Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา ศิลปการจำกัดทุกข์

บทความหมออมรา
ศิลปการจำกัดทุกข์

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่               วันที่ 19 มิถุนายน 2528
ณ                 ชมรมพุทธธรรม โรงพยาบาลศิริราช
หมวด
อันดับที่       


       ปัญหาที่จะสนทนากันในวันนี้คือ การกำจัดทุกข์ แต่ก่อนที่จะไปพิจารณาว่าจะกำจัดทุกข์กันอย่างไรนั้น ขอให้เรามาพูดกันถึงว่า ทุกข์คืออย่างไร จำแนกออก เป็นอะไรบ้าง ตามตำราท่านแบ่งทุกข์ออกเป็น 3 ชนิด คือ ทุกขเวทนา ทุกขลักษณะ และ ทุกขอริยสัจจ์ทุกขเวทนา คือความรู้สึกคับแค้น ทนไม่ได้ ความ ทุกข์กายทุกข์ใจ อย่างที่เข้าใจกันโดยทั่วไป เกิดเมื่อประสบ สิ่งกระทบกระทั่งบีบคั้น
ทุกขลักษณะ คือสามัญญลักษณะหนึ่งในสาม ลักษณะของไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นลักษณะที่พบในสิ่ง สมมติทั้งปวง กล่าวคือ สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ ชั่วขณะ แล้วแปรปรวนสลายไป สิ่งใดก็ตามที่เรารู้จักใน โลกนี้ รวมทั้งร่างกายของเราเอง ก็เป็นไปตามลักษณะ ดังกล่าวนี้ มีความบกพร่อง ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง เดี่ยว
ก็หิว ต้องได้อาหารเข้าไปเติมส่วนที่พร่องให้อิ่มเต็ม ครั้น เติมเข้าไปแล้ว ก็ต้องขับถ่ายส่วนที่เป็นกากทิ้ง ลักษณะ ที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง ขัดแย้ง บกพร่องอยู่เช่นนี้ คือ ทุกขลักษณะ แม้สิ่งไม่มีชีวิตก็ไม่ยกเว้น ตึกรามบ้านช่อง เมื่อใช้ไปก็เก่าทรุดโทรม ต้องคอยดูแล ซ่อมแซม จึง ทรงสภาพให้ใช้สอยได้ต่อไป
คือทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจที่ไปยึดมั่น ถือรั้นอยู่กับสมมติ เผลอไม่สังเกตความเป็นจริงว่า ทุก สิ่งแปรปรวนไปทุกๆ ขณะ ดึงดันจะให้มันเที่ยงแท้ถาวร เป็นจริงเป็นจังอยู่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากเวทนา หรือ ทุกข์จากไตรลักษณ์ ผลกระทบกระเทือนต่อตัวเรา จะ มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับการวางจิตใจของเรา บ่อยครั้ง เราไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้ว เหตุใดชีวิตจึงวุ่นวี่วุ่นวายกันนัก หนา ทําไมจึงเกิดทุกข์ ท่านก็อธิบายว่า เพราะเราไม่รู้ ทุกขอริยสัจจ์ หรือทุกข์ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ซึ่ง พระพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้ ถ้าผู้ใดเห็นอริยสัจจ์สี่ ก็มีทาง แก้ไขปรับปรุงชีวิตให้บังเกิดความสงบ พ้นจากทุกข์ได้พิจารณาไปแล้ว ทุกข์อะไรเล่า ที่จะผูกพันเกี่ยวกับชีวิตและจิตใจของเรา ก็ทุกข์ด้วยความที่รู้ไม่จริง แล้ว ไปยิดในตัวตน ที่ท่านกล่าวไว้ว่า อุปาทานขันธ์ทั้งห้า คือ ตัวทุกข์ นั่นเองถ้ามองเห็นเช่นนี้ แล้วเข้าใจ ทุกข์ที่จะพูดกันวันนี้ ก็คือการมาทำความรู้จักกับอุปาทานขันธ์ห้าว่า ทำให้เรา ทุกข์ได้อย่างไร
