วิธีรักษาใจให้สดชื่นอยู่เสมอ
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ 18 ธันวาคม 2529
ณ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อันดับที่
หมวด
ท่านคณบดี รองคณบดี และท่านผูมเกียรติเรื่องที่เราจะคุยกันในวันนี้ โปรดอย่าคิดว่าเป็นเรื่อง วิชาการเลย เท่าที่ตัวเองสังเกตดู คนเรามกลืมไปว่า ใน ตัวตนของเรามีสิงที่เรียกว่า “จิตใจ” อยู่ เมื่อไรที่นึกถึง ตัว ก็เห็นแต่ร่างกาย เพราะเป็นสิงที่เห็นได้ชัดเจน อะไรก็ ตามทีกายอยาก กายต้องการ กลายเป็นที่สดที่เราต้องเสาะ แสวงหา เลยลืมไปว่า จิตใจเป็นอย่างไร อยู่อย่างไร ได้ พักผ่อน ได้อาหารบ้างหรือเปล่า
ครั้นถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง เราจึงรู้สึก ว่า อะไรๆ รวนเรไปหมด เซ็ง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะปรบความ รู้สึกเซ็งไปหมดขึ้นไดอย่างไร บางคนถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้าผู้ หน้าคนเลย เบื่อไปหมด ล้าถึงขั้นนี้ ก็เกินสภาพที่จะฟ้นฟู ให้สดชื่นได้เสียแล้วเราควรมาหาวิธีน้องกันกันดีกว่า สมัยนี้เป็นยุคของ มาตรการน้องกันอยู่แล้วก่อนจะปล่อยปละละเลยให้สุขภาพจิตของเราไปถึง จดอันตราย ทำอย่างไร จึงจะระวังรักษาให้แข็งแรงสดชื่น อยู่เสมอได้การจะรักษาสุขภาพจิตได้ ก็ต้องมาทำความรู้จกกัน ก่อนว่า จิตหรือใจนี้เป็นอะไร มันเป็นพลัง นักฟิสิกส์ด้น คว้าจนทราบว่า พลังนี้มีคุณลักษณะใกล้เคียงกับพลัง กัมมันตรังสีมาก เมื่อใจคิดนึก มันจะกระเพื่อมเป็น คลื่นออกไปในบรรยากาศ แล้วไปกำลังผสมจิตใจคนอื่นได้ ไม่ว่าใกล้หรือไกลเมื่อจิตใจเคร่งเครียด จิตใจคิดไม่ดี ขัดเคือง ไม่พอใจ คลื่นที่กระเพื่อมออกไป จะเป็นพลังทำลายล้างไปถึงผู้ที่เรา ไม่พอใจ ล้าจิตใจสบาย มีความปรารถนาดีต่อกัน คลื่นที่ กระเพื่อมออกไปจะมีคุณลักษณะสร่างสรรค นุ่มนวล
ร่มเย็นเป็นสุข ทำให้ผู้รอบรู้สึกอษอุ่น เป็นสุขจากกระแสนี้ แม้กายของคนเราไม่แสดงกิริยา ใจก็สามารถมีอิทธิพล ดึงดูดหรือผลักไสต่อกันได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะได้เข้าใจว่า ทำไมพอพบกับคนบางคน ทั้งที่ไม่เคยพูดจากันเลย ไม่เคยรู้จักม้กจี่กัน เพียงเข้าไปใกล้ ในจิตในใจของเราแหง ผากไปหมด คล้ายกับพลังที่มีอยู่รัว หรือถูกดูดหายไปหมด หมดเรี่ยวหมดแรง ในทำนองกลับกัน บางครั้ง ทั้งๆที่ เหนือย เป็นทุกข์ กังวล แต่เมื่อเข้าใกล้คนบางคน รู้สึก คล้ายกับว่า ได้อาหารทิพย์ ทำให้มีเรี่ยวมีแรง หายเหนอย เกิดความหวัง มีพลังทิจะเรี่มด้นกันใหม่ ก็เพราะพลังของ ใจผู้นั้นมาเมตตาปลอบประโลมเราได้
เมื่อทราบเซ่นนี้แล้ว ก่อนจะไปเพ่งเลีงว่า เราจะทำ ปฏิกิริยากับผูอี่นอย่างไร โปรดหันมาสำรวจตัวเอง เราดูแล ตัวเองให้เป็นกำลังแค่ไหน และอย่างไรแล้วบ้าง
จิตใจส่วนที่รู้จักกันอยู่ เรียกว่าจิตสำนึก ได้แก่ส่วนที่ มีลติลัมปชญญะปกครอง จึงเรียก “จิตสำนึก” เมื่อมีสติ สัมปชัญญะควบคุม ทำอะไรเราจะระลึกรู้...อ้อ...เรานั่งอยู่ กำลังฟัง แต่ถ้าเผลอ หมกมุ่น ครุ่นคิดถึงเรื่องที่ติดด้างอยู่ใน ใจ ตัวเราแง่อยู่ตรงนี้ก็จริงแต่ใจหลุดไปอยู่ในโลกของ ความนึกคิด พอรู้ตัวขี้นมา...เอ๊ะ...นี้เราอย่ที่ไหน กำลังทำ อะไร บางครงที่มีเรื่องกังวลอยู่ในใจ จนปรับตัวกลับมาอยู่ ในโลกปัจจบนที่กำลังเป็นอยู่ไม่ทัน เราก็ลับลน เพราะส่วน ของจิตสำนึกถูกกลืนเข้าไปเป็นจิตไร้สำนึก ได้แก่อาณา บริเวณที่สติ ความระลืกรู้ตามเป็นจริงเลือนหายไป ใจก็ ไปหลงติดอยู่ในความนึกคิด หรือความยึดอยาก จนกระทั่ง ไม่รับรู้ความเป็นจริงที่กำลังเป็นอยู่แต่ละขณะ แต่ละขณะ กล่าวคือ เราหลุดไปจากกาลเวลา และมิติจิตใจคนเราจึงแบ่งออกได้เป็นลองอาณาบริเวณ ถ้า เมื่อไรก็ตาม ส่วนที่เป็นจิตไร้สำนึกมีพลังมาก ลติจะหลุด ไปจากใจ ทำให้เราขาดสิ่งปกป้องตัวเอง ไม่สามารถแยก แยะได้ว่า สิงที่กระทำลงไปสมควรหรือไม่ เหมาะสมเพียง ใด กระทำไปแล้วมีความลุขความสบายใจ หรือทำไปแล้ว เป็นเหมือนเอาตัวเองไปเข้าที่คุมขัง อยู่ทำมกลางอนตราย ระหว่างนั้นเราช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะแรงผลักด้นในใจ ที่ตอบสนองต่อสิงกระทบรุนแรง และรวดเร็วมาก ทำให้ เราปล่อยตัวปล่อยใจประมาทไปว่า ช่างมัน เป็นไรเป็นกัน คอยลังเกตตัวเอง ขณะที่ไม่ได้ดั่งใจ แล้วเราวู่วาม พูดไปตามอารมณ์ หากมีใครมาเตือนว่า อย่าพูดเลย พูดไป แล้วจะเสืยใจทีหลัง เราจะสวนทันควันว่า “ช่างมัน จะเสีย ใจเท่าไร ๆ ก็ไม่ว่า ขอใด้ฉันได้พูดก็แล้วกัน” เช่นเดียวกัน คนบางคนก็ไม่เคยคิดจะเป็นผูร้ายฆ่าคนตาย แต่บังเอิญมี ปืนอยู่ใกล้มือ เลยคว้ามายิงเปรี้ยงเข้าไป เอาให้ตายไปเลย ตายไปแล้ว จึงไดคิดว่า ทำไมเราจึงทำเซ่นนั้น แล้วก็ย้อนคิด เสียใจ เหตุเป็นเพราะว่า ช่วงนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร้าจิตไร้ สำนึกให้มีกำลังครอบคลุมจิตใจ จนกระท้งไม่เหลือตรงไหน เลยที่คงเป็นจิตสำนึกทราบอย่างนี้แล้ว เราจะได้คอยระว้ง ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เรากระทำอยู่ ขอให้แน่ใจ บันใจว่า เรากระทำไปด้วย จิตสำนึก กล่าวคือมลตระลึกรู้อยู่กับใจในขณะนั้น ทุก การกระทำ และคำพูดที่หลุดเป็นวาจาออกไปแล้ว มีผลให้ เราต้องรับผิดชอบอย่างที่ได้กล่าวเมื่อกี้แล้ว เมื่อเราคว้าปืน มายิงเขาตาย พอรู้สึกตัว เราจะไปบอกว่า “ขอโทษเถอะ นะ เธอฟ้นขึ้นมาเถอะ เมื่อกี้นี้ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่รู้ตัว’, บันไม่เป็นอย่างนั้น เขาตายนั้นบันตายจริง ๆ เราจะปฏิเสธ ผลที่เกิดขึ้น โดยไปบอกใคร ๆ ว่า เมื่อกี้ฉันไม่รู้ตัวเลย ฉัน ขาดสติหน้ามืดไปใครเขาก็ไม่ฟังเรา เขาจะบอกว่า ถึงคุณ เป็นอย่างนั้นจริง คุณก็ต้องรับผิดชอบต่อผลเสียหายที่เกิด ขึ้นคราวนี้เราก็ลขภาพจิตทรุดโทรม ห่อเหี่ยว แห้งแล้งเลย เพราะรู้สึกว่า ค่าเสียหายที่เขาเรียกนั้นเกินกำลังจะรับผิด ชอบได้ เราจะโวยวายปัดไปว่า ฉนไม่ได้ทำ ก็พูดไม่ได้ เพราะมือของเรายิงเขาไปจริง ๆ ร่างกายของเราเหมือนทุ่น ทีถูกละกดให้ทำลงไป และในความเป็นจริง จิตใจของ เราขณะนั้น ก็ไม่แตกต่างจากคนกำลังหลบแล้วละเมอ ไม่สามารถรับผิดชอบในสิงที่ตนทำลงไปได้เมื่อไรก็ตามที่จิตสำนึกไม่มือยู่กับตัว ทงที่ลืมตาอยู่ พูดกันรู้เรื่อง ในภาษาคนธรรมดา ก็บอกเป็นคนตื่นอยู่ แต่ความจริง พระทุทธเล้าว่า ยังไมตน แต่ละเมอ เพราะ รับผิดชอบสิงที่ตนทำลงไปไม่ได้ ในชีวิตของเราเอง ล้าคอย สังเกตเฝ้าดู เราจะตกใจ เวลา 2 ชั่วโมงในกันหนึ่ง ๆ เรา ลืมตาทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วม 1 ชั่วโมง โดยแทบไม่มีสติ อยู่กับใจเลย จะเรียกว่าเราละเมอก็ไม่ผิด แล้วเราก็นึกว่าเรา มีสติอยู่กับตัวยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นเวลาที่เราเดินไปเดินมาท้าเราไม่ใส่ใจ เดินไปจนถึงที่แล้ว ใครถามว่า ที่เดินไปนั้นผ่านอะไรไปบาง บางทีคนที่งคนก็มองไม่เห็นเพราะอะไร เพราะเราไม่สนใจนัยน์ตาเราลืมอยู่ก็จริง แต่ใจไปคิดถึง เรื่องที่กำลังสนใจอยู่ ตาแสดงกิริยาเปิดอยู่ แต่ประสาทตา ไม่มารับรู้สิ่งที่มอง ก็เหมือนกับตาคนตาย ตาคนละเมอ ไม่เห็น ผ่านคนไปก็ไม่รู้ว่าผ่านใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย รู้จัก
หรือไม่รู้จ้กดิฉนเคยถามเด็กน้กเรียนที่เดินคุยไปด้วยกนว่า ที่เราเพ่งเดินไปนี่ มีฝาเป็ปชี่หล่นอยู่หรือเปล่า เขาตอบว่าไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ตาเขามองเม็ดกรวดที่เหยียบไปเรื่อย ๆ แต่เขาไม่ได้ เห็นดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่เราไม่ได้เอาจิตสำนกไว้กับใจ อะไรที่เราทำไป เราไม่รับรู้ และเมื่อไม่รู้แลว ก็ไม่สามารถ ช่วยเหลือตนเองได้ เมื่อเกิดผลเสียหายหรืออะไรที่ด้องรับ ผิดชอบ ที่ด้องแกไขหรือปรับตัว เพราะข้อมูลที่กระทำลง ไประหว่างเวลาเหล่านั้น ใจของเรามีแต่ความว่างเปล่า
ถ้าตอนที่เขามาเรียกค่าเสืยหาย เราได้สติ ระลืกรู้ว่า ตรงนั้นใจเราว่างเปล่า เราก็ขอรัองให้เขาช่วยอธิบายถึง สาเหตุ กล่าวคือขอข้อมูลมาศึกษา แต่โดยอตโนมติ เรายัง ขาดสติ ไม่ยอมรับว่า ตัวเองเผลอไปถึงแค่นั้น เราจะติดเอา เองว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนี้ เลยทำผิดชํ้าอีกหนี่งกระทั่ง หากเรามีเหตุผล ฟังคู่กรณีชี้แจงสาเหตุ แล้วไตร่ตรองตาม เรายังแกไขความเสืยหายได้ ถึงจะข้าไปบ้าง ก็พอเรียกทุน คืนได้แต่เมื่อเราไม่ยอมขวนขวายหาความจริงแล้วยังเอา ข้อมูลผิด ๆ มาไล่โดยเชื่อว่าถูกด้อง เป็นด้นว่าโจทย์ให้เอาคุณความที่คุณมองไม่ชัด แล้วก็ไม่ขวนขวายไปหยิบ แว่นมาไล่ หมีกพิมฟไม่ลมํ่าเสมอ แทนที่คุณจะรับความ
จริงว่า ขอโทษเถอะนะฉันมองไม่เห็น ช่วยอ่านให้หน่อยเถอะโจทย์ว่ายังไงน เราก็จะไดรู้ว่า 8 คูณ 5 เรากลับทำ เก่ง อือม์ 4 สินะ แล้วแทนที่เราจะตรวจสอบให้แน่ใจก่อน ทำ เราลัดแจงเอา 4 คูณ 5 ได้เท่ากับ 20 ราก็บอกว่า 20แต่ความจริง เขาด้องการ 8 คูณ 5 เป็น 40 ตกลงสิงที่เราทำไปนั้นมันผิด ไม่มีทางถูก ใครที่ไหนก็ รู้ว่าผิด เพราะโจทย์บอกแล้วว่า 8 คูณ 5 แต่ในความรู้สึก ของเราเราถูก เพราะ 4 คูณ 5 เท่ากับ 20 ไปถามใครที่ ไหน เขาก็ต้องบอกว่าถูก 4 คูณ 5 ได้ 20 เพราะฉะนั้นเรา ไม่ยอมผิด เราก็เลยทำความผิดให้ต้วเองสองทบเข้าไปแล้ว และเพิ่มเป็นสามทบ เมื่อใครยาว่าเราผิด แล้วเราไม่ยอมรบ สู้ เราล้ทง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีทางสู้ แต่ใจมันยอมรับไม่ได้ ที่สุขภาพจิตของเราแปรปรวน หมดความสดชื่น หมด ความเป็นปกติ ก็มาจากความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆทำนองนี้ แล้วเราไม่เห็นค่าใครมาถามดิฉันว่า 20 ของเธอผิดตรงไหน ดิฉัน จะห้วชนฝายืนยันว่า ไม่ผิด เพราะข้อมูลในใจของดิฉัน เป็น 5 นี่นา ก็เห็นว่า 4 จริง ๆ คูณกับ 5 ไม่เชื่อไปถามทุก คนในห้องดูจะได้คำตอบเป็นเสิยงเดียวกันว่า4 คูณ 5 ก็
ได้ 20 แต่ดิฉันไม่เฉลียวใจที่จะทดลอบหรือดูให้ชัดว่า ความเป็นจริง โจทย์เขาต้องการอะไร เขาต้องการ 8 คูณ 5 ต่างหากเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเราจริง ๆ จะเป็นทำนองนี้ พอเก็บข้อมูลเข้ามาแล้ว เราไม่เคยตรวจทานกับคนอื่นว่า ข้อมูลที่รับเข้ามานี้ถูกตามความเป็นจริงหรือเปล่า คนทุก คนมีสติ แต่จะเป็นสัมมาสติหรือมิจฉาสติ ไม่เคยมีใคร ถี่ถ้วนตรวจลอบ ถ้าปักใจว่าอย่างนี้ใช่แล้ว เราไม่ยอมฬง เลียงใคร เราไม่เคยฬงความเห็นของใคร
