปอยากเอาสมบัติพวกนั้นทําไม คำพูดของท่านอาจารย์สาแก่ใจเรา เหมือนถูกท่านฟาดลงกลาง
พอไปเดินจงกรมเข้าก็ฟุ้งซ่านไปอยากอีกแล้ว กิเลสเป็นอย่างนี้ มันตายยาก ประเดียวก็ ทำเหมือนตายไปแล้ว รู้เหตุรู้ผลแล้ว อีกประเดียว ก็ฟื้นขึ้นมาอาละวาดไหม แต่ความดีไมเห็นฟืนขึ้นมาอย่างนี้บ้าง เผลอสติไปวันเดียว ปรากฏว่าฝ่อ ตาย หายสาบสูญไปเลย จนเรารู้สึก แต่ก่อนน้นเราเคยทำอย่างนี้ทุกวันๆ นี่เผลอไปกี่วันเชียว ไม่เห็น มาเตือนเราเลยกิเลสนี่เราว่าจัดการจนหมดสิ้นซากไปแล้ว เผลอกระพริบตาเดียว มันเอาเราไปกินอีกแล้ว เรา ก็ใจง่าย เผลอตามไปทุกที ถ้าคอยระลึกนึกอย่างนี้ เอาไว้ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะทำตัวมีเสน่ห์อย่างไร ให้เราจริงใจเป็นธรรมชาติของเรา อะไรทีเป็นธรรม เป็นศีล ทำเอาไว้ให้เป็นสมบัติศีลจะทำให้เราเป็นเหมือนดอกไม้มีกลินหอม ไม่ใช่หอมเฉพาะตามลม หอมทวนลมได้ด้วย คนเรา ชอบของหอมของงาม เราก็ชอบ ศีลจะทำให้เรามีความงดงาม ใจทีไม่กังวลว่าหน้าฉากเป็นอย่างหนึ่งจะผ่องใส สังเกตท่านที่มีศีล ที่เราก็ให้เมตตานำรักกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นศัตรู หรือมิตร เพราะเราพิจารณาแล้วว่ามีแต่เพื่อนร่วม ทุกข์ เกิด แก่ เจิบ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทีเราว่าเขาเป็นศัตรู เราไปมองเขาในแง่ไม่ดี เหมือน นิทานเรืองลูกหมีกับลูกปลาลูกหมีรักลูกปลา จะเอาลูกปลามาผิงไฟ สอนไว้ว่าหนาวก็ต้องผิงไฟ ถ้าเราเป็นคนดี มีของดีแล้ว หวงแหนเอาไว้คนเดียวไม่ได้ ต้องแบ่งปันกัน
เราถึงจะเป็นทีรักของใครๆ ในโลกนี่ ลูกหมีเป็นเด็กดีถึงแม่ไม่อยู่ก็ทำตามคำสอน แม่จะได้ภูมิใจ จึงไปซ้อนลูกปลาขึ้นมาผิงไฟลูกปลาไม่เคยผิงไฟ ก็คิดไปว่าลูกหมีแอบ โกรธเราเรืองอะไรถึงจะเอาเรามาปิงกินเห็นหรือไม่ คนเราคิดไปคนละทิศคนละทาง สามารถคิดไปได้สารพัดทังนัน แต่ถ้าใจมีศีลมีธรรม มีความจริงใจไว้วางใจต่อกัน ลูกปลาก็จะต้องถาม ลูกหมีว่า จะเอาฉันมาปิงกินหรือ ลูกหมีจะได้อธิบาย ว่าเปล่าฉันจะเอาเธอมาผิงไฟให้อุ่น ฉันรักเธอหรอก ลูกปลาก็จะเข้าใจ แต่คนโดยมากไม่ได้ฝึกให้มีสติรู้
เท่าทันตามจริง ก็จะประท้วงว่า ขนาดจับได้ไล่ทันยัง โกหกตาใสๆ ใจเราเคยระแวงมาอย่างไร เราก็จะ เพ่งโทษกันอยู่อย่างนั้นท่านอาจารย์สิงห์ทองว่า มนุษย์เราเป็นสัตว์ ประเสริฐ มีภาษาพูดจากันแล้ว แก้ปัญหาได้จริงหรือ มันไม่แก้หรอก แต่จะฆ่ากันตายมากขืน เพราะ ที่พูดนันไม่ได้พูดกันด้วยความจริง ว่ากันตามธรรมชาติ แต่พูดและฟังกันด้วยอุปาทานในใจของ แต่ละบุคคล ลูกปลาก็มีอุปาทานในใจ ว่าถ้าใคร เอามันมาใกล้ไฟ ก็คือจะเอามาปิงกิน ลูกหมีก็ไม่ เข้าใจว่าจะปิงปลาไปทำไม เพราะหมีกินปลาดิบ อุปาทานในใจ สิ่งที่เราเคยรู้เคยทำเป็นอุปนิสัย ทำให้คิดว่าคนอื่นก็ต้องรู้ต้องทำเหมือนเรา