ไม่ว่าโลกหรือสิ่งทั้งหลายในโลกจะแปรปรวน เกิดขึ้นแล้วไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวร หากเราไม่เอาใจเข้า ไปยึดแล้ว ก็ไม่เป็นทุกข์ เป็นต้นว่า ฝนจะตก แดดจะ ออก ตึกอันไหนจะพังไป ถ้าเราไม่ไปยึดว่า นี่เป็นตึก ของเรา มันจะพังไปก็สิบหลัง เราก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าบังเอิญ บ้านเล็กๆ หลังนี้ เราบอกว่าเป็นบ้าน ของเรา บางทียัง ไม่ทันพัง ใครถอยรถมาเกียวรั้วถลอกไปนิดหนึ่ง เราก็ทุกข์แล้ว เพราะไปยึดว่า บ้านของเรา ความยึดจึงเป็น รวงวังแห่งทุกข์ เช่นนีเองอุปาทานขันธ์คืออะไรอุปาทานขันธ์ คือการที่เราไม่รู้จริง ไม่รู้รอบ แล้ว ไปยึดเอาความไม่จริง เอาอาการของปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่ปรากฏเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาเป็น เรา รูปร่างกายอันนี้ เราก็ไปบอกว่า เป็นเรา เราไม่อยากให้แก่ พอส่องกระจก เห็นรอยตีน กา เห็นผิวชักไม่เนียนดีอย่างแต่ก่อน ก็เริมคิดหาหนทาง ว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ เราก็ยิงหมกมุ่น ยึดติดในรูป อันนี้ ครุ่นคิดต่อต้าน ไม่ต้องการให้แปรปรวน แต่เดิมเมื่อยังเด็กอยู่ เราต้องการเจริญเติบโต เราก็เร่งวันเร่ง
คืน ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงมากเท่าใด ยิ่งดีใจ พอใจ แต่ บัดนี้เราพอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว เราต้องการบีบบังคับ ให้มันคงที่ หยุดอยู่แค่นี้ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่ไป กว่านี้อีกแล้ว อุปมาดังคิดจะตรึงพระอาทิตย์ให้หยุดอยู่ ตรงเที่ยงวัน พอตะวันถึงกึ่งฟ้าก็ให้หยุดอยู่ตรงนั้น เคลื่อนต่อ ไม่อยากให้เย็น ไม่อยากให้มืดค่า หากเป็น เช่นนี้แล้วจะไม่เกิดทุกข์อย่างไรได้ มันต้องทุกข์แน่นอน
ตรงกันข้าม ถ้ายอมรับว่า เออจริงนะ ทุกอย่าง เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องแปรไปจนกระทั่งครบวงของมัน มัน ก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ เหมือนพระอาทิตย์เวลาเช้าก็ เคลื่อนขึ้นจากขอบฟ้าด้านตะวันออก โค้งไปตามขอบฟ้า จนกระทั่งจดด้านตะวันตก แล้วจมลับสายตาไป แต่มัน ก็ไม่ได้หายไปไหน เช้าวันรุ่งขึ้น และต่อไปๆ ก็ปรากฏ ขึ้นใหม่ ซ้ำวงเดิมจนครบ เป็นสามัญญลักษณะอยู่อย่าง นี้ อะไรๆทั้งหมดก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีทางหยุดอยู่กับที่ได้เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแล้ว สะดุด ไม่สามารถหมุน ไปครบตลอดวง การสะดุดนั้นย่อมทําให้เกิดแรงต้านขึ้น เป็นต้นว่า มีน้ําตกจากยอดเขา เราไม่อยากให้น้ำตกไป ข้างล่าง แต่ต้องการกักทําทํานบเก็บเอาไว้ ทํานบที่ทำปีนต