ลมมุดิมีดู่กรณีพยายามขึ้แจงข้อเท็จจริง เราจะยืนยัน ว่า เรารู้แล้ว เราเข้าใจแล้ว แต่สิงที่เราเข้าใจอาจเหมือน อย่างที่ดิฉันยกต้วอย่าง เห็นเลขเป็นเลข เพราะฉะนั้น การจะอยู่ในโลกนี้อย่างมีสขภาพจิตสมบูรณ์ สดชื่นบริบูรณ์ นี้น เราต้องแน่ใจว่า ข้อมูลที่รับเข้ามาในใจเป็นความจริง จากจดนี้ทำอย่างไรใจเราจึงจะเนิบข้าลง จนมองให้เห็น ข้อมูลได้แน่ชัดตามเป็นจริงเลียก่อนที่จะคิดหาคำตอบ ออกไป มันยากเหลือเกินที่จะเบรคช่วงนี้ หรือให้เราได้แน่ ใจ มันใจว่า เราได้ข้อมูลตามเป็นจริงแล้ว
โดยอ้ตโนม้ติ โดยไม่รู้ตัว คนทุกคนมีความโน้มเอียง ในตัวที่ว่า อะไรก็ตามที่เข้ามากระทบใจก่อน เราจะคล้อยตาม สมมุติเรามีลกน้องสองคน ถ้าลูกน้องคนหนึ่ง เล่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดฃึ๋นให้ฬง แล้วอีกคนเล่าไม่ตรงกับ คนแรก ลองมองใจติ'วเองว่า ทงที่ไม่ได้ตั้งใจ เราคล้อยตาม คนแรกไปค่อนหนึ่งแล้ว และรู้สึกว่า ข้อมูลที่ขัดแยงกับ คำพูดของคนแรกคงผิด เราไม่เคยติดจะไปหาคนที่สาม เพื่อให้เขาเล่าเรื่องให้ฬง แล้วเอามาเปรียบเทียบกันว่า ระหว่างคนแรกกับคนที่สอง ตรงไหนมีความเป็นไปได้ มากกว่ากันใจเราถูกข้อมูลของคนแรกอดเทปลงไปแล้ว แล้วสาย เทปน้นกิไม่ลบง่าย ๆ พอคนที่ลองพูดอะไรไม่ตรงกับคน แรก เราจะยึดแล้วว่า อ้นที่สองผิด โดยไม่รู้ตัวพฤติกรรมเช่นนี้เป็นสภาพธรรมชาติของทุก ๆ คน มนเป็นอย่างนี้เอง ไม่ใช่เป็นเฉพาะกับใครคนใดคนหนึ่งถ้าเรามีหน้าที่รบผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับคนเยอะแยะ เราคงเคยพลาดอย่างนี้มาแล้ว ถ้าไม่ใช่คนดื้อรนจนเกินไป เราก็จะเรียนรู้จากประสบการณ์ว่า การติดว่าข้อมูลแรก ถูกเสมอไปนั้น ไม่จริง ทำอย่างไรจะมีวิธีลอนใจให้เมื่อ ได้ยืนอะไรมาแล้ว กองเอาไว้ก่อน หรือจดไล่ลิ้นชกเอาไว้ เป็นช่องๆ ตามหมวดหมู่ แล้วเปรียบเทียบ ด้นคว้า หา ข้อมูลที่ถูกด้องไหได้ แล้วจงลงมือหรือมีปฏิกิริยาตอบ
สนอง ถ้าหมั่นเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ เราก็มีทางสอนตนเองให้ระลึกรู้ มีสติคมชัดตามเป็นจริง ได้รวดเร็วมากขึ้น ๆ จนกระมั่งสามารถรักษาตัวให้เป็นคน ยุติธรรมเที่ยงตรงเมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะไม่พลาด ไม่ไปมีเรื่องกระทบ กระมั้งกับใครโดยไม่จำเป็น แต่การที่คนเราจะเป็นอย่างที่ ว่านี้ มันยากเหลือเกิน เพราะจิตใจไม่ใช่เครื่องยนต์ เมื่อกดปุ่ม หรือจัดรายการตั้งเอาไว้แล้ว มันจะปฎิบ้ติตาม จิตใจของคนเรามีส่วนหนึ่งที่เรียกว่าอารมฌ์มาครอบงำ โดยไม่รู้ตัว หรือมีเจตนาจะให้มันมาชักจูงเราให้คล้อยตาม แต่มันแทรกเข้ามาเป็นส่วนของเนื้อหนังของเรา โดยที่สติ ตามรู้ใม่ทันคนบางคน พอเห็นหน้ากัน เราเกิดความรู้สึกดึงดูดเข้า หาเขา ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ทั้ง ๆ ที่เรื่องนั้น คนอื่นได้เอา มาพูดแล้ว เรายืนยันร้อยไม่เอา พันไม่เอา แต่พอคนนี้พูด มันเกิดความรู้สืกว่า...อือม์ น่าเอานะแล้วเราก็เปลี่ยนใจว่า เอาก็เอาสิ มันเป็นอารมณ์ลำเอียง ที่เราเองไม่รู้ตัว หรือกับ อีกบางคน เขายังไม่ทันอ้าปากพูดอะไรเลย เรารีบยืนยัน ว่า ม่เอาไว้ท่าเดียว ทั้ง ๆ ที่สิงที่เขาพูด เราเคยพอใจ
แต่เมื่อออกจากปากบุคคลนี้ เรารูสึกว่า มันชกไม่พอใจเสีย แล้วนี้แหละใจของคนเราถ้าเป็นเครื่องยนต์ ก็เป็นเครื่องยนต์ที่เอาแน่ไม่ได้ ไม่มีมาตรการอะไรเป็นบรรทัดฐานเลย เพราะมีสิ่งที่เป็น อารมณ์ เป็นตัวแปรมาคอยครอบงำอยู่อารมณ์เหล่านี้ แมักระทั่งต์วของตัวเองก็ยังไม่ลามารถ ล่วงรู้ว่าวันนี้เวลานี้วินาทีนี้ อารมณ์ของเราจะแสดง ออกมาเป็นทำนองไหน มันแปรไปตามสิ่งกระทบ ความ บีบคั้นของเหตุการณ์แวดล้อม หรือความป่วยไข้ของร่างกาย ความเหน็ดเหนื่อย หรืออะไร ๆ หลายอย่าง ซึ่งเรากำหนดรู้ ไม่ได้ บางทีต์วเองพูดไม่ออกไปแท้ๆ ยังตกใจว่า ทำไมเรา จึงพูดอย่างนั้นออกไป ในเมื่อสภาพจิตใจของคนเป็นอย่าง นี้ มันจึงยากเหลือเกินที่เราจะรักษาสุขภาพจิตให้ตั้งมั่น คงเล้นคงวาได้ เพราะต์วเรายังไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่า วันนี้ฉันจะออกหัวออกก้อยเมื่อเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรเราถึงจะควบคุมตัวเอง ได้ เราถึงจะแน่ใจได้ว่า สิ่งที่กระทำเป็นสิงที่เรารู้จกตัวตน ของเราเราตองรู้วิธีการที่จะศึกษาที่จะฝึนใจให้อยู่
ในกรอบของเหตุผล หรือปฎิบ้ติตามกรอบที่ทั่งคมกำหนด
เพื่อให้คนอื่น ๆ สามารถทำกิจกรรมกบเราได้ โดยที่เขา ไม่ปวดเศียรเวียนเกล้าว่า นี่คุณ ก ที่ฉันรู้จัก หรือว่า มันถูกผีบ้าอะไรเข้าไปครอบงำอยู่ เมื่อใครมีอาการวีปริต เราสรุป ว่าคนนี้ถูกผีเข้า ความจรืงมันไม่ใช่ผีเข้า มันก็ตัวคนคนนั้นแหละ แต่ว่าอารมณ์มันวิปริตไป ไม่อยู่ในขอบข่ายที่เราเคยรู้จัก ก็เลยโทษว่าเป็นเพราะผีเข้าเมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ก็จะได้มาดูว่า เราจะทำความ รู้จักกับใจของตัวเองอย่างไร ใจส่วนที่เป็นจิตสำนึกนั้นไม่มี บ้ญหา เพราะเป็นส่วนที่มีสติสัมปชัญญะอยู่ เมื่อรู้ว่า สิ่งไหนเหมาะควรก็กระทำลงไป กาลเทศะไหน ไม่เหมาะ ไม่ควรก็ยับยงชั่งใจไว่ได้ แต่กรณีที่จิตสำนึกถูกปีบคนจน กระทั่งไม่เหลืออยู่กับใจ จิตไร้สำนึกก็จะลุกขึ้นมาเต้นเอา ตามอารมณ์ ทำอย่างไร เราถึงจะลามารถควบคุมตัวให้ฝ่า วิกฤติตรงนั้นไปได้จิตไร้สำนึกจดจำอะไร ๆ ทุกอย่าง ตั้งแต่แรกเกิด หรือแม้กระทั่งก่อนเราเกิดด้วยซ้ำ สิ่งที่ถูกจดจำไว้ จะอยู่ในจิตไร้ สำนึกทำนองเดียวกับข้อมูลที่เก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์เพราะฉะนั้นไม่มีการผิดพลาด อะไรก็ตามที่เราแสดงออก มา มันมาจากนิสัยของเรา ที่ฝึกปรือเอาไว่โดยไม่รู้ตัว ถ้าจิต ไร้สำนึกพาเราประพฤติไม่ถูกไม่ควร ก็อย่าไปโทษว่า เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฉันสติหลวม จงทำผิดไปเพราะคนนั้นพูดไม่ถูกหู ฉันจงได้โกรธ โปรดปีกมองให้เที่ยงตรง ว่า อ้อ...เพราะนิลัยโกรธที่มือยู่ในใจโดยที่ฉันไม่รู้ ทำให้ฟัง เขาพูดไดหน่อย ฉันจงโกรธ เหมือนนํ้าแก้วนี้มืตะกอนนอน ก้นอยู่ พอมีอะไรมาเขย่าเข้าหน่อย ตะกอนที่ก้นแก้ว จึงลอยขึ้นมา ทำให้นํ้าขุ่น ให้เราตงสติระลึกเอาไว้ว่า ความ ขุ่นมือยู่ในใจของเรามาแต่ดงเดิม ทำอย่างไรเราจะกรอง ตะกอนขุ่น ๆ คือแก้ไขข้อบกพร่องไอ้ ไม่ใช่ไปแก้ไขคนอี่น สิ่งอื่น ก้าจับหลักนี้ไอ้ ทางแก้ไขต้วเอง หรือควบคุมต้ว เองไอ้ เพราะรู้แล้วว่า ข้อบกพร่องอยู่ในใจของเราเอง ไม่อย่างนั้น เราไปโทษผู้ร่วมงานไม่ดิ เจัานายไม่ดิ ลูกน้องไม่ดี ลูกคิษย์ไม่ดิ มาก่อกวนอารมณ์ให้เราเป็น อย่างนั้นไป แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ ก้าเราไม่มืตะกอนความ โกรธอยู่ในใจ ใครมาก่อกวนอย่างไร เราก็ไม่โกรธ ก้าใจเรา เป็นนํ้ากลั่น ต่อใหใครมาพูดไม่ถูกหูเราอย่างไร หรือกระทำ อะไรๆเราก็ไม่เกิดอารมณ์รัก อารมณ์ชังหรืออารมณ์ หลงขึ้นเป็นอนขาด เพราะต่อให้เอานํ้ากลั่นไปเขย่าอย่างไรๅ ก็ตาม มันจะมีตะกอนฟังขึ้นมาไม่ไอ้ เว้นไว้แต่เป็นนํ้ากลั่น ปลอม นี่เราจะไม่พูดก้นถงของปลอม เราพูดก้นแต่ของแท้เพราะฉะนั้น ถาเมื่อไรก็ตามมันมีตะกอนขึ้นมา ให้เราลืม
ตามองใจของเราอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่า ที่นึกว่าเรามีเหตุผล โกรธไม่เป็นแล้วนะ ความจริงไม่ใช่ เรายังมีความโกรธอยู่ รุนแรงเท่าขณะเดยวนี้ เท่าที่ใจเรากำล้งเดือดพลุ่งพล่านขึ้น ไป ทำอย่างไรถึงจะกระตุกมันลงมา หรือควบคุมให้อยู่แค่ นี้ ถ้าอุณหภูมิขึ้นจาก 0 องศา ไปเป็น 70 องศา ทำยงไง ถึงจะคุมไห้มันอยู่แค่ 70 ไม่ใช่ให้มันพลุ่งขึ้นไป 100 องศา แล้วยังเพิ่มขึ้นไปอีก เพิ่มขึ้นไปอีก จนระเบิดไปเลย หรือมี ทางอย่างไรจะให้ลดจาก 70 องศามาเป็นปกติ อยู่ที 0 องศาใหม่ได้ถ้ามองมัญหาที่เกิดขึ้นอย่างนี้เรามีโอกาสรักษาสุขภาพจิตของเราให้ปกติ สดชื่นได้ตลอดกาล เพราะเมื่อใจ เห็นที่ผิด ที่บกพร่องของตนแล้ว แทนการทำความผิดเพิ่ม ด้วยการตำหนิ กราดเกรี๋ยวเอากบคนอื่น หรือในกรณีตรง กันข้าม ไม่ได้กราดเกี้รยวแต่ไปยึด ไปอยาก เราก็ไม่ตำหนิ กราดเกรี้ยว ไม่ยึดอยากคิดจะเอาของนั้น ไม่ล่งใจเตลิด ออกนอกแต่หมุนกล้บเข้ามาในใจของตน คิดหาว่า ทำ อย่างไรถึงจะปลดใจของเราจากสิ่งกระทบเหล่านั้น ให้กล่บ ส่สภาวะปกติได้ หรือถ้าใจยังยึดอยากอยู่ จะขวนขวาย แสวงหาด้วยวิธีสุจริต ไม่เบียดเบียนหรือทำร้ายคนอื่นได้ อย่างไร เราก็ยุติการทำผิดไม่ให้แพร่ออกไปส่วนสาเหตุที่ทำให้เราเปลี่ยนเปลี่ยนอุณหภูมิไปเมื่อกี้นี้ ถ้าเพ่งเล็งมองสาเหตุที่ในใจ ค่อยค้นหา ก็จะสามารศ่หา กรรมวิธีทำให้มันสงบลงไปไค้ หรือถ้ายังทำไม่ไค้ เราเปลี่ยน เรื่องไปหาเรื่องอื่นสนใจ เพื่อลืมเรื่องนี้ พักเอาไว้ก่อน หาอะไรไหใจสนใจ ไปสนุกสนานเพลืดเพลินจนกลับเป็น ปกติ และคราวนี้เราจงย้อนกลับไปเอาเรื่องนี้นมาพิจารณา ใหม่ ตอนนี้ตัวสติอยู่กับใจแลัว โอกาสจะมองอะไรละเอียด ลี่ถ้วนเห็นตามเป็นจริงก็มีมากขึ้นแต่ถ้ายังมัวติดติดพันกับปัญหานี้น ในขณะที่ใจยังไม่ เป็นปกติ แน่นอน เราย่อมมองไม่ชด เพราะใจขณะนี้นไม่ ปกติ มันเฉไปแล้วตามอุณหภูมิที่เพิมขึ้น มองทีไรก็เห็นแต่ อย่างที่ยึดอยากให้มันเป็น พิจารณาแล้วก็เหมือนกับที่ ดิฉันเรียน เลข 8 ก็เห็นเป็นเลข 4 คูณที่ไรก็คูณผิดทุกที เพราะข้อมูลผิดตงแต่ต้นแล้ว