ถ้าไม่ปฏิบัติ เราก็นําอุปาทานในใจไปตัดสิน สิ่งที่เกิดขึ้นให้บ่ายเบนไปหมด ก็ไม่ถึงจุดที่จะเข้าใจ กันได้ แต่เมือปฏิบัติแล้ว เราพยายามเข้าใจกัน ให้ เกียรติกัน ที่เขาพูดนันเขาพูดความจริง เราเอง เรา มีศีลเราพูดจริง เขาก็ต้องพูดจริงเหมือนเรา ถึงสิ่งที่เขาพูดเราจะไม่รู้ว่าเป็นอะไร มาจากโลกไหน เรา
ให้เกียรติกัน เชื่อกัน ฟังไว้ แล้วเอาไปพิสูจน์ ไม่ใช่ เอาอุปาทานของเราตัดสินถล่มทลายไปหมด โกหก ตาใส เลิก ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันมันเป็นอย่างนี้ โลกถึงทุกข์เดือดร้อน วุ่นวาย กันไปหมด ทั้งๆ ที่เรื่องจริงก็ไม่มี ท่านอาจารย์ท่าน บอกว่าทุกวันนี้โลกคือโรงบ่มบ้า เพราะต่างก็เอา อุปาทานในใจของตัวมาบริหาร ทั้งๆ ที่เรื่องจริงไม่มี มันก็ดูยุติธรรมกันในระดับเด็กเล่น ถ้าใครตามข่าว ในหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวว่าทหารหญิงของอเมริกันถูก อิรักจับไป ครั้นติดตามข่าวเข้าจริงๆ นักข่าวรายนี้ ไม่ได้เดินทางไปอิรักเลย แต่กุข่าวขึ้นมาจากห้อง พักของตัวเอง แล้วก็ไม่ใช่เพียงข่าวนี้เท่านั้น ยังมี ข่าวอื่นอีกของหนังสือพิมพ์ไทม์คนในปัจจุบันนี้ทําอะไรไปตามอุปาทานในใจ จนกระทั่งเห็นว่าเรื่องที่ตนคิดเอาเองนี้เป็นเรื่องจริง แล้วก็สามารถเอามาตีพิมพ์ไปทั้งโลกทั้งที่ไม่ใช่เรื่อง จริง แต่เป็นความเพ้อฝัน ท่านอาจารย์ถึงว่าในโลก นี้ผู้คนกำลังป่วยเป็นโรคจิตกันทั่วไปหมด ถ้าเราแยกแยะไม่เป็น เราฟังอะไรแล้วก็ปลิวตามไป เราก็
จะบ้า เอาตัวไม่รอดวิธีแก้ วิธีสร้างเสน่ห์ให้ตัวเอง ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หัวเราะเข้าไว้ แล้วไม่ต้องไปเอาจริงเอาจัง กับมัน ไม่ต้องไปถามหาว่าเธอบ้าถึงขันไหน ความจริงเป็นอย่างไร เพราะมันพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วบ้าถึงขั้นนี่มันพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ปล่อยไปก่อนรักษาใจเราไว้ อย่าติดเชื่อบ้าตามไป ทำภูมิคุ้มกันให้ดีเอาไว้ แล้วเราจะมีเสน่ห์ อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ก็มาดูว่าภูมิคุ้มกันจะ คุ้มครองเราให้รอดปลอดภัยจากโลกบ้าๆ ใบนี้และพอจะเหนียวนําใครให้สร้างภูมิคุ้มกันอย่างเราได้บ้าง