รู้ชดอย่างนี้จะไค้คอยระงับยับยงชั่งใจตัวเองเอาไว้ พอเกิดอาการวิปริตอย่างนี้ขึ้น หยุดไม่มองออกนอก ไม่ ไปหาเหตุที่ข้างนอก ไม่ไปมองหาเหตุที่ข้างนอกหมุนกลับ มามองใจตนเอง แล้วมาทำความรู้จกกับใจตนเองว่า...อือ... ตอนนี้เรากำลังไข้สูง มันเป็นเพราะเชื้อแบคทีเรีย หรือ ไวร้ส จะไค้วางยาให้ถูกขนาน นี่มันโกรธ มันโลภ มันหลง หรือมันรัก หรือเป็นอะไรกันแน่ จะได้วินิจฉัยโรคได้ถูก และวาง ยาถูกขนาดถ้าเผลอปล่อยใจมองออกนอกพังเพราะไปเกาผิดจุด มันเลยไปกันใหญ่ โรคก็ลาม แทนทีจะเป็นแค่ฝีเฉย ๆ เลย ลุกลามเข้าเส้นเลือด กลายเป็นโลหิตเป็นพิษ อาการเข้าขน ตรีทูต อาจถึงตายได้เวลาพูดทฤษฎีก็ดูง่าย แต่ลองไปนั่งดูใจตัวเอง เวลามีเรื่องเกิดขึ้น มันไม่มีจังหวะจะโคนให้ทันคิด ทันบอกกับตัว เองอย่างนี้หรอก มันวิบเดียว ปืนกลหมดไปเป็นตับ ๆ แส้ว อากัปกิริยาขณะยั้งตัวเองไม่ทันมันไม่ปาดู เราต้องคอย บังคับตัวเองว่า นั่งไว้ จงหยุดพังเขา พังข้อมูลให้ชัดแจัง ไม่ใช่โต้ตอบออกไป จนกระทั่งแหลกทั้งคู่ ทุกคนจะเผลอ ตรงนี้ คือ เอามันให้แหลกไปเลย แล้วค่อยมาคิดแกไข เมื่อ แหลกไปเรียบร้อยแล้ว สุขภาพจิตของเราก็ยงเฉายิ่งขึ้น เพราะเปรียบเหมือนแค่ค่าซ่อมรถ เราเองก็ยํ่าแย่พอแล้ว นั่ยังชนจนรถเขากระดอนไปชนคนอื่นต่อไป แล้วพุ่งขึ้น เกาะกลางถนนแฉลบข้ามไปอีกฟากก็ได้ ความเสียหายจึง เยอะแยะไปหมด ทำให้เราไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรได้ ถ้าเบรคตัวเองยังไม่อยู่ ใครมาทัวงติงให้หยุดพังเขา
ท่านอาจารย์สิงห์ทองสอนอุบายว่า มีครอบครัวสอง ครอบครัวเป็นเพื่อนบ้านก้น ครอบครัวหนึ่งร่มเย็นเป็นสุข ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งก้นเลย ส่วนอีกครอบครัวภรรยายง สาว ทะเลาะก้บสามีทุกวัน จนวันหนึ่งนึกรำคาญตัวเอง ก็ไปหาภรรยาบ้านข้างๆปรึกษาว่า คุณพี่คะ คณพี่ทำ อย่างไรจึงไม่ทะเลาะก้บคุณผู้ชายเลย ภรรยาบ้านนอธิบาย ว่า พี่มีนํ้ามนต์ อาจารย์ลังให้อมเอาไว่ในปาก เมื่อไรคุณ ผู้ชายกลับเข้าบ้าน ให้รีบไปอมนํ้ามนต์เอาไว้ เมื่ออมแล้ว ต้องรักษาไวในปาก กลืนลงไปไม่ได้ เผลอทำกระฉอกทิ้ง ก็ไม่ได้ นํ้ามนต์จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ ให้อมเอาไว้ตลอด เวลาที่คุณผู้ชายอยู่ในบ้าน แล้วรับรองจะไม่มีเรื่องวิวาทก้น เลย พี่จะแบ่งให้นองเอาไปใช้บ้างว่าแล้วเธอก็ไปเอานํ้าใส่ขวดมาให้ กำชับว่านํ้ามนต์ เอาไปฝ่ายนี้ก็ดีใจว่าได้นํ้ามนต์วิเศษมาแล้ว พอสามีกลับเข้าบ้านก็ไปอมเอาไว้ พอสามีตำหนิเธออย่างนี้ไม่ดี อย่าง นั้นไม่ดี ภรรยาก็เตือนสติตัวเองว่า นํ้ามนต์ กลืนไม่ได้ กระฉอกก็ไม่ได้ จะโต้ตอบก็ไม่ได้ เพราะนํ้ามนต์จะหกออกมา เลยได้แต่ยิ้ม เพราะต้องรักษานํ้ามนต์ไว้ไม่ให้หก สามีก็ แปลกใจ เอ...วันนี้ภรรยาเราน่ารักกำลังแซวว่าไม่ดีก็ไม่เถียง ไม่ว่า ตกลงก็ไม่มีเรื่องก้น จากนั้นมาก็กลมเกลียวกันดี
ท่านอาจารย์สรุปว่า นแหละ ถึงเราไม่มีน้ำมนต์อม ก็ให้นึกว่า เรากำลังอมนํ้ามนต์อยู่ คือไม่พูดวู่วามอะไร ออกไป ไม่ว่าใครเขามาว่าเรา เราจะจดจำเอาไว้อย่างนี้ขั้นแรกก็สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว ถ้าทำอะไรแล้วถูก ตำหนิ จะไม่เผลอวาจา ยิงเป็นปีนกลออกไปเป็น อย่างที่เคย เรื่องที่เคยวิวาทก็สงบไป มีเวลาตั้งตัว เพื่อแกไข ความผิดที่ทำใจเราให้เป็นทุกข์ได้ เพราะไม่ได้ทะเลาะให้ เรื่องซับช้อนมากขึ้น
ขั้นต่อไป เมื่อเขาอารมณ์ดีแล้ว เราก็อารมณ์เย็นลง แล้ว ก็ไปปรับความเช้าใจกัน ช่วยกันด้นหาว่า ที่ไม่เช้าใจ กันนั้นเพราะอะไร โปรดตั้งสติให้ดีว่า เราชี้แจง เรารับฟัง ไม่ใช่การแก้ต่าง ๆ หรือเถียง เพราะอัตโนมัติของคนอีก ประการหนึ่ง คือ ลัญชาตญาณปกป้องตนเอง ไม่ใช่ว่าเรา ทบถมความผิดให้ผูอื่น หรือใส่ไคล้ป้ายสิเขา แต่เราป้องกัน ตัวเอง เพราะทุกคนมีความรักตนเองเป็นที่ตั้ง แล้วก็ต้อง การทะนุถนอมตนเองไว้ อันจะต้องดี จะต้องถูก พอเขา ชี้แจงช้อมูลมา เราก็รีบบอกว่า ไม่ใช่ อันไม่ผิดนะ เราพูด ออกไปด้วยลัญชาตญาณ เพื่อปกป้องตัวเอง แต่ภู่กรณี,ฟัง แล้ว มันเหมือนกับว่า อีอ... ถ้าเธอไม่ผิด ก็แปลว่าอันผิด สินะ เพราะใจกำลังพร้อมที่จะเดือดอยู่แล้ว เขาก็เลยแปล
คำพูดที่เราพยายามฃอลุแก่โทษว่า เปล่านะ ไม่ใช่ฉันนะ กลายเป็นว่า อ้อ...อย่างนั้นก็เอาความผิดมาไล่ไคล้กันนะสิ เลยกลายเป็นการก่อวิวาทกันขึ้นถ้าจะรักษาสุขภาพจิตให้แข็งแรง เราเลิกคิดว่าใครผิดใครถูก เพราะเมื่อเรื่องเกิดขึ้น มันไม่มีหรอกว่า ใครผิดใครถูกมีแต่ว่า เหตุมันเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะแกไขอย่างไร เป็นต้นว่า อยู่ดี ๆ มีต้นมะม่วงงอกขึ้นมาขวางทางเดิน เรา ไม่ไปเสียเวลาหาว่า ใครเป็นคนเอาต้นมะม่วงมาปลูกขวาง ทางฉัน แต่ให้ช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรถึงจะเขยื่อนต้นมะม่วงต้นนี้ออกไป เพราะไม่ใช่ที่เหมาะสมสำหรับมัน คิดให้รอบคอบว่า เมื่อเขยื้อนออกไปแล้ว อย่าใหไปเกิดเรื่อง กับคนอื่นอีก ทำให้ต้องเขยื้อนอยู่รํ่าไป ให้หาที่ที่เหมาะ แล้วเอาไปไว่ให้เรียบร้อย สินปัญหา ไม่เกิดเป็นกรณีไปกีด ขวางใครเข้าอีกอะไรเกิดขึ้น ไหลืมผู้ผดผู้ถูก คิดหาแต่เหตุผลไหไล้ว่า เพราะอะไรถึงเกิดความเขาใจผิดอย่างนี้ เกิดความบกพร่อง อย่างนี้ขึ้นมา จะไล้ช่วยกันแกิไขข้อบกพร่องเหล่านี้ให้ ลุล่วงไปด้วยดี หรือหากไม่ได้ดั่งใจปรารถนา ก็ดีที่ลุดเท่า ที่ความลามารถขณะนั้นมี หากไปคิดไล้ใหม่ภายหลัง ก็มาแกไขให้ดีขึ้นไปอีกไล่ยึดหลักไว้ในใจว่า เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครผิด มีแต่ว่า เราจะช่วยกันแกิใขสถาน-การณ์อันไม่พึงประสงค์ไห้คลี่คลายไปในทางดีได้อย่างไร พยายามให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรื่องก็จะเบาบางลง โดยลำด้บถ้าปล่อยใจให็คิด อย่างที่เคยคิดมาแต่อ้อนแต่ออกว่า เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ต้องหาคนผิด ทำนองเดียวกับเด็กเล็ก ๆ สะดุดขาตัวเองหกล้ม แม่กลับตีกระดาน แล้วสำทับว่า นี่...นี่ตัวผิด จำไว้นะ แทนที่เด็กจะได้รับการตักเตือนว่า เวลาเดินต้องระว้ง มีฉะนั้นจะละคุดหกล้มอีก ด้วยความ เคยชินเช่นนี้ ทงสองฝ่ายต่างก็ไม่เห็นว่า ตนเป็นผู้ผด เพราะ คนทุกคนใครอยากเป็นคนผิด ต่างก็มีเหตุผล1ของตนที่นั้น แต่เหตุผลนั้นจะถูกต้องตามเป็นจริงแค่ไหน ก็ขึ้นกับสตีที่มี กำกับใจ
เราพัฒนาความคิดเสียใหม่ว่า เมื่อเหตุเกิดขึ้นมาแล้ว ช่วยกันแก้ปัญหาให็ดี เท่าที่สามารถกระทำได้จะดีกว่า คนผิดไม่ต้องไปจี้หา เพราะเปลืองสุขภาพจิตโดยใช่เหตุ ของเสียหายไปแล้ว เป็นต้นว่า แก้วแตก ถึงจะรู้ว่าเป็นร่วมมือใคร ก็ไม่ทำให้แก้วแตกแล้วกลับประสานกันขึ้นใหม่ได้ แต่ทำอย่างไร หาอะไรมาใช้แทนแก้วที่แตกไปพลางก่อน อันนี้ต่างหากที่เป็นปัญหารีบด่วน ปัญหาจำเป็นถ้าปฎิวัติ คิดทำนองนี้ อีกหน่อยเราจะพิศวงกับตัวเอง ว่า เรากลายเป็นคนมีเหตุผล แต่ก่อนเราเคยน้อยใจ แหนง ใจ อะไรก็ไม่ถูกอารมณ์ บัดนี้ใจเราสงบ ไม่หงุดหงิด เป็น ต้นว่า คนบางคน นึกอยากได้นี้าอุ่นเพื่อนเอานํ้าเย็นมาให้ แทนที่จะขอบคุณที่เขาอุตส่าห์มีนํ้าใจ กุลีกุจอหานี้ามาให้ เรากลับหงุดหงิดออกไปว่า เธอละก้อ จะทำบุญทั้งทีก็ไม่ให้ อย่างที่ถูกใจ เราอยากได้นี้าอุ่นแท้ๆ เพื่อนที่เอานี้เย็นมาให้เลยเซ็ง เราสู้อุตส่าห์เอามาให้กลับถูกตำหนิ อยากได้นํ้าอุ่นทำไมไม่บอก ใครจะไปเดาใจถูกที่หลังอย่าเอามาดีกว่า เราก็ขาดทุน เพราะกลายเป็นคนแล้งนี้น้ำใจเราตกลงใจไม่ยุ่งกับคน ๆ นั้น เพราะไม่อยากตอแย ทำให้ตันคายใจเปล่า ๆ แต่ความจริงเราทำร้ายตัวเอง แต่เดิม ใครไปใครมา เรามีนํ้าใจเอื้อเพื่อเผื่อแผ่ แต่เพราะไปคิด หมั่นไส้เขา เลยไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคน เราเลยทำให้ตัว เองกลายเป็นคนใจตับแคบ ไม่เอื้อเพื่อเผื่อแผ่ นานวันเข้า เราก็ได้นิลัยไม่ดีเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ครั้นเฉลียวใจได้คิด จะกลับตัวเองให้มามีนํ้าใจเหมือนเดิมมนก็ยาก เพราะความเคยชินอันใหม่ครอบงำใจเราเสียแล้วแต่ถ้าเราสอนตัวเองว่า คนเราต่างจิตต่างใจกัน เขาพูดอย่างนี้กีดี เราจะได้รอบคอบ จะทำอะไรไห้ใครต้องคึกษาก่อน ต้องถามเขาก่อน เราจะได้สิ่งที่ตรงกับใจ เขา จะไต้เป็นความชื่นใจ มีน้ำใจต่อกัน ไม่ต้องบาดหมาง ใจกัน เราเองก็รอบคอบละเอียดกี่กัวนขน ไม่ใช่เป็นเทียง แค่คนมีนาใจ เรายังรู้จักสังเกต รู้กาลเทคะ รู้จริตของผู้ที่ต้องไปเกี่ยวข้อง
เราจะทำอะไรก็ทำสำเร็จ เพราะความละเอียดที่มีเป็น อุปนิสัย ช่วยให้ข้อมูลมีรายละเอียด ชัดเจน สมบูรณ์ เหมือนนิทานโบราณเล่าถึงเสนาบดีท่านหนึ่ง เอ็นดูรักใคร่ ลูกน้องคนโปรดมาก จนลูกน้องอื่น ๆ อิจฉา หาว่าเป็นคน โปรดประจบเก่งจึงทำให้เจ้านายรักใคร่ วันหนึ่งขณะพักผ่อนกันอยู่บนนอกชานเรือน มีเสียงลูกสุนัขร้องอยู่ข้าง ล่าง เสนาบดีไดีโอกาสสังสอนลูกน้อง จึงปรารภว่า .เออ... แม่หมาคงออกลูกแล้วกระมัง ลูกน้องคนหนึ่งก็ลงไปดู แล้ว กลับขึ้นมารายงานว่า ใช่ขอรับ แม่หมามันคลอดลูกแล้ว ท่านเสนาบดีถามว่า มันมีลูกกี่ตัวละ คนนั้นก็ตอบไม่ได้ ท่านจึงใข้อีกคนลงไปดู อีกคนไปดูแล้วก็ขึ้นมาบอกว่า มีลูกหมากี่ตัว เสนาบดีถามต่อว่า มีสีอะไรบ้าง ก็ไม่รู้อก ต้องส่งคนใหม่ลงไปดู กว่าจะได้ข้อมลครบครันว่า ลูกหมา สีนั้น สีนี้ ตัวผู้กี่ตัว ตัว้มียกี่ตัว ตาลืมหรือยังอ้วนผอมแข็งแรง เป็นอย่างไรก็ต้องส่งลูกน้องไม่รู้ต่อสิบคน
เพราะทุกคนเพียงแต่ดูตามคำสั่ง ไม่มีไหวพริบ ไม่สังเกต ขาดความสนใจใฝ่รู้ในสิ่งที่ตนไปเกี่ยวข้อง เมื่อเสร็จแล้ว เสนาบดีก็สังให้เรียกลูกน้องคนโปรด ซึ่งไม่รู้เรื่องราวที่เพิ่ง เกิดขึ้น พอมาถึง ท่านก็ว่า เออ ไดยินเสียงลูกหมาร้องอยู่ ใต้ถุนแน่ะ ลงไปดูชิว่า มันเพิ่งคลอดลูกหรือ นายคนนั้นลง ไปดู สักครู่ก็กสับขึ้นมารายงานว่า ขอร้บกระผม แม่หมา มันมีลูกอ่อน
เสนาบดีถามว่า แล้วมันมีกี่ตัวละ คนโปรดตอบ 4 ตัว ขอรับ
เสนาบดีจะชักรายละเอียดเกี่ยวกบลูกหมาว่าอย่างไร ลูกน้องคนนี้ก็ตอบไต้ถูกต้องครบถ้วนหมด เพราะอะไร เพราะเขามีความกี่ถ้วน ช่างสังเกต เมื่อใช้ให้ใปทำอะไรแล้ว จะไต้ผลครบครัน มีประสิทธิภาพ ทำให้การงานรวดเร็ว เจริญก้าวหน้า ไต้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยเสนาบดีเลยสอนลูกน้องทั้งหมดว่า นี่แหละ คนเราถ้า ไม่มีไหวพริบ มีแต่ความฉลาดอย่างเดียว แต่ขาดความ เฉลียว งานการกิไม่เดิน ทำอะไรไม่ถ้าวหน้า เห็นคนอื่นทำ ได้ดีกว่าก็ไม่ยอนมามองตนว่างานของเขาเรียบร้อยดีกว่าของเราเพียงใด เราจะได้เรียนเพื่อมาปรับปรุงตนเอง นี่เรากลับเอาแต่อิจฉาเขา โกรธเขา มันจะได้ประโยชน์
อะไรจิตใจของพวกเรา ๆ ก็ทำนองเดียวกัน ใครดีกว่า ต้อง ทำให้พินาศไปเสีย เพราะมากีดขวางทางของเรา แทนที่จะ น้อมเขามาเป็นครู ลอนให้เราปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น แล้ว อะไร ๅ จะเจริญขึ้นไปด้วยกัน สุขภาพจิตก็จะดีด้วย ใจที่ขาดมุทิตา การน้อมใจยินดีกับความสุขของผู้อื่น เห็นเพื่อนมีความสุข ใจเรากลับรุ่มร้อน แล้วก็เอาความร้อน นั้นไปสาดใส่คนอื่น ทำให้เดือดร้อนกันไปหมดถ้าจับความรูลกนี้ได้แล้ว เราจะได้หันมาสำรวจใจตัว เองว่า ใจของแต่ละคน ไม่มีใครที่จะมาอาทรเลี้ยงดูทำให้สุข ให้ทุกข์ ให้สุขภาพจิตสมบูรณ์ หรือบกพร่องได้ นอกจากตัวเราเป็นผู้ทำตัวของตัวเท่านั้นดังที่เรียนให้ทราบแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความ หลงนั้น อยู่ในใจของเรา เพียงแต่ยังเป็นเม็ดอยู่ เมื่อไม่ได้ ไม่ได้นี้ ไม่ได้อุณหภูมิที่พอเหมาะ มันก็ยังไม่สำแดง อาการให้เห็นหรือรู้สึก เมื่อใดก็ตาม มันไปเจอความร้อนพอเหมาะเข้า ไปซนกับสิ่งกระต้นหรือมัลละมันก็จะผลิใบเลี้ยง ออกจากเมล็ดเจริญเป็นต้นงอกงามขึ้นในใจของเรา ทำให้ใจเป็นโรคโลภ โรคโกรธ โรคหลงขึ้นมาเราก็รูสีกร้อนคับข้องไม่สบายใจอาการแสดงของใจก็ไม่มีมากมายอะไร บางครั้งก็คิด ฟุ้งซ่าน คิดไปอย่างโน้นอย่างนี้ เห็นคนเคินพูดกันไป เขา นินทาเราหรือ เขาจับผิดเราหรือ ทำไหคิดไปไดไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่ฟังซ่านก็เกิด ลังเลสงสัย เมื่อกี้นี้เขาพูดดีกับเรา เขาดี ต่อเรานี้นี่ ดีแต่ต่อหน้า แล้วแอบไปนินทาลับหลังหรือเปล่า ลังเลสงลัย ระแวง หรือมีฉะนี้นก็หดหู่โอ้ยฉันทำเหนื่อย ยาก ง่วงเหงหาวนอน ใครพูดอะไรก็ฟังรู้เรื่องน้าง ไม่รู้ เรื่องน้าง เพราะใจไม่มีพลัง
ดังนี้ใจของคนเราก็พลิกอยู่ระหว่าง 5 อาการนี้ ถ้า ไมคิดฟังซ่านไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ก็ระแวง ลังเล ลงลัย หรือ ท้อถอย ลงโทษด้วเอง หดหู่เหงานอน ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เกิดจากอารมณ์ที่ปรุงคิดขึ้นภายในของใจด้วเอง ครั้นถอนตัวออกจากอารมณ์ของใจ ก็มาเกาะเกี่ยวกับตา หู จมูก ลิ้น กายลัมผัส รับผัสสะจากข้างนอก เกิดปฏิกิริยาผลักไส หรือดึงดูดต่อกัน เป็นความรำคาญหงุดห่งดไม่ชอบใจ เกลียด โกรธพยาบาทหรือรักอยากได้โลภมีอยู่แค่นี้ถ้าเผลอวุ่นวายออกไปภายนอกก็รักๆ ชังๆ เหนื่อย จากภายนอก ก็มาหมกมุ่นครุ่นคิด ฟุ้งซ่านลังเลสงลัยหรือหดหู่ เหงา ท้อถอย เป็นความเครียดบ้าง ความเซ็งบ้างสุขภาพจิตเลยปันป่วนอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้ จะทำอย่างไรเพื่อรักษาสติให้อยู่กับใจ เมื่อมีสติ แล้วใจจะอยู่กับเหตุผล พอจะเผลอติดฟุ้งซ่าน สติจะเตือน เราติดทำไมให้เหมื่อยแรงเปล่าๆ เก็บแรงไว้เมื่อเกิดปัญหา ขึ้นมา ค่อยติดแก้ไขติกว่า หรือถ้าคันในหัวใจจนทนไม่ได้ ก็เดินไปถามเขาเลยว่า เมื่อกี้คุณพูดอะไร เอาให้รูความจริงไปเลย ถึงเขาจะว่าเราเป็นคนสอดรู้สอดเห็นก็ช่างมัน ติกว่า เราจะไปติดฟุ้งซ่านเอาเอง แล้วติดผิด ติดถูก ทำให้วุ่นวาย ไปหมด
การปลุกปลอบใจให้ไม่ท้อถอย ก็ติดว่า ตัวของเราถ้า เราไม่ทำนบำรุง ฝึกปรือให้มีกำลังขึ้นมาเราก็ไปไหนไม่ได้ ไม่มีใครจะมายกเรา เราต้องทำใจเราให้มีกำลัง ให้เกิดความพากเพียรเกิดความบากบั่น เพราะพระพทธองค์ทรงสอนว่า คนเราจะทำอะไรสำเร็จได้ก็ด้วยอิทธิบาทสี่คือ ปีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิม้งสา ของอะไรก็ตามทเราทำเราต้องเอาจิตใจไปจดจ่อพอใจ พากเพียรฝักใฝ่สนใจ พิจารณาตรวจตราว่าทำไปแล้วเข้าท่า หรือทำไปแล้วเฉไฉออกนอกลู่นอกทาง ทำอย่างไรจึงจะทำให้สำเร็จได้ถ้ามีอิทธิบาทสี่ ถึงแม้เราจะเป็นคนข้า ไม่ฉลาดปราด เปรื่อง ก็สามารถทำกิจการสำเร็จลุล่วงไปได้ทั้งนั้น ความ
สำเร็จขนอยู่กับความสมํ่าเลมอและความพากเพียร เราฝึก ให้มีสติคอยเตือนตัวเอง คอยให้กำลังใจกับตัวเองอย่างน เรื่อยๆ จิตใจที่เคยเป็นอารมณ์ก็จะค่อยๆมีเหตุผล ค่อยๆ หนักแน่นไม่วูบวาบปลิวไปตามคำพูด คำวิพากษ์วิจารณ์ หรือสิ่งที่มากระทบ ไม่อย่างนั้นเราไม่มีสติอยู่กับใจ กำลัง ทำสิ่งที่เรามั่นใจแน่ว่าถูก พอคนมาทํกว่า เอ๊ะ ใช่หรือ เราก็คล้อยตามเขา เลิกทำ พอเลิกทำไปลักพัก ก็ค่อยได้สติ ขึ้นมา อือม..!มื่อกี้ที่ทำอยู่มันถูกแล้วนี่นา ต้องย้อนกลับไป ทำใหม่ก็เสียเวลาไปเปล่าๆคนเรา เสียงคนพูด เสียงวิพากษ์วจารณ์เหมือนลม พายุ ใจนั้นเปรียบเหมือนต้นไม้เมื่อโดนลมพายุพัดก็โยก คลอน ถ้ารากของใจไม่แน่นหนา ลมพัดหนักหน่อย ดีไม่ดี เลยถอนรากถอนโค่นขึ้นมาเลย รากแกัวของใจก็ไต้แก่ ลติปัญญา ถ้าเราไม่คอยปีกให้สติอยู่กับใจ ลมอะไรพัด มา ใจเราก็ปลิวตาม พอโดนอะไรกระทบ แล้วสติตามไม่ทัน เห็นเหตุผล ใจก็โลเลพร้อมจะถอนราก สั่นคลอนตามคำพูด เขา แล้วคนที่เสียผลประโยชน์คือใคร คือเรา
ท่านอาจารย์เปรียบกิเลสหรือคำพูดของผู้อื่นที่มา ก่อกวนใจเราว่าเป็น เงา เพราะไม่มีตน ไม่มีตัว แต่คอย มาหลอนใจกระซิบกระซาบให้เราทำผิดๆ และเมื่อเรา เผลอสติ ทำผิด แล้วเราถูกจับเข้าคุก พออยู่ในคุกแล้วปรากฎ ว่าเสียงพูด หรือเสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้นไม่ได้เข้าไปอยู่ ในคุกกับเราด้วย มันกล้บไปหัวเราะเยาะเราอยู่นอกคุก เลยทำให้เราคลุ้มคลั่งหมักเข้าไปอีก
ถ้าเรามีสติอยู่กับใจ จะฉุกคิดได้ว่า ไม่มีใครมาทำร้าย เราได้ คนทีพูดว่าให้เราโกรธแด้นเสียหาย ก็ทำร้ายเราไม่ ได้ ถ้าเราไม่ถล่มใจของเราเอง โดยไปเชื่อคำพูดของเขา แล้วเอามือของเรา เอาวาจาของเรามาพิฆาตตัวเอง เวลาที่ เราหวั่นไหวตามคำพูดของผูอื่นไป เราจะเป็นเหมือนคนถูก ละกดจิต ลุก1ขึ้น เอากายของเรา เอาวาจาของเราไปเหมือน เป็นคนไข้ของเขา ไปกระทำ ไปพูดตามที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ เสร็จแล้วเราเดือดร้อน เขาไม่เดือดร้อนด้วยกับเรา เพราะ เราต้องรับผิดชอบผลเสียหายที่งหมด
ถ้าคิดอย่างนี้บ่อยๆ จนใจของเราเห็นจริง สติจะไวขึ้น เมื่อจะเผลอไปตามความเคยชินเก่าๆ สติจะแวบขึ้นมา ทำให็ไม่เผลอ และเห็นว่าสิ่งที่เราคิด เหตุผลของเรารัดกุมถูก ต้อง ไครอยากจะวิพากษ์วิจารณ์ ก็วิพากษ์วิจารณ์ไปสิ เขาไม่เหนื่อยที่จะพูดก็ช่างเขา เราก็กัมหมัาทำไป แล้วเวลา จะเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่า ผลงานของเราเป็นอย่างไร โลกก็ จะเห็นว่า เราถูก สุขภาพจิตของเราก็ค่อยสมบูรณ์ขึ้นโดย
ลำดับ เพราะหมดความหวาดผวา หวั่นระแวงว่าสิ่งที่เราทำไปเขาจะซมหรือนินทา ถึงเขานินทาเราก็ไม่เดือดร้อน เพราะรู้อยู่ว่าเราทำถูกต้อง เขาเข้าใจผิดก็ช่างเขาเถิด พอ ผลออกมาเป็นข้อพิสูจน์ คราวนี้เราไม่ต้องทำอะไร เมื่อเขา ได้เห็นด้วยสองตาของเขา เขาก็เงียบเองระหว่างนี้ ใครเชื่อเขา ก็เชื่อไป ดีเสียอีกเราจะได้รู้ว่า คนเหล่านั้นเป็นประเภท กระต่ายตื่นตูม เวลาเรามีความทุกข์ เดือดร้อนจะได้ไม่คิดพึ่ง เพราะพึ่งแล้ว วันนี้เขาพิงเราอยู่ ดีพรุ่งนี้อาจเปลี่ยนใจ เราเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้ ปวดหัวเปล่าๆ เราจะได้ไม่ต้องไปนั่งคอยกลั่นกรองว่า คนนี้ไว้ใจได้ไหม เหตุการณ์มันคลี่คลายไปเอง ทำให้เราเบาแรง คอยรักษา แต่ใจใหอยู่ในทางที่ถูกตองอย่างน มีอะไรเกิดขนก็ยิ้ม ไดัเลมอ แล้วมีกำลังเป็นพลังสะสมเอาไว้ เพื่อว่าเวลามี ปัญหาจริงๆเกิดขน จะได้แก็ใขปัญหาเหลำนเดัเต็มสติกำลัง เพราะจิตที่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ ทำให้สิ้นเปลืองแรงไป เป็นแรงเสียดทานโดยเปล่าประโยชน์ เหมือนอย่างกับ เครื่องยนต์ที่ไม่ดี เริ่มสีกกร่อนแล้ว หรือขาดนํ้ามันหล่อลื่น พอเปิดเครื่องกักประเดียว เครื่องมันร้อน ร้อนจนกระทั่ง ต้องปิดพิกเป็นพัก ๆ ใจคนเราก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีสติ ประเดี๋ยวใจเราก็วูบวาบไปตามอารมณ์เถิดเป็นแรงเสียด
ทาน เที่ยวไปร้อนกับคนนี้ โมโหกับคนโน้น โกรธกับคนนั้นทำให้เครื่องยนต์ร้อน่เป็นพัก ๆ ต้องดับเครื่อง ทำงานไม่ได้แล้ว เมื่อได้พัก อารมณ์จึงดีขึ้นมา ตกลงประสิทธิภาพแย่ คุณภาพก็หย่อนไปเรื่อยๆ อีกหน่อยนายคง บอกว่า ถึงคุณจะเก่งอย่างไร ผมก็ทนอารมณ์คุณไม่ไหว มันก็แย่
ถ้ารู้จักยับยั้งใจของเราได้ รวบรวมสุขภาพจิตได้ เรา จะลดชื่นอยู่เสมอ แจ่มใสอยู่ตลอดกาล เมื่อก่อนนี้พอตกเย็น เราก็เหนื่อย คิดอะไรไม่ออก นอนหลับเอา หลับเอา คราวนี้ ไม่ง่วงไม่เหงาอีกแล้ว เพราะอะไร เพราะใจลดชื่น ใจได้ อาหารที่คูกใจ พอใจถ้าเมื่อไรก็ตาม เราสามารถเห็น งานที่ทำเป็นของ สนุก ลองเกตดู อะไรก็ตามที่ทำด้วยใจร้ก จะเป็นงานอดิเรก หรืออะไรที่เราเห็นว่าเป็นส่วนของตัวเรา ใจจะถูกดูดดึงเข้า ไปคลุกสนุกด้วย ถึงจะเกินเวลาไป เราก็ไม่คำนึงค่าล่วง เวลา แต่ถ้าเป็นงานที่ดับเครียดไม่พอใจไม่ลบอารมณ์ บางที เพิ่งบ่ายสองโมง เราก็พะวงว่าเมื่อไรจะลี่โมงครึ่งเสียที ตกลงงานการไม่เป็นลันทำ ไม่ได้ผลอะไรออกมา เพราะ เครื่องยนต์ผลิตแต่แรงเสียดทาน ชำร้ายยังพลอยฟัาพลอย ฝนติดกลับไปถึงบ้านอีกด้วย ทำให้ละเหี่ยใจ ละเหี่ยกาย ต้องนอนเอาแรง จนตื่นเช้าขึ๋นมา ก็ยังรูลกว่าฉันนอนไม่ยอม
ถ้าสุขภาทจิตเสื่อม คนเราจะเป็นอย่างนี้มันรู้สึกว่า ใจอยากพักอยู่ร่ำไป การนอนเป็นการพักอย่างหนึ่ง เพราะธรรมชาติของใจเมื่อรับแรงเสียดทานจากอารมณ์รักอารมณ์ชัง มาตลอดวัน ถ้าไม่ได้อาหาร ไม่ได้พักผ่อน กล่าวคือไม่ได้นอน มันจะรู้สึกโหยกระสับกระส่ายขาด ความเชื่อมันในตัวเอง หงุดหงิด
คนที่เริ่มเป็นโรคจิต โรคประสาท จะรู้จิกว่าตัวเองมี อาการหิวนอน อยากนอนเอา นอนเอา ไม่อยากพูดจา ปราศรัยกับใคร ตื่นมาแล้วก็บอกว่า นอนไม่พอขอนอน อีก แมัตัวเราเองสังเกตดู เมื่อไรที่มีความข้องใจ ทำงาน ไม่ได้ตามต้องการ จะหิวนอนเป็นบ้าอย่างนี้เหมือนกัน แต่ถ้าช่วงไหนงานของเรามีผลเป็นที่พอใจ ทุกอย่างสะดวก สบาย ถึงไม่นอนก็ไม่ง่วง มีเรี่ยวแรงทำได้ไม่รู้จักเหน็ดจัก เหนื่อยจึงได้บอกว่า ใจเป็นสิ่งยืดหยุ่นได้ตามอารมณ์ ถ้ารู้จัก เลี้ยงดูให้ดี เอาสติให้เป็นอาหาร เอาเหตุผลเป็นเครื่องอยู่ อีกหน่อยใจของเราก็คงเส้นคงวา ไม่เหน็ดเหนื่อย มีประสิทธิภาพ คุณภาพ ก็เยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นของดี มีคุณค่าราคา ตนเองก็ไม่ทรุดโทรมสีกกร่อนร่อยหรอ เพราะ
เครื่องยนต์มีนํ้ามันหล่อลื่นอยู่สมํ่าเสมอ ใครก็อยากอยู่ใกล้ เพราะไม่ทำเสียงอึกทึกโครมคราม หรือพ่นไอนํ้าเดือดออก ไปลวกคนรอบข้างเป็นครั้งคราว ผู้คนที่ทำงานร่วมด้วยก็ ชอบใจโปรดลองทำดู จะให้ผลเกิดความเชื่อมั่น ในที่ลด ใจของเราก็ร่มเย็น มีความสุข คนรอบข้างก็มีความสุขตาม ไปด้วย
จะมีคำถามอะไรไหมคะ?