นั่นแหละ สังคมของเราจึงจะกลับมาเป็นปกติสุขไม่อย่างนั้น โรคบ้านี่จะแผ่ขยายลุกลามไปโดยรอบ แล้วสุขภาพใจของเราก็พังไปด้วยเดียวนี้เราไม่รู้ว่ามันไปกันถึงระดับไหนแล้วหนังสือพิมพ์ก็เอาเรื่องไปเข้าอินเทอร์เน็ต เข้าโน่นเข้านั่น จนเราไม่รู้แล้วว่านี่เราคิดเอาเอง หรือเป็น เรื่องจริงที่เกิดขึ้น ถ้าตั้งสติไม่ได้ เมื่อหูเราได้ยินเสียงเขาพูด เราก็ไม่รู้ว่านี่เขาพูดเรื่องจริงหรือเรื่อง เพ้อฝันอะไรที่ไม่ได้เห็นด้วยสองตาของเราจากต้นตอ ไม่ได้ยินด้วยสองหูจากต้นตอ กองเอาไว้ก่อน ท่านอาจารย์สิงห์ทองบอกให้ถือว่าเป็นความฝันทั้งนั้น เราต้องไม่เป็นนักทำนายฝัน ถ้ามีสติระลึกได้ เราจะปลอดภัย เพราะทุกวันนีมันแย่อย่างนี้จริงๆ เรื่อง ช่างเหลือเชื่อคราวหนึ่ง ในที่ประชุม ท่านประธานใหญ่พูด กับที่ประชุมว่า เรื่องจากคราวที่แล้วได้เวียนให้ทุก คนดูแล้ว และทุกคนก็ลงมติเห็นชอบด้วย ทุกคนก็ มองหน้าเลขานุการ เพราะทุกคนไม่ได้เห็นหนังสือ เวียนเรื่องนี้เลย แต่ท่านประธานยืนยันว่าได้เวียน เรียบร้อยแล้ว เลขานุการก็ไม่กล้าอธิบาย เพราะอยู่กลางที่ประชุม เมื่อจบประชุมแล้ว คุณเลขานุการก็ไปถามท่านประธานว่า เรื่องนี้ท่านมอบให้กระผมตอนไหน เมื่อไร
ท่านประธานไปคันในลินชัก ปรากฏว่าเรือง ยังอยู่ในแฟ้มของท่าน ไม่ได้ยืนให้เวียนออกไป ท่าน คิดเอาเอง เพราะท่านอยากให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ ท่านไม่ได้เอาออกมาให้เลขานุการ กลัวว่าถ้าเอาออกมาให้ที่ประชุม ที่ประชุมจะคัดค้าน หรือมีปัญหา ท่านยังตัดสินใจไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี ก็เลยตกค้างอยู่ในแฟ้มของท่านท่านคิดกลับไปกลับมาจนสะกดจิตตัวเองว่า ท่านได้เวียนไปแล้วและทุกคนเห็นด้วยแล้ว จะเห็น ได้ว่าใจของคนเรา ถ้าไม่เอาสติคอยกำกับให้อยู่ กับความจริงนี่ เราบ้าได้แบบนี้
ถ้าบ้าแบบเด็ก ๆ เป็นต้นว่า เด็ก ๆ เล่นเอา วงยางสะตื้กมาเป่ากบกัน แล้วก็คิดว่าวงยางสะตื้ก นี้เป็นสมบัติอันมีค่า ก็ตีกันตาย เหมือนกับสมัยที่ ดิฉันเป็นนักเรียนแพทย์ปี 4 มีเด็กเป็นโรคฮีโมฟีเลีย คือถ้าเกิดบาดแผลแล้วเลือดจะไหลไม่หยุด นักเรียนแพทย์และพยาบาลก็ถูกสั่งถูกสอนกันไว้ว่า ห้ามผู้ป่วยคนนี้ตีกับเพื่อนเป็นอันขาด จะเดินจะเหิน จะชนโต๊ะชนตั้งอะไรไม่ได้ เจ้านี่ถูกประคบประหงม ราวกับไข่ในหินวันหนึ่ง มีคนไข้ใหม่เป็นเจ้าพ่อมา ก็ท้าเป่า กบกัน คนไข้ใหม่ขี้โกงอ้างว่าตัวเองชนะ ว่าแล้วก็จะรวบวงยางสะตื้กทั้งพวงที่ร้อยกันไว้ไป