ถาม นิทานที่อาจารย์เล่ามีข้อคิดดีทงสองเรื่อง คือเรื่อง นามนต์ และเรื่องเสนาบดี อยากเรียนถามว่า ความ ระแวง นั้นอาจารย์มีข้อแนะนำในการขจัดมันได้ อย่างไร ที่อาจารย์บอกให้เป็นคนสอดรู้สอดเห็น จะใชวิธีนี้ก็ได้ มันเป็นอย่างไร
ตอบ วิธีที่จะขจัดความระแวง ตองเริ่มที่ตัวเราเอง เวลาทำ อะไรกับใครให้มี ความจริงใจ ต่อเขา เมื่อไม่พอใจ ใคร อย่าปดตัวเอง แสร้งชมเขา เพราะคนเรามักเผลอ อยู่ต่อหน้าก็ว่าดี ดี แต่พอลับหลังกลับว่าไม่เห็นมีสักอย่าง โปรดเลิกนิสัยอย่างนี้เสียเมื่อไม่พอใจสิ่งที่คนอื่นทำกับเรา หาคำพูดที่
นุ่มนวล เพื่อ ทักท้วง ถ้าเตือนยังไม่ได้ก็นิ่งเฉยเสีย เมื่อทำอย่างนี้สมํ่าเสมอจนเปีนอุปนิสัย ถ้าความ ระแวงเกิดขึ้นมาว่า ที่เขาพูดกับเราเมื่อกี้นี้ เขาจริงใจ แค่ไหน เราก็นึกเปรียบเทียบถึงตัวเอง เรามีความจริง ใจต่อทุกคน ทุกคนก็คงจริงใจกับเรา มันก็ระงับไป ได้ ทำให้ไม่รู้สีกกระวนกระวายจนต้องไปถามเขา ต่อมาก็สอนตัวเองว่า อะไรก็ตาม ถ้าเขาไม่พูดกับเรา โดยตรง ให้ถือว่าเป็น ความฝัน ท่านอาจารย์สิงห์ทองสอนว่าอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้ยินด้วยลองหูของเรา หรือเห็นด้วยลองตาของเราเอง ให้ถือว่าฝัแไป ความ ฝันนั้น พอตื่นขึ้นมาแล้ว มันก็ไม่มีสาระคนอื่นจะมาเล่าอะไรให้เราฬง หรือนินทาหรือ อะไร เราบอกเรื่องเพ้อฝันทั้งนั้น เราไม่เอามาเป็นความจริงเพราะในชีวิตจริง เมื่อไรเราฝัน ตื่นขึ้นมา เราก็ลืมแล้ว ทิ้งไปแล้ว พยายามหยุดใจอย่างนี้เรื่อยๆ อีกหน่อยใจจะหนักแน่นขึ้น พอมีเหตุจริงๆเกิดขึ้น ให้เราได้เห็นด้วยลองตา หรือไดยินด้วยสองหูของเรา เอง เราถึงจะเอาใจเข้าไปแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ขอยกตัวอย่างเรื่องของตัวเอง เมื่อไปวัดทาง อีสาน พระท่านไม่จดธูปเทียนเวลาทำวัตร ก็เรียนคุณแม่ว่า ไม่ต้องเตรียมธูปเทียนฝากไป เวลาจะไปวัด เพราะท่านไม่ใช้ วันหนึ่ง ใกล้กำหนดที่ตัวเอง จะขึ้นไปวัดกลับจากไปธุระเช้าบ้านมา พบธูปเทียน เป็นชุดวางอยู่ 9 ชุด ในใจแวบไปเพ่งโทษคุณแม่ ทันที บอกแล้วก็ไม่จำ พอดีสติไหวตัวเตือน เรายังไม่ ไดียินแม่บอกสักคำว่า นี่ป็นธูปเทียนที่ท่านจะฝาก ไปวัดก็เลยหยุด เสร็จแล้วจริงๆ ไม่ใช่ธูปเทียนของแม่ บังเอิญที่ทำงานบ้องจะท่าบุญเลี้ยงพระ แล้วต้อง เป็นผู้จดธูปเทียนดอกไม้สำหร้บถวายพระ เขาก็จัด เตรียมของเขาไวั ไม่ไต้เกี่ยวช้องกบการไปการมาวัด ของเราเลย
เหตุการณ์นี้สอนใจให้เห็นถึงความระแวงใน ใจของคน ที่มีอยู่โดยไม่รู้ต้ว และก็ไม่รู้เท่าทันต้วยว่า พอคิดชัดส่ายตามไปอย่างนี้แล้ว เราเสียแรงงานไป โดยเปล่าประโยชน์ เพราะเราไปหงุดหงิดเช้าไปแล้ว ที่งที่เรื่องจริงๆไม่มี และตัวอย่างที่ยกมาก็เป็นเรื่อง ไม่เป็นเรื่องด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นเรื่องสสักลำคญที่เราสงสัย ว่าเขานินทาหรือพูดบิดเบือนให้เราเสียหาย ม้นจะ สักแค่ไหนพอเริ่มเห็นเช่นนี้ เราก็เอาสติคอยมองตัวเอง
เรื่อยๆ มันจะเห็นข้อบกพร่องทำนองนี้ พอเห็นครั้งที่ หนึ่งแล้ว มันก็ง่ายชึ้น เมื่อไรที่เผลอไจจะเกิดเรื่องทำ นองนี้ขึ้น สติจะเตือน ประเดียวเราก็พลาดอย่างเดิม อีก เราจะทำตัวเองให้ติดเป็นนิสัยอย่างนั้นทำไม มันก็หยดได้ง่ายเข้า อีกหน่อยใจก็รู้อยู่กับเหตุผล เมื่อ ใจอยู่คุ้นเคยกับเหตุผลแล้ว เราจะรู้สึกว่าใจสบาย ใจเบาชื้นมากมาย ไม่อย่างนั้น แต่ก่อนเราเดินมาดีๆ เห็นเพื่อนห้วเราะกันอยู่ แล้วก็หยด ซึ่งเขาจะหยดของ เขาพอดี เราก็ไปคิดว่า เขาล้อเลียนเราอยู่ พอเห็นเรา เลยหยุด ทำให้เราไม่สบายใจไปทั้งวัน เพราะความ ช่างระแวงของตัวเองแท้ๆ
ถาม คือพบว่าตัวเองมักมีอารมณ์ ตืลูก ลังเกตว่าทุกเย็น จะมีอารมณ์เสียเรื่องลูกทำการบ้านช้า หรือไม่เอาใจ ใส่ทำการบ้าน ทำอย่างไรเราจึงจะทำใจเราให็ไม่ต้อง สนใจเขาได้
ตอบ ที่เราอารมณ์เสียนั้น เพราะเรารักเขามาก อาจคิดไว้ ว่า ถ้าลูกทำการบ้านช้า ไม่เอาใจใส่อย่างนี้ก็เรียน ไม่ท้นเพื่อน จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือเปล่า เราอาจหวังไว้ในใจ โดยไม่รู้ตัวก็ได้ว่า เราอยากให้ เขาเรียนวิชานั้นๆ เพื่อเป็นอย่างนั้นๆ อะไรต่อมิอะไร
ต่างๆนานา ที่เรายึดหว้งเอาไว้ ยิ่งรัก หวงมากเท่าใด เราก็ยิ่งรู้สึกว่า อะไรที่เขาทำมันไม่ถูกใจเรามากขึ้น เท่านั้น คราวนี้เปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ พอจะไปหงุดหงิดกับเขา ให้นึกว่าลูกก็มีจิตใจเป็นของเขาเอง จะ ให้เขาล่วงรู้ไวทันใจเราทุกอย่างย่อมเป็นไปไม่ได้แต่ถ้าใจยังไม่ยอมวาง ยังรู้สึกว่าแหมเขาน่า จะดีกว่านี้ ฯลฯ เราก็นั่งเฝ้าดูเงียบๆ ว่าที่เขาทำการ บ้านช้านั้น เพราะเขาโกรธเรา หรือขณะที่ทำการ บ้านเขานั้งคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วไม่สนใจทำจริง จัง หรือว่าเขาก็ทำจริงๆ แต่วิธีคิดของเขาช้า สับสน ลังเล ไม่เช้าใจ เราจะช่วยเขาได้อย่างไร ให้จับหลักได้ เขาจะได้เร็วขึ้น
ถ้าเป็นเพราะเขาโกง เวลาทำการบ้านก็แอบเล่น เสีย เราก็เปลี่ยนมาตรการโดยไม่ดุ แต่หานิทาน เปรียบเทียบที่ใกล้เคียงกับพฤติกรรมของเขามาเล่าให้ เขาเกิดความรู้สึกขึ้นเอง เหมือนอย่างหลานของดีฉัน เป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ชอบดื้อ ถ้าใครห้าม ว่าอย่าเขาจะด้องดึงด้นทำให้ได้กันหนึ่งดีฉันเล่านิทานเรื่องช้างเกเรให้ฬงว่า มึลูกช้างด้วหนึ่ง มันกำพร้าไม่มืพ่อแม่คอยสั่งสอนเลยดื้อเกเร อันที่จริง มันไม่รู้ว่าตัวเองเกเร ใครห้าม ว่า อย่า มันเป็นต้องลองทำ แล้วก็สนุกว่า เขาจะโกรธ อย่างไรบ้าง วันหนึ่งมันเดินเที่ยวชุกชนไปในป่า เผอิญเมื่อคืนก่อน พายุพัดรังของแม่นกไล้ตกลงมา ข้างทาง ในรังมีลูกนกเล็กๆที่ยังบินไม่ไต้ลองตัว แม่นกจะคาบรังขึ้นไปไว้บนต้นไม้อย่างเดิม ก็คาบ ไม่ไหว เลยนั่งเฝืาอยู่ที่ปากรัง พอเห็นลูกข้างเดินมา แต่ไกลก็กลัว ริบบินไปหาลูกข้างไหว้วอนว่า ลูกข้าง ไปเที่ยวทางอื่นเถอะ อย่ามาทางนี้เลย เดียวจะ พลาดมาเหยียบลูกนกเข้า ลูกข้างก็ยิ่งสนุกใหญ่ ลูกนกที่ไหน ถามพร้อมกับเดินใกล้เข้ามาใกล้เข้ามายิ่งว่าอย่าเข้าไปใกล้ มันก็เลยลองเอาเท้าเหยียบดู เบาๆ ลูกนกเลยแหลกคาเท้าที่งสองตัว เรียบร้อยหมด แม่นกก็เสียใจ เอาแต่ร้องไห้แม่นกมีเพื่อนอีกสองตัว เป็นแมลงวันตัวหนึ่ง กบตัวหนึ่ง ลัตว์ที่งสามพบกันทุกวัน มาวันนี้แมลง วันกับกบแปลกใจที่แม่นกยังไม่บินมาหาอาหาร จึงชวนกันตามหาแม่นกจนพบ กำลังนั่งร้องไห้อยู่ ก็เข้ามาชักถามจนได้เรื่องว่าเป็นมาอย่างไร อย่างไร แมลงว้นห้วเลนาธํการ พอพังเรื่องจบ ก็คิดหาทางแก้แค้นแทนแม่นก คิด คิด จนเห็นลู่ทางจึงบอกให้แม่นกหยุดร้องไห้ แล้วฟังให้ดีถ้าลูกช้างเดินไปทางไหนให้แม่นกคอยบินตามไปจิกตรงลูกตาให้ได้ จิกให้เป็นแผล แล้วแมลงวันจะไปหยอดไข่ให้เป็น หนอน ชอนไชแผลจนตาลูกช้างบอด พอตาบอด แล้ว ลูกช้างจะกระหายนํ้าให้กับพรรคพวกไปอยู่ ที่ปากเหวพอเห็นลูกช้างเดินมาทางนั้นให้พากันร้องขึ้นลูกช้างจะได้เข้าใจผิดว่า ตรงนั้นเป็นหนองน้ำก็เดินลงไปหมายจะกินจะได้กลิ้งตกเหวไปสัตว์ทั้งสามมีความสุขที่จะสั่งสอนลูกช้างให้รู้สำนึก ก็พยายามทำตามแผนจนผลที่สุดลูกช้างกลิ้งตกเหวตายไปจริงๆดิฉันเล่าจบก็สรุปให้หลานฟังว่า เห็นไหม ลูก ช้างก็ไม่รู้ว่าที่มันสนุกนั้นเป็นลาเหตุให้ใครเสียใจ เจ็บใจ แค้นใจอย่างไรบาง แมลงวัน กบ และแม่นกก็ ไม่ไดิคิดว่ามันจะสามารถทำให้ลูกช้างตายได้จริงๆ มันคิดแต่เพียงว่า เมื่อลูกช้างมารังแกทำให้มันเสียใจ ได้มันก็ตองทำให้ลูกช้างรู้จักเจ็บปวดเสียใจบ้างแต่ผลปรากฎว่าลูกนกก็ตายไปลูกช้างก็ตายไป แล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะจิตใจผู้เกี่ยวข้องล้วน
หนักไปด้วยความทุกข์
ขณะที่ฟังนิทาน หลานทำท่าครุ่นคิดสักครู่ก็สารภาพว่า เขาก็ไปแกล้งคนนั้นคนนี้ เราก็ถามว่า แล้วเขาว่ามันดีไหมละคะ เขาก็ว่าไม่ดีไม่ดีพร้อม ที่งบอกต่อว่า ทีนี้จะไม่ทำอีกแล้ว เพราะไม่อยาก เป็นลูกช้างเกเรจากนั้นมา เขาก็คอยยับยงตัวเองบางทีถ้าเผลอ เราก็คอยเตือนว่าจะเป็นลูกช้างเกเรหรือ เขาก็ขัดเกลาตัวเองจนหายจากนิสัยนี้ได้ บางครั้งเราก็ต้องใช้อุบายเล่าเป็นนิทานแทนการสอนโดยตรง ถ้ารู้ว่าเขาโกง แอบเล่นบ้าง เราก็เอานิทานกระต่ายยับเต่าแข่งกันมาเล่าให้เขาค่อยๆ เห็นของเขาเอง แล้วยอมรับเขาจะได้ปรับปรุงตัวเอง แต่ถ้าเราไปบอกว่าไม่ได้ เวลาทำการบ้านอย่า เล่น ยิ่งแอบเล่นใหญ่เลย แล้วก็สนุกที่ทำให้แม่โกรธ ถือเป็นความสุขเหลือเกิน
ถาม ที่อาจารย์พูดเรื่องจิตใจ ก็มีเหตุผล อยากทราบว่า อาจารย์ศึกษาอย่างไรครับ ศึกษาเกี่ยวยับจิตใจของ เราที่อาจารย์พูดมานี้ครับ
ตอบ สมัยเรียนแพทย์ก็เรียนจิตวทยา เป็นหมอเด็ก ก็ต้อง เรียนจิตวทยาเด็ก ตัวเองก็สนใจทางด้านนี้อยู่ จึงหาหนังสืออ่าน และคอยติดตามวารสารต่างๆ แต่ถึงจะ ศึกษาจิตวิทยา หรือศึกษาตำราอย่างไร มันก็ไม่รู้แจ้ง เห็นจริงเหมือนเรามาศึกษาจิตใจของตัวเองด้วยการ ปีกสต ตามดูใจของตัว เวลาที่กระเพื่อมจากผัสสะที่ มากระทบ พอจับได้ทัน เราฝึกใจให้เป็นไปตามที่ ต้องการได้ เราก็จะเห็นผลแท้ เกิดความชื่นใจ เชื่อ มัน ใจเราเองก็สงบสุขขึ้นมาจริงๆ ตรงนี้สิคะที่ สำคัญ
ถาม บางคนไม่ใช่คนอย่างที่เราคิดว่าเขาจะเป็น อย่าง นิทานที่อาจารย์เล่าถึงสามีภรรยาที่อมนํ้ามนต์ เป็น ไปไดไหมครับ ที่ใครจะอมนํ้ามนต์เป็นปี
ตอบ ทำไมไปคิดในแง่ร้าย ยังไม่ทันลองเลย แสดงว่า ประสบการณ์ในชีวิตของคุณสอนคุณให้มองคนใน แง่ร้าย จิตใจเลยหมดกำลังตั้งแต่ยังไม่ทันลงมือ
ถาม เราน่าจะมองโลกในลองทางใช่ไหมว่า อาจจะมื อย่างที่เราคิด และอย่างที่ไม่คาดคิด