ก็เลยมีเรื่อง ชกต่อยกัน พยาบาลมาแยกคู่กรณีออก ดูเนื้อตัวก็ ไม่มีบาดแผลฟกชั้าดําเขียวที่ไหน ก็คลายความ ห่วง แต่เราซักเริ่มรู้สึกผิดปกติ เพราะตกบ่ายเจ้านี่ ไม่ลุกขึ้นกินอะไร นอนซม ท้องก็ป่องโตขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไร เพราะเราหารอยฟกชั้าดําเขียว หรือบาดแผลไม่ได้เลย สายวันรุ่งขึ้นจึงฉุกคิดได้ไม่ทันแล้ว เพราะเลือดออกที่ตับ ไหลซึมไม่หยุดจน เต็มช่องท้อง เด็กก็ตาย
เราก็ว่ากันว่า เด็กพวกนี้มันบ้า ชกกันตาย เพียงเพราะวงยางสะตื้กราคาไม่กี่สตางค์ ถ้าย้อน มาดูพวกเราที่ยิงกันตาย ฆ่ากันตาย เพียงเพราะ กระดาษที่พิมพ์ไว้ว่า ใบละพัน ใบละห้าร้อย ก็เป็น ทำนองเดียวกัน กระดาษที่ไหม้ไฟไปแล้ว เราแยก ได้ไหมว่าแผ่นไหนเป็นเศษกระดาษ หรือไบละพัน ใบละห้าร้อย มันก็บ้าเหมือนๆ กัน โลกนี้เป็นโรง บ่มบ้า แต่เราบ้ามีระดับ เด็กบ้าวงยางสะตี้ก ส่วน เราบ้าแบงค์ บ้าขุดทอง ฆ่าฟันกันตายด้วยความ โลภ
ถ้าเราไม่เห็นเป็นทอง เห็นเป็นก้อนกรวด ก็ ไม่บ้าฆ่ากันเพราะก้อนกรวด ทั้งทีเป็นเรื่องสมมติ กันอย่างนี้ก็ยังบ้ากันอยู่ ถ้าเราต่างมองตามสภาพ ความเป็นจริง ก็จะหายจากโรคบ้า เป็นที่รักของผู้ คนทั่วไป เพราะเราเต็มเราอิม เราพออยู่ในใจของ เรา ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ประดาบ้า ๆ ทีฆ่ากันตาย ทําเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเพื่อชีอเสียงเกียรติยศ เพื่ออะไรต่อมิอะไรนีไม่ต้องไปหาของเหล่านี้ ถ้าเจ้าตัวตายก็จบกันไป แต่ไม่ จบจริง เพราะกรรมที่ทำเอาไว้ ถ้าเป็นอกุศลที่เป็นเงาตามตัวเราไป ยังคอยทวงหนี้ทวงสินให้เราทุกข์ เดือดร้อน วัตถุสิงของที่มองเห็นจับต้องได้มันหมด จบกันไปแค่นั้น แต่ใจยังไม่จบด้วย ยังต้องเสวยผล ของความทุกข์เดือดร้อน ยังเบียดเบียนใจตัวเอง สร้างทุกข์สร้างปัญหาให้ตัวเองด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์การทําตัวให้มีเสน่ห์ ให้เป็นที่รักของคนอื่นอย่าไปคิดมาก เอาแค่ให้เราเป็นที่รักของเรา แล้วรักษาตัวเองให้รอดปลอดภัยเสียก่อนดีกว่า ถ้าเห็นเทียงตรงอย่างนี ก็จะได้เอาตรงนีเป็นหลัก อีก สองสามวันก็จะเข้าพรรษาแล้ว จะได้อธิษฐานและ เคร่งครัดปฏิบัติ ให้เรามีเราเป็นที่รักของเรารอดปลอดภัย ไปที่ไหนไม่มีหนี้เวรหนี้ภัยติดตัว เป็น อิสระชนก็ฝากเอาไว้เป็นกําลังใจให้เพียรปฏิบัติ
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/64_howcharm.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น