ตอบ ถ้าไม่มองเช่นนั้น เราขาดทุน ของอะไรๆในโลกน มีลองลักษณะทงนั้น คนก็มีลองชนิด มีทั่งคนดีและคนไม่ดี เวลาพบใคร อย่าเพิ่งไปตีราคาเขาว่าคนนี้น่ากลัวจะร้าย เพราะคิดอย่างนั้นแล้ว เราไปฝังใจยึดระแวงเอาไว้ ถ้าเขาทำดี เราก็ไม่ยอมปลงใจเชื่อ คราวนี้อาจเป็นความบังเอิญ เลยมีจิตใจที่ไม่เป็น ธรรมกับเขา แต่ถ้าเราทำใจให้ว่าง เป็นกลางเอา ไว้ ใช่ คนในโลกก็มีลองประเภท คนดีกับคนไม่ดี เขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราให้โอกาลเขาเต็มที่ คือวางใจของเราเอาไว้ที่จดศูนย์จริงๆ แล้วรับข้อมูลที่ เขาแสดงเข้ามา เขาแสดงอะไร เมื่อใจเราเป็ดกว้าง เราก็จะเห็นตามเป็นจริง ไม่อย่างนั้นเราขาดทุน ดีฉันเองเมื่อเด็ก เรียนหนังสืออยู่โรงเรียนแม่ชี ท่านสอนให้มองใครในแง่ดีเข้าไว้ มองที่ ร้อยเปอร์- เซ็นต์ เต็ม ครนเขาทำไม่ดีกับเรา เราก็เสืยใจ ผิดหวัง เห็นโลกนี้ไมดีเลย ทำไมมีแต่คนไมดี ตอนไปเรียนต่อ ที่เมืองนอก อาจารย์ที่ปรกษาสอนให้ตั้งต์นที่ห้าสิบ ห้าสิบ ท่านว่าใครจะไปดีหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ ตั้ง ต้นที่ตรงกลางคือห้าสิบนี้ ถ้าใครก็ตามได้คะแนน เพิ่มขึ้น ก็ถูกต้องเป็นคนคบได้ ถ้าใครถูกลดคะแนน แปลว่า เขาไม่มีคุณค่าที่เราจะต้องไปเสียใจ เสียดายเราก็นึกโลกนี้เซ็งหมด พบกัน มองกัน ให้แค่ห้าสิบห้าสิบ ไม่มีมิตรจิตมิตรใจกันเลย แต่เราก็ยอม เชื่อเพราะมีเหตุผล ไม่อย่างนั้น ให้ร้อยทีไรมีแต่ทางลบทุกทีใจเราก็ขาดทุนพอเข้าวัดท่านอาจารย์ กลบสอนว่า อะไรก็เรียนหมอจนจบมาได้ยังไง ช่างโง่เซ่อจริงๆ ต้องเริมต้นที่ศูนย์สิ เราก็ประท้วง แข็งข้น อะไรก็น ท่านอาจารย์พระพทธเจ้าให้เมตตา ต่อก็น แล้วท่านอาจารย์ให้มองคนทีศูนย์ จะใช่ หรือ ก็ใช่ละสิ เริ่มที่ไหนๆเราก็เอาอุปาทานของเรา ไประบายสีเขาเข้าไปแล้ว เราไม่เคยรู้จ้กเขา นึกถึง เขาก็คือศูนย์ ความว่างเปล่า เราอยากให้เขาเป็นสี เขียวเราก็เอาสีเขียวไประบายไว้ พอเขาฉายสี ม่วงออกมาเราก็โกรธ เพราะความโง่เซ่อของเราเอง แท้ๆเพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม คือระวงวางใจ ให้ตั้งต้นที่ศูนย์ เราไม่รู้จักเขาเลย เขาแสดงอะไรออกมาเราเรียนรู้ตามจริง เราก็ไม่ผิดหว้งเราก็ไม่โกรธหรือรัก โดยไม่เป็นความจริงตรงที่จะมีสติควบคุมใจให้ตั้งด้นที่ศูนย์นี่สิ มันยากเป็นบ้าเลย เพราะเห็นก็อดไม่ได้แล้วปกติใจเรามันไปเร็วกว่าที่คิดพอเห็นอะไรปุ๊บเราไปตีราคา แล้วชอบไม่ชอบดีไม่ดีสังเกตใจของคุณดูสิ เวลาเห็นดอกไม้คุณไม่บอกหรอกว่า นี่ดอกกุหลาบ ดอกดาวเรือง คุณจะบอก ดอกสีแดงสวยฉันชอบอยากได้จังดีไม่ดีเด็ดเอามาโดยพลการเลย สิเหลืองไม่ได้ความจะไปครบวงจรอย่างนี้แล้ว ก่อกรรมวิบากครบรอบ โดย ไม่มีสติรับรู้เลย
ถาม ถ้าตั้งด้นที่ศูนย์ ต่อไปเขาก็ไม่ดีขึ้นมา
ตอบ การตั้งด้นที่ศูนย์ หมายความว่า เราไม่บวก ไม่ลบกบ
เขา เป็นต้นว่า คุณ ก มาทำงานกองเดียวกับเรา เราก็รู้ว่า อ้อ คุณ ก แล้วเตรียมใจพร้อมที่จะรู้จัก คุณ ก ตามที่เป็นจริง คุณ ก แสดงอาการให้เห็น ว่า เวลาเหนื่อยจะหงุดหงิดไม่มีเหตุผล เราก็จำไว้ ว่า คุณ ก เหนื่อยไม่ได้เวลาเหนื่อยอย่าไปติดต่อธุระ ด้วย เก็บสะสมเป็นข้อมูลเกี่ยวกับคุณ ก ต่อไปเรา
มีกิจจะเกี่ยวข้องกับคุณ ก ก็อาศัยข้อมูลเหล่านี้มา ช่วยเหลือถ้าไม่ตั้งความเห็นให้เที่ยงตรงอย่างนี้ ไปคิดว่า คุณ ก ถูกใจเรา เลยไม่ใส่ใจกาลเทคะ หรือเหตุผล เพราะคุณ ก เป็นที่ถูกกิเลสของเรา คุณ ก จะรู้สึก อย่างไร ถ้าเราวิ่งไปหาคุณ ก ต้องกุลีกกุจอบ่งการ ครั้นคุณ ก หงุดหงิดขึ้นมา เราก็น้อยใจ ตัดพ้อต่อว่า อะไรกัน ของแค่นี้คุณก็ไม่มีนํ้าใจกับผม ตกลง คุณ ก กับเราก็เริ่มเซ็งใส่กัน แต่ถ้าเอาใจตั้งไว้ที่ศูนย์ คุณ ก หงุดหงิด เราก็เคารพสิทธของคุณ ก กล่าวคำ ขอโทษ ไม่ทำอะไรที่จะก่อกวนผลักดันให้คุณ ก ดับเครียดมากขึ้นแต่ถ้ามีเหตุจำเป็น เราก็บอกคุณ ก ว่า ถึงคุณ ก จะเหนื่อย เครียด ตอนนี้มันมีเหตุฉุกเฉินจำเป็น โปรดตั้งสติให้ดีๆ ฟังผมลักหน่อยการตั้งต้นที่ศูนย์ ไม่ไต้หมายความว่า เราไป กำหนดเวลาเท่านั้น เท่านี้ เขาจะต้องปฏิรูปตัวเองให้ มาถูกกิเลสของเรา แต่เป็นว่า เราไม่ไปยึด หรือไม่ ไปคิดเอาเองว่า เขาน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างกรณีที่คุณถามดิฉันตอนแรกว่า แล้วภรรยา ต้องอมนี้ามนต์เป็นปีหรือ ถ้าเหตุมีว่า เราไปเลือก สามีที่ยึดมั่นดื้อรั้นอย่างนั้น เราก็คงอมเป็นปี ก็ตอน ท่าห้นส่วนเซ็นลัญญากัน ทำไมไม่ดูให้รอบคอบ ถ้าเห็นว่าเราแถ้ดัวเองให้เลิกดันกับพฤติกรรมของเขา ไม่ได้ และไม่อยากอมนํ้ามนต์ ก็บอกเลิกห้นส่วน เสีย
ถาม หมายความว่า ไม่มีใครที่จะท่าอะไรคงเส้นคงวา
ตลอดเวลา เราต้องเข้าใจเขาให้โอกาสเขาพอเขาถอยเข้ารูปเข้ารอยบ้าง มีโอกาสที่เราจะบอกไดใช่ หรือไม่
ตอบ พระพุทธเจ้าทรงลอนว่า ใจคนเราต่อให้เป็นคนเลวที่สุด ขณะที่เหตุปัจจัยพอเหมาะที่จะดี ก็ดีไดถึงที่ลด เหมือนกัน เพราะใจของทุกคนเป็นพุทธะ มีสติ สัมปชัญญะปัญญาครบครัน รู้ผิดชอบชั่วดีใด้เท่า พระพุทธเจ้าทั้งนั้นที่เรานํ้าขึ้นนํ้าลง เดียวก็ดีเดียวก็ร้าย พลิกควํ่าพลิกหงาย เพราะยังมีอารมณ์ สิ่งเปีอนปนเข้ามาคอยบดบ้งฉดรงอยู่ แปรตามแรงข้างนอกที่มาประยุกต์ บางทีความไม่ไต้ด้งใจ ทำให้เราบิดเบี้ยวไปตาม อารมณ์เหล่านั้น ถ้าเผื่อเก็ดภาวะที่เหมาะเจาะดี ใจที่เลอะเทอะตามอารมณ์ก็ลามารถพลิกเป็นดีร้อย เปอร์เซ็นต์ไต้ยันทุกคน ถ้าให้โอกาสและมีความหวง ดีต่อยันจริงๆท่านจึงบอก ไม่มีใครที่เลวเกินจะแก้ไข ขอให้ เรามีความหวงต่อยันเอาไว้ แต่ไม่ไปยึดหยังว่า เมื่อ นั้น เมื่อนี้ เขาต้องดีขึ้น เราประกอบแต่เหตุ ส่วนผล จะออกมาอย่างไรเป็นเรื่องของผล แล้วเราจะมีความสุขใจต่อกัน
ถาม ในทางโลก ถ้าคนไหนดี จะเป็นคนที่มักเสียเปรียบอยู่ เรื่อย
ตอบ เรามองอย่างนั้นก็ได้ แต่จริงๆแล้ว ความคิดของคน เราเป็นของกลางๆ ด้วยตัวของมันเอง ไม่ทำให้เราทุกข์ เราสุข สุดแต่เราจะมีอุบายแยบคายไปปรุงแต่งให้ มันเป็นอกุศลหรือกุศลต่อจิตใจของเรา ขออนุญาต ยกตัวอย่างอาจารย์ท่านหนึ่ง เป็นคนดี ตลอดเวลา ทำงานอุทิศตนเพื่อลาธารณะประโยชน์ เป็นด้นว่า ช่วยสมาคมด้วยการออกไปสอนพิเศษให้ตามโรงเรียนต่างจังหวัดเป็นครงคราว โดยไม่รับค่าตอบ แทน ผู้ที่รู้จักอาจารย์ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกัน ว่า อาจารย์เป็นคนดี อาจารย์อายุยังไม่ถึงสี่ลิบ เมื่อ เป็นมะเร็งที่บริเวณโพรงจมูกต่อกับคอหอย ( naso-pharynx )แล้วกระจายไปกระดูก ช่วงที่มะเร็งไปที่ กระลูก อาจารย์เจ็บปวด ทุกข์ทรมานแลนสาหัส หลายคนพิศวงว่า ทำไมผลตอบแทนความดีของ อาจารย์ถึงกลายเป็นความทรมานอย่างนั้นตัวอาจารย์ก็คิดอย่างนั้น เมื่อเราพบกัน อาจารย์ ปรารภว่า การทำดีให้ผลเป็นความดีแน่หรือ ผมจะตายก็ไม่ว่า จะต้องตายเร็วก็ยอมรับ แต่ทำไมต้อง ให้ทรมานกันถึงอย่างนี้
ดิฉันก็เรียนอาจารย์ว่า ทำไมไปคิดว่าความ ทรมานคือการลงโทษ ทำไมไม่คิดบ้างว่า เพราะเรา ดีทางโลกครบถ้วนหมด จนกระทั่งขณะสบายดี ถ้า ใครมาบอกว่า อาจารย์ยังขาดตกบกพร่อง คือไม่รู้จัก ดูแลใจตัวเองเลย อาจารย์ย่อมไม่เชื่อ เพราะอาจารย์ สุขสบายทุกอย่าง ต้วยเหตุนี้เอง ผลความดีทั่งมวล ของอาจารย์จึงทำให้อาจารย์ได้ลอบซ้อมใหญ่กับ มะเร็งกระดก จนเกิดสะคุดใจว่า การที่เราทำดีมาทั่งหมดและที่เคยคิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว มันไม่พร้อม เพราะมันไม่สามารถช่วยอาจารย์ไห้มองความเจ็บ ปวดนี้เป็นธรรมชาติได้ ถ้าอาจารย์คิดขวนขวาย อยากศึกษาเรื่องของใจ อยากทำความรู้จักกับชีวิตเพิ่มขึ้น อาจารย์ก็ได้ประโยชน์ จากตรงนี้แหละเป็น จดเหนี่ยวนำให้อาจารย์เรื่มรี)กลติ เริ่มหดทำภาวนาดู อาจารย์ก็ถามว่า เราทำภาวนาไปเพื่ออะไร ดิฉันตอบ สำหรับอาจารย์ก็คงเพื่อไหใจ เห็นจริง จนเชื่อว่าใจเป็นพลัง แต่กายเป็นดินกับนํ้า แล้วมีลม กับไฟมาร่วมอาลัย เมื่อร่างกายแปรปรวนด้วยพยาธิ
สภาพ เกิดเจ็บปวดถึงจุดหนึ่งที่มนต้องแตกสลายไป เหมือนบ้านเรือน ไม่ว่าเราจะปลูกดีแค่ไหน เมื่อหมดอายุขัยตึกก็ต้องทรุดโทรมพังไป แต่เมื่อตึกพังไป คนที่อาศัยอยู่ในตึกไม่ได้ตายไปกับตึกด้วยเราเดินออกประตู ไปหาตึกใหม่สำหร้บอยู่อาศัยใจก็เป็นทำนองนั้น ถ้าอาจารย่ไม่เคยรีเกใจจนรู้ ขัดอย่างนี้ อาจารย์ย่อมไม่เชื่อ แต่ถ้าลองทำจนเห็น จริง อาจารย์ก็จะเข้าใจอย่างที่พระพุทธเด้าทรงสอน ไว้ว่า ความเจ็บปวด กาย ใจ เป็นคนละส่วนคนละ อันก้น ไม่ได้เที่ยวข้องเป็นอันเดียวก้นเลย อาจารย์ก็ พัง และตั้งใจศึกษาวิธีทำสมาธิดิฉันเรียนอาจารย์ว่า ถ้าทำสมาธิได้ จิตจะรู้ขัด ว่า ธรรมชาติของกายกับใจแยกจากกัน เพราะ ว่าจริงเแล้ว ที่เราว่าเราเห็นทางตา ได้ยินทางหู รู้ รสทางลน ได้กลิ่นทางจมูก รู้สัมผัสได้ทางผิวกาย นั้น ไม่ใช่เพราะประสาทตา หู จมูก ลิ่น กายสัมผัส เหล่านั้นหรอก แต่เป็นเพราะใจเป็นต้ววิ่งไปโผล่ตาม หนาต่าง 5 บาน คือ ตา หู จมูก ลิ่น กายสัมผัส เมื่อไรที่อะไรมากระทบตาของเรา ใจก็เอาตัวเอง วิ่งออกไปรบรู้ด้วยตา ถ้าไม่มีใจเสียอย่าง ทั้งๆที่ตา หู จมูก ลน กายลัมผัลยังมีอยู่ เป็นต้นว่า คนตาย มันรูไม่ได้ถ้าเมื่อไรก็ตาม เราสามารถรวมใจของเราเข้า มาอยู่ในใจแห่งเดียว ปิดหน้าต่าง 5 บานให้สนิท ทั้งๆทกายยังมีอยู่ เราก็จะไม่รู้สึกว่ามีกายเมื่อลองทำสมาธิครั้งแรก ความเป็นคนดีของ อาจารย์ก็เป็นเหตุปัจจัยให้จิตลงรวมเป็นสมาธิ จน กระทั้งอาจารย์รู้สกว่า ขณะที่ใจลงรวมนี้น อาจารย์ ปีแต่ตัวรู้คือ สติ แจ่มชัดอยู่ แต่กายเบาหายไปหมด ซึ่งดิฉันกุเรียนอาจารย์ว่า นี่แหละ ขณะจะตายใจจะ รู้อย่างนี้ กายก็เบาหลุดออกไป ไม่ไต้เจ็บปวดทุรน ทุรายจนกระทั้งทนไม่ได้แต่ก่อนอาจารย์ทุกข์กังวลว่า เวลากายจะแตก ดับ มันคงเจ็บจนทนไม่ไหว อาจารย์ก็มีกำลังใจขึ้น หลังจากทั้น เวลาความเจ็บปวดรุนแรงมากๆ อาจารย์ จะทำสมาธิ ถ้าจิตลงรวมไต้ ความเจ็บจะหายหรือ บรรเทาไป หรือถ้าไม่หายความเจ็บก็เจ็บอยู่เฉพาะ ที่กระดูก แต่ใจคงเป็นปกติ ไม่ทุรนทุรายเจ็บปวด ตามไปด้วยต่อมามะเร็งลามไปที่ปอด ทำให้นํ้าท่วม
ปอด อาจารย์รู้ลีกอึดอัด เหมือนกับว่า หายใจไม่เข้า ระหว่างนั้นอาจารย์ทำสมาธิค่อนข้างคล่องแล้ว ดิอัน ก็เตือนสติว่า อาจารย์ไม่ได้อังเกตหรือว่า เวลาใจรวม เป็นสมาธิแนบแน่นนั้น อาจารย์ไม่ได้หายใจทาง ปอดอักหน่อย อาจารย์ได้ติดและเห็นพ้องด้วย ทำให้ สามารถประคองสติ อาศยสมาธิเป็นเครื่องพ้กของ กายให้สงบอยู่ได้ จนถึงวาระที่ทุกอย่างสิ้นกำลัง เหมือนใบไม้ที่เหลืองแก่ ปลิวหลุดจากขั้วไป อาจารย์ ก็สิ้นลมไปอย่างสงบ ไม่ได้ทุรนทุรายทงๅที่นํ้าท่วม ปอด อาจารย์มีสติรักษาใจ จนกระทั่งหมดลม ซึ่ง เป็นสิ่งดี เพราะสติเป็นเครื่องรักษาใจ ให็ไม่ไปยึดกับ ความเจ็บปวด หรือไปยึดอยู่กับสิ่งใดๆที่จะทำให้เรา เขวออกนอกมรรคไปทั้งหมดนก็คือกุศลผลบุญจากคุณความดีของ อาจารย์มาเกื้อหนุน ไม่อย่างนั้น อาจารย์ก็ยงคงหลงผิดว่าใจของตนที่เต็มไปด้วยตะกอนกิเลสเป็น สิ่งปลอดกัยแล้ว เลยไม่เคยแยกแยะทำความรู้จักกับ ม้น กาลเวลาก็กลืนกินชีวิตไปโดยไร้ความหมาย เพราะอยู่ไปด้วยความม้วเมาในชีวิต อย่างที่เชื่อกัน ว่า ความสำเร็จทางโลก คือทรัพย์ศฤงคาร ชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ ยศคักดเท่านั้นที่มีความหมายแต่ไม่ได้เตรียมสำหรับใจว่าจะมีอะไรเป็น เสบียงบ้าง มีความระลึกรู้ตามเป็นจริง มีสติปัญญา รักษาใจตนอยู่แค่ไหนถ้าพิจารณาอย่างนี้ บางทของที่แลดูเหมือนไม่ดี เป็นความขาดทุนทางโลกอาจเป็นกำไรอย่างมหาศาลในทางธรรมก็ได้ มันอยู่ที่ว่า เราจะ ละเอียดรอบคอบในการมองอย่างไร
ถาม อาจารย์หมายความว่า บางทีเราอาจด้องสละอะไร ทางโลกใช่ไหม ถ้าการกระทำนั้นผิดทางธรรม
ตอบ ถ้าใจเชื่อ ศรัทธา และมุ่งในธรรม เราสละโลกเอง เพื่อรักษาธรรม
ความมีหรือความเสือมจากลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่เรียกว่า โลกธรรมนั้น ท่านผูรเปรียบเหมือน เปลือกผลไม้ พระพุทธองค์ทรงปอกทงไป เพื่อเสวย เนื้อผลไม้ ได้แก่ใจที่รูโลก เต็มรอบตามความเป็น จริง รู้ประจักษ์ชดแล้วก็ปล่อยวาง ไม่ไปยึดอยากหวงแหน หรือผลักไส คบของ ทำให้ใจเป็น อิสระจากเครื่องเกาะเที่ยวรัอยรัดพวกเราที่ยังรูไม่ชัด ก็ยึดอยู่ในลาภ ยศ อำนาจ ทรัพย์สมปติ ก่อเวรก่อภัย เข่นฆ่ากัน เพื่อแย่งชิง สิ่งชึ่งผู้รู้ท่านเห็นเสมือนเปลือกผลไม้มาเก็บสะสม ไว้ ครั้นมันแปรเปลี่ยนไปตามสภาพของมันมียศเสื่อมยศสรรเสริญนินทา เหมือนกลางวัน กลางคืน ที่ปรากฏให้เห็นทุกวี่วัน ตงแต่วันเกิดตราบเท่าวัน ตาย เราก็ทุกข์ เพราะปล่อยใจให้เขลา หลงผิด คืด ต่อต้านความจริง
การจะฝืกใจให้เที่ยงตรงต่อความจริง คือการ จดจ่อสติ เพ่งดูให้รู้ว่ากายกับใจของเราเป็นคนละ ล่วน คนละธาตุกัน จากต้วอย่างเมื่อกี้ ถาอาจารย์ ท่านนั้นไม่ไต้เจ็บชนิดหมดหวัง ดฉันก็ไม่รุกฆาตถึง ขนาดนี้ แต่พิจารณาสถานการณ์แล้ว ไม่มีทางอื่น ยังไง ๆ อาจารย์ก็ตายแน่ ไหนๆ จะตายทั้งทีก็ควร ตายแบบไม่ขาดทุนสูญกำไร คือใจได้เห็นความจริง ก่อนตายว่า กายและใจนั้นเปรียบเหมือนน้ำกับน้ำมัน ต่างอันต่างอยู่ แต่เพราะเราเอาความหลงผิด มายึดมันเข้าไว้ด้วยกัน โดยการเขย่านํ้ากับนํ้ามัน ให้กลายเป็นของผสมขุ่นขาว อะไรมากระแทกกาย เราก็ยึดว่าใจถกกระแทก เจ็บปวดรวดร้าวไปด้วย
ถ้าเราระมัดระวังให้นั้ากับป้ามันได้นิ่งสนิท จนมันแยกตัวจากกันเป็นคนละชั้น แล้วค่อยรินนํ้ามัน แยกออกมา เราก็จะได้นํ้ามันส่วนหนิ่ง นํ้าส่วนหนิ่ง ไม่ติดปะปนกัน กายและใจของสิ่งมีซีวัตก็แยกจาก กันได้ทำนองนั้นกายเป็นสมมติ เหมือนสรรพสิ่งสมมติอื่นๆ ใน โลกนี้ มืธรรมชาติแปรเปลี่ยน เกิด ตั้งอยู่ เสื่อมสลายแตกดับหมุนเวียนเป็นวัฎดักรอยู่เช่นนี้ ส่วนใจเป็น พลังไม่แตกดับ หรือสูญสลายที่สุด จดหมายปลายทางคืออย่างนี้ ปลดวาง ความยึด ความหลงผิดในธรรม แต่ความพร้อมของ ใจแต่ละคนไม่เท่ากันอาจารย์โปรดมองใจของอาจารย์เองว่า พร้อมจะเดนไปไกลแค่ไหนก็เอาแค่ นั้นก่อน
ถาม อาจารย์ครับ สงลัยเรื่องที่พิสูจน์ได้ว่า หายใจทาง ผิวหมัง
ตอบ ถ้าสงลัย ก็ลองทำสมาธิให็จิตรวมจนเป็นอ้ปปนา- สมาธิ แล้วคุณจะรู้เห็นเป็นกับตัวเองว่า เราหายใจ ทางผิวหนังจริงๆ
ถาม ผิดหลักสรืรวัทยาหรือเปล่าครับ
ตอบ สอดคล้องตามหลักสรีรวิทยา เพราะในภาวะสมาธิ การกรองธาตุของร่างกายลดตํ่ายิ่งกว่าอตรากรอง ธาตุพื้นฐาน (BMR) ขณะร่างกายนอนหลับ ถ้าจะ เปรียบเทียบก็คงคล้ายลัตว์ที่จำศีลในช่วงฤดูหนาว ทำให้การใซ้ออกชิเยนลดน้อยมาก ถ้าหายใจทาง ปอดอยู่ จะสุรุ่ยสุร่ายแรงงานโดยไม่จำเป็น เพราะ ภาวะนั้นเราใช้ออกชิเยนนิดเดียว เพื่อแค่ซึมผ่านทาง ผิวหน้งก็เพียงพอแล้ว
ถาม ทำไมถึงต้องเอาไปเปรียบเทียบกับลัตว์พวกสะเทิน นํ้าสะเทินบกละครีบ
ตอบ ไม่ใช่เอาไปเปรียบเทียบ ความจรีงเป็นอย่างนั้น เป็นสภาวะธรรมชาติที่ปรากฎเป็นขึ้น แล้วเราติดตาม ศึกษา วิเคราะห์ จากปรากฎการณ์ที่ร่างกายคนเรา เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ขณะที่จิตรวมเป็นสมาธิแนบ แน่น ร่างกายจะแสดงลักษณะคล้ายคลึงกับถูกทำ hypothermia เพื่อผ่าตัดห้วใจ วงการวิทยาศาสตร์จึงพบ ว่าการชะลอความแก่ หรือเคล็ดลับในการมีอายยืน คือเจริญสมาธิหรือเอาร่างกายไปเช้าช่องแข็งเก็บ รักษาไว้เมื่อไรที่ต้องการมีกิจกรรมก็เอาออกมา ทำให้ห้วใจเต้นตามจงหวะปกติ และหายใจทางปอด
เหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ถ้าคุณเคยไปกราบครูบาอาจารย์ที่ปฎิปติภาวนา หรือไดิใปสัมผัสฤาษี โยคีทั้งหลายตามเทือกเขาหิมาลัย คุณจะพบว่าคนเหล่านี้หนุ่มกว่าอายุจริง มาก ๆหรืออย่างที่เราเห็น เราสงสัยว่า โยคีเล่นกล หรือทำอย่างไร จึงสามารถลงไปอยู่ในหีบปิดฝาตอก ตะปู ฝืงดินไว้ 7 วัน หรือกว่านั้น ครบกำหนด ขดขึ้น มา ปรากฏว่าโยคีย์งมีชีวิตอยู่เป็นปกติ เขาไม่ได้ เล่นกล แต่ทำสมาธิจนเป็นวสี ระหว่างอยู่ในหีบก็ เข้าสมาธิ พอครบกำหนดเปิดฝาหีบ เขาก็ออกจาก สมาธิ อากาศที่มือยู่ในหีบแค่นนนะ เกินพอที่เขาจะ หายใจทางผิวหนัง ถ้าคุณอยากทดลองดูก็ได้ เวลา เข้าที่คับขัน อาจไข้ช่วยคัวเองได้
ถาม ขอเรียนถามอาจารย์พูดถึงการรืเกสติบ่อยมาก
อาจารย์มีคำแนะนำอะไรสำหรับฝึกสติให้ผู้เริ่มต้น บ้าง รู้สึกว่า วิธีที่ใช้อยู่ปัจจุบัน มันก็ได้ผลสำหรับ เรา อย่างเช่น ยกตัวอย่างว่า บางคนบอกว่า ถ้าดู หนังสือต้องทำให้มีสมาธิ มุ่งแต่ในสิ่งนั้นอย่างเดียว แต่คัวเองไม่ใช่ว่าทำอย่างนั้นได้ เพราะถ้าดูหนังสือ ไม่มีวิทยุฟังด้วย เขียนหนังสือด้วย กินขนมด้วยจะทำไม่ได้เลย
ตอบ แล้วเวลาที่คุณทำอย่างนั้น คุณเคยรู้สึกด้วยไหมว่า บางทีคุณไม่ไดยินวิทยุที่เปิดไว้ พูดว่าอย่างไรบ้าง เป็นแต่ว่าคุณคุ้นเคยกบการที่ถ้าไม่มีเสียง คุณรู้สึก แปลก แล้วเลยพาลระแวง สะด้งกลัว จนไม่สามารถ เอาใจไปใส่ไว้กบหนังสือ จริง ๆ นั้นเสียงวิทยุที่เปิด เอาไวิไม่ได้เพื่อฟัง หรือมีส่วนช่วยให้ดูหนังสือไดดี ขึ้น แต่มนช่วยให้คุณอุ่นใจ แล้วเอาสติไปจดจ่อก้บ หนังสือไดดีขึ้น ทำงานได้เต็มที่ขึ้น
ทีนี้การเกิดสติ คือการจะทำอะไรก็รู้ว่าเรากำลง ทำอะไรอยู่ เมื่อไรก็ตามที่กายกบใจของเราเป็น อันหนึ่งอนเดียวกัน ไม่ใช่กายนั่งอยู่ในห้องนี้ แต่ใจ นึกถึงโน้น นึกถึงนี้ แปลว่าสติอยู่กับใจ เมื่อไรที่มี สติอยู่ ใจของเราจะระลึกอยู่แต่ละขณะ ๆ ว่านี้เรากำลังนั่งอยู่ เรากำลังฟังอยู่ จดจ่อสติอยู่กับการฟัง เมื่อเกิดข้อสงลัย ถามออกไปก็มีสติตามรู้ว่า ถามอะไรออกไป สมควรถามไหม ถามเพราะเราต้องการ รู้ในแง่มุมไหน
การที่สติไม่อยู่กับใจ คือ เมื่อไรที่ใจเราไม่อยู่เป็นอันหนึ่งอันเดียวตรงที่กายอยู่ อ้อ ไม่มีสติแล้ว ก็ดึงมันกลับมาใหม่ คอยฝึกอยู่อย่างนี้ เมื่อไรก็ตาม ที่ทำกิจกรรมธรรมดา ๆ เป็นต้นว่า อาบนํ้ารับประทานข้าว หรือเดิน ก็อย่าปล่อยให้กายทำกิริยาเหล่า นั้นไปเปล่า ๆ ใดยที่ใจชัดล่ายไปทั่วสารทิศ มือก็ตักนํ้ารดตัว หรือตักอาหารใส่ปาก เท้าก็ก้าวเดินไปเป็นตุ๊กตาไขลาน แต่ใจไปคิดอะไรไม่มีฝังมีฝาซึ่งเราทำ อย่างนี้ก้นเป็นประจำ ไม่เคยที่เวลารับประทานข้าว แล้วเราจะจดจ่อใจตามดูว่า นี่เรากำลังตักข้าวไล่เข้า ปาก กำลังเคี้ยวขอยกตัวเองเป็นตัวอย่าง บางครงรับประทาน ข้าวไปจนอิ่มแล้ว ไม่รู้หรอกว่ารับอะไรเข้าไป เพราะ มัวคิดว่า เดียวเราจะไปทำอะไรก้บคนไข้คนนั้นดีนะ น้ำเกลือที่ให้เอาไว้ ตอนนี้จะหมดไปสักกี่ชีชีแล้ว อาการจะดีขึ้นหรือยัง ฯลฯ ใจของเราเที่ยวไดิไปตรง โน้นตรงนี้ ก้ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเราตรงขณะเดียว นั้น มันเหมือนตัวหุ่นที่ตั้งอยู่เฉย ๆ ช่วยตัวเองไม่ทัน เพราะใจที่มัวปลิวไปอยู่ที่อื่น จะตกใจจนรับสถานการณ์ไม่ทันเพราะลืมความเป็นจริงว่า ตัวเองขณะ นี้อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่
ครั้นหัดฝึกสติแล้ว จึงรู้ว่าเราปล่อยใจให้หลุด ไปหลงอยู่ในอดีตห้าง อนาคตห้าง เผลอปล่อย คุณค่าสาระของขณะปัจจุบัน เดยวนี้แต่ละเดียวนี้ ให้ปลิวระเหยหายไปโดยเปล่าประโยชน์ ระลึกรู้เมื่อ ไร ก็เอาสติดึงใจกลับมาอีก ตามที่เรียนเมื่อกี้ แรก ๆ เดียวก็กระเด็นไปอีก เช่นจะอาบน้ำ ก็ต้องคอยตั้งสติให้รู้ว่านี้กำลังเอานี้ารดตัวเองนะ กิเลสในใจชักพา ให้หงุดหงิด รู้สึกเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุแต่ถ้า ฝึกจนสติเริ่มรู้หน้าที่ของตน คอยรับผิดชอบ ไม่เถล ไถล ไม่เผลอแล้ว เราจะรู้ว่าไม่เสียเวลา แต่ทำให้การ ทำอะไรของเรามีประสิทธิภาพขึ้นอย่างที่อาจารย์เล่าว่า อาจารย์ทำงานหรือท่อง หน้งลือ ต้องเปิดวิทยุไปด้วย กินขนมไปด้วยพอฝึกสติเป็นแล้ว จะพบว่าเลิกทำอย่างนั้นไปเองและอัตราการทำงานรวดเร็วขึ้นที่ผิดพลาดก็น้อยลง หรือไม่มีเลยทำให้ไม่ต้องเสียเวลาทบทวน เพื่อต้นหาที่ผิด เวลาที่เคยบ่นว่าไม่พอจะมีเพิมขึ้นอย่างเหลือเชื่อ โปรดลองปีกดู ของเหล่านี้ ถ้าไม่ลองก็พูดกัน ไม่มีข้อยุติ ครั้นลองทำแล้ว เห็นขึ้นมาในใจจะยอมเชื่อยอมรับค่ะ
ถาม เวลาทำอะไรให้คัดในปัจจุบัน ทำให้ดีที่ลุด อย่าคิดถึงอดีต อย่าคิดถึงอนาคต มันขัดกับชีวิตในสังคมหรือ เปล่าคะชีวิตในสังคมเรา เวลาทำอะไรเราต้องวาง แผนโดยใช้ประสบการณ์ที่ไต้รับจากอดีต พร้อมกับ ใจตามนึกคัด ตามช้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันและใน อดีต ซึ่งความนึกคัดอาจไม่ตรงกับความเปีนจริงก็ไต้ ก็มาค่อย ๆ ประเมินว่า อีกหน่อยในอนาคตจะเกิด อะไรขึ้น หรือว่าต้องเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรใน อนาคต ก็สงสัยคำกล่าวที่ว่าให้สนใจเฉพาะปัจจุบัน อ้นนี้ชีวิตในสังคมย้งใชีไต้หรือเปล่า ตอบ ที่กล่าวว่า ให้อย่กับปัจจุบัน หมายความว่า เราไมคัด ถึงอดีตและอนาคตด้วยอารมณ์ ที่อาจารย์บอกว่า จะต้องเอาข้อมูลจากความผิดพลาดหรือความบกพร่องที่แล้วมา มาคิดเพื่อวางแผนสำหรับอนาคต อย่างนั้นคัดไต้ ไม่ห้ามแต่ว่าเมื่อใรก็ตามที่กำลังลง มือทำอะไรตามแผนที่คัดวางไว้ ใจเกิดแฉลบไปนึก ถึงอดีต แล้วเป็นอารมณ์ยึดขึ้นมาว่า สิ่งที่กำลัง กระทำจะต้องสำเร็จเหมือนอดีตที่นึกถึง แล้วห้วชนฝายึดมื่นถือรั้น จะต้องให้เป็นอย่างนั้นให้จงไต้ ต้องเลิกคิดเมื่อใจเกาะเกี่ยวกับอารมณ์แล้ว จะมีผลใหสิ่งที่ เรากระทำในปัจจุบันหลวม สติไม่มารวมอยู่กับใจ เพราะใจแตกแยกไปยึดกับเรื่องในอดีต ตรงปัจจุบัน นี้ที่กำล้งทำ ก็เรื่มมีช่องโหว่ให้เผลอผิดพลาดได้ หมายความถึงอย่างนั้นค่ะ
แต่ถ้าคิดเพื่อวางแผน โดยเอาทุกแง่ทุกมุมของ ข้อมูลทั่งหลายมาไตร่ตรอง หาเหตุผล ข้อดี ข้อเสีย ข้อผิด ข้อถูก เพื่อวางแผนจะคิดเท่าไรๆอย่างนั้น ไม่ห้าม แต่ขณะที่กำลังลงมือทำแล้วใจแวบไปนึกถึง ประสบการณ์ในอดีตแล้วใจวูบวาบเป็นอารมณ์ขึ้น มา ห้ามคิดโดยเด็ดขาด ให้เอาสติจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ กำลังทำจริง ๆ หยุดใจให้มีแต่ปัจจุบันขณะ
ถาม และที่ว่าแม้กระทั่งอนาคตก็ไม่ให้คาดการณ์
ตอบ ถ้าเราทำด้วยความมีสติ เพราะคิดไตร่ตรองวางแผน เป็นต้นว่า อาจารย์ตั้งใจจะทำสวนลิ้นจี่ อาจารย์ ก็ลงมือเลือกที่ที่ดี มีนา มีปุ๋ย แล้วสรรหาพันธุลิ้นจี่ ที่แน่ใจว่าเป็นพันธุดี ลัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ลัางคนมาลงลิ้นจี่ แล้วอาจารย์ไม่จำเป็นตองสงลัย ว่า จะได้ผลสมใจหรือเปล่า เพราะถ้าปล่อยใจไปคิด อย่างนั้น จะเกิดความกังวล และใจระสํ่าระสาย เสีย
เวลาไปถามคนนั้น ถามคนนี้ คุณ คุณคิดว่าที่ฉนทำ นี้ ผลจะดีไหม หากเขาบอกไม่ดี ทำอย่างโน้นดีกว่า เราก็ชกรวนเรละล้าละล้ง โปรดอย่าคิด เพราะก่อนจะทำเราไดีไตร่ตรองอย่างรอบคอบ จนกระทั่งแน่ใจ ในข้อมูลแล้ว เมื่อตกลงปลงใจทำลงไป ก็ให้เวลาเป็น เครื่องพิสูจน์ว่า สติปัญญาที่เราคิดว่าเห็นชอบแล้ว นั้น จะผลิดอกออกผลมาอย่างที่คาดคิดหรือไม่ ระหว่างนี้มีหน้าที่อย่างเดียว ระแวดระวงดูแล ไม่ให้ภาวะแวดล้อมกลายเป็นสิ่งบนทอนหรือ
รบกวนให้สิ่งที่กระทำไปแล้วนั้น บิดเบี้ยว ผิดจดหมายไป ไม่ไปกังวล คาดว่าอีกเท่านั้นเท่านี้ผลจะ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำหน้าที่ของเราให็ดีที่สดไปแต่ ละขณะ ๆ ในปัจจุบัน เมื่อผลจะเกิดมันก็จะเกิด ของมัน
ถาม ผลอะไรที่เกิดขึ้นในอนาคต ถ้าเรามีสติอยู่ในตอนนั้นเราก็แก้ไขได้?
ตอบ ค่ะ เราก็แกให้สิ่งร้ายกลายเป็นดีได้ เป็นต้นว่า อาจารย์ทำสวนลิ้นจี่แล้ว เกิดพายุผิดฤดู ลิ้นจี่ทำท่า ว่าจะโค่น เราก็คิดหาวิธีแก็ใข จะเอาไม้มาคํ้ากิ่ง แต่ละกิ่งไว้ หรือจะสานลำแพนมากนแนวพายุ หรือ
จะแกไขทำนองไหนจึงจะเหมาะที่สุด
ถาม อาจารย์เชื่อว่ามีสติเสียอย่างแล้ว ไม่มีปัญหา?
ตอบ ถามสตรกษาใจแล้ว ไมมอะไรยากเกินปัญญา มนุษย์จะคิดแก้ไขแต่ข้อสำคัญ โปรดตั้งสติให้ได้ เสียก่อนเท่านั้น
ถาม เหตุอะไรที่ทำไหอาจารย์มาสนใจทางนี้ ตอบ เมื่อครั้งไปเรียนต่อที่เมีองนอก ได้รีบเชิญไหไป
สัมมนาเรื่องพุทธศาสนาที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ในหสักสูตรของเขามีวิชาสมาธิเป็นวิชาเลือก ความที่ ตัวเองโง่เซ่อ คิดเอาว่า วิชาพุทธศาสนาหมายถึง ทฤษฎีคำสอนของพระพุทธเล้า ที่ตัวเองรู้และหลงว่าตัวเป็นชาวพุทธบริบูรณ์แล้ว ก็รีบเชิญไปสัมมนา กับเขา เด็กมักเรียนเหล่านี้ทำสมาธิกนเป็นทั้งนั้น คำถามของเขาจึงเป็นภาคสนามล้วน คือถามถึง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อทำสมาธิ ก็พบว่าตัวเองเอา ไก่ไปปล่อยเป็นเล้า ๆ เพราะไม่มีความรู้ หรือประสบการณ์เหล่านั้นเลยก็ตั้งใจไว้ว่า เมื่อกลับมาเมือง ไทยด้องศึกษาให้เป็นให้รู้นั้นคือจุดตั้งด้นให้เกิด ความมุมานะก่อนหมัานั้นก็สนใจอยู่ แต่ก็ยังผสัดวันประกัน
พรุ่งว่าให็ถึงเวลาโน้น ถึงเวลานี้ ถึงเวลานั้นเสียก่อน จึงจะทำ แต่พอเอาหน้าตัวเองไปฉีกยับเยินที่เมือง นอกแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า ศาสนาภาคปฎิบัติเป็นสิ่ง หนึ่งที่กลับมาแล้ว ต้องขวนขวายศึกษาให้จงได้
ถาม อาจารย์จะมีข้อแนะนำวิธีแก้ใจสำหรบพวกเรา อย่างไร
ตอบ ถี่ถ้วนกับใจตัวเอง ระหว่างปฏิบ้ติภารกิจในชีวิต ประจำวัน อะไรก็ตามที่จะพูด จะกระทำลงไป หรือแม้กระทงความคิดในใจของเราเอาสติจดจ่อพิจารณาอย่าให้เราหลอกตัวเองให้จริงใจกับตัวเอง ถ้ามีความบริสุทธิ์ใจแล้ว สิ่งที่ทำออกไปกับคนอื่นคนอื่นจะเหมือนกับที่ทำกับตัวเอง ความเคยัชินที่ว่าของให้คนอื่นไม่ดีช่างมันแต่ถ้าของตัวเอง ต้องเลือกแต่ ดีๆไว้ จะหมดไปใจค่อยเห็นจริงว่า ผู้อื่น สัตว์อื่น และตัวเราเป็น เพื่อนร่วมทกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เมื่อใจ เปิดกว้าง ตระหน้กถึงสภาวะที่เสมอกันเช่นนี้ ความรกตัวเห็นแก่ตัวจะค่อยลดน้อยลง เมื่อมืความจริง ใจกับทุกอย่างที่กระทำลงไป จิตก็จะคลายความ ระแวง ความหวั่นกลัวว่า ใครจะมาจบผิดหรือมาทำร้ายเรา ใจอันนี้จะร้กษาความเป็นปกติไว่ได้มาก ขึ้นโดยลำดับใจที่สงบเป็นปกติ คือใจที่ปีศีล เนื้อแท้ของศีล ไม่ใซ่ข้อบัญญัติ 5 ประการ 8 ประการ หรืออะไร หรอก บัญญัติเหล่านื้นเป็นแต่เพียงสิ่งช่วยให้เรา ประคองใจให้สงบ เป็นปกติเท่านั้นเอง เมื่อใจปกติ สงบ ร่มเย็น ก็เป็นสมาธิง่ายสมาธิคืออะไร? คือใจที่ไม่ฟุ้ซ่าน ซัดส่าย ไปทางโน้น ทางนี้ ทำอะไร ติดอะไรก็มั่นอยู่ในอารมณ์เดียวเมื่อปูทางด้วยวิธีธรรมชาติอย่างนี้แล้ว เวลาทำ อะไรก็เอาสติดูใจให้รู้ อยู่หรือเปล่าว่า กำลังทำอะไร ใจและกายของเราเป็นดันหนึ่งอ้น เดียวกัน ไม่ใช่ใจไปคิดโน่นคิดนี่ ทั้งที่กายก็นั้งอยู่ ตรงนี้ แต่ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง ด้วยวิธีนี้ สติก็ค่อยอยู่กับใจมากขึ้น มากขึ้น เมื่อไรที่ว่างจะทำ สมาธิก็ง่ายที่ใจจะสงบ ไม่อย่างนั้น วันที่งวัน เราหลอกคนนั้น พูดไม่จริงกับคนนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นคือ เรื่องเดียวกัน แต่จำไม่ได้ว่าพูดกับคนไหนว่าอย่างไร ครั้นที่งสองคนมาเผชิญหน้ากับเราพร้อมกัน ถามถึง
เรื่องเดียวก้น เราก็อึกๆอักๆไม่รู้จะตอบอย่างไร ใจจึงเป็นก้งวล กระสับกระส่าย สะด้งกลวอยู่ตลอด เวลาพอนั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจเดียวเรืองนั่นแวบเข้ามา ทำให้ใจสะดุ้งกังวล ยากที่จะรวมตัวเข้มาเป็นสมาธิแต่ถ้าเตรียมพื้นฐานให้ใจ ดังที่อธิบายมาก็ ช่วยให้ง่ายขึ้น เพราะในใจไม่มีว่าคนนี้เป็นบุคคลพิเคษ คนนั่นเป็นอย่างนั่นอย่างนี้ ให้สับสนว่า เราบอกคนไหนว่าอย่างไรจิตใจก็เบา ป็นอิสระ ไปขั้นหนึ่ง เวลาจะทำอะไรแต่ละขณะ ๆ ก็มีสติ "รู้" อยู่ทั่วพร้อม ใจก็สงบ รวมด้วเข้ามา รวมตัวเข้ามา เป็นปกติโดยอุปนิสัย จนเรียกว่าสงบโดยธรรมชาติ ด้วอยู่ตรงไหน ใจอยู่ตรงนั่น รู้ จดจ่อ เป็นปัจจุบัน ขณะ ความสับสนวุ่นวายใจก็ค่อยคลายไปโดยลำด้บ พอถึงเวลาปฏิบัติ จิตก็เชื่อง สงบอยู่ก้บลมหายใจ หรือคำบรีกรรม ถาเผลอแว่บไปปรุงคิดแต่สิ่งที่ดีงาม ทำใหจิตใจปีติ ชุ่มชื่น คืนเข้าสู่วามสงบได้อีก
ถาม อาจารย์คะ ขอต่อของอาจารย์อีกนิดว่า ถ้าเรามีสติ ก็สามารถแก้ปัญหาได้ ไม่มีอะไรเกินสติปัญญา อยากถามว่า สติปัญญาของแต่ละคนเท่ากันไหมคะตอบ สติปัญญาที่ได้รับกาฝึกฝนจนถึงที่สุดจะแหลมคม เท่ากันทุกคน ในแง่ของการกำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจ พระพุทธองค์รับรองไว้ว่าถ้าผู้ใดฝึกอบรม จิตของตนสมควรแก่เหตุ อาสวกขยญาณ คือปัญญา หยั่งรูในธรรมที่จะทำให้จิตบริสุทธจากเครื่องเคลือบแฝง ๆ ได้แก่ อาสวกิเลสที่งปวงจะยังเกิดขึ้นแก่จิตนั้น
การฝึกที่ว่านี้ ถ้าฝึกเล่น ๆ ก็ไม่ถึงจุดที่จะเป็น พื้นฐานให้สติปัญญาเต็มรอบขึ้นมาถึงตรงที่ต้องการ ได้ ถ้าพากเพียรฝึกไม่ละไม่ถอย ก็มีโอกาสเป็นไป ได้
ความช้าความเร็วไม่เท่ากัน คนบางคนโดยอาชีพ หรือโดยอุปนิสัย เป็นการฝึกสติปัญญาอยู่โดย ไม่รู้ตัวเป็นตันว่านักไต่เขา ผู้ที่ทำงานเสี่ยงต่อ อันตรายท่านเหล่านี้ถึงจะไม่รูวิธีปีกสติก็ปีกอยู่โดย อัตโนม้ติหรือคนงานตัดผ้าด้วยเครื่องจกร ถ้าเผลอ ง่วงเมื่อไร นี้วมือจะถูกปัอนเข้าไปยับผ้า แล้วถูกตัด ไปด้วย ความจำเป็นบังคับให้เขาต้องมีสติแน่ถ้าเรา ทำงานอะไรที่ไม่ได้บังคับให้ตัองมีสติอย่างนี้ เราก็อาจฝันกลางวัน ตัวนั้งอยู่ตรงนี้ ใจไปทางโนัน ทุกวัน ทุกวัน จนเป็นอุปนิสัยให้เป็นคนสติหลวมอยู่เรื่อย ๆ
หากมาฝึก เราก็ต้องได้ผลช้ากว่าเขาแน่นอน เพราะชั่วโมงบินของเขามากกว่าของเราโดยไม่รู้ตัว มันจะเป็นทำนองนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเอาประสิทธิภาพสุดท้ายมาเทียบกันแล้ว จะมีบางคนสติปัญญาด้อยกว่าอีกคนหนึ่ง ไม่มีหรอกค่ะ มันเท่า เทียมกันเพียงแต่ว่า เราฝึกตัวเองจริงจังแค่ไหน สติปัญญานั้นเป็นสิ่งที่อยู่ดั้งเดิมในใจของเรา แต่ที่บาง คนแลดูเป็นคนขี้หลงขี้ลืม เป็นคนไม่ใคร่มีสตินั้น เพราะไม่ใส่ใจจะฝึกตน ปล่อยใจให้สนุกเพลิดเพลิน กับความปรุงติดฟุ้งซ่าน แตกแยก เคลือบแคลงระแวงสงสัย สิ่งเหล่านี้เป็นเมฆที่บดบังแสงของสติปัญญา จนกระทั่งไม่สามารถส่องทะลุออกมาไต้
เหมือนโต๊ะในห้องนี้ ก็สะอาดเท่ากันทุกตัวแต่ตัวไหน ถ้าเราไม่เช็ดไม่ปัดขี้ฝุ่นเลย มันก็ดูด้านสกปรกด้วยขี้ฝ่นขี้ผงจนเราเช้าใจผิดว่า มันเป็นโต๊ะเก่าแต่ถ้าเราตั้งใจระวังรักษา ดูแลให้ดีมันก็ละอาดเท่ากัน เพราะความจริงมันเป็นของมันอย่างนั้นดิฉันหวังว่า สิ่งที่สนทนากันในวันนี้ คงมีส่วนช่วยให้แต่ละท่านนำไปปรบปรุงสุขภาพจิตของตน ให้สดชื่นอยู่เสมอนะคะบัดนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว จึงขอยุติการสนทนา แต่เพียงนี้
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/15_fresh_heart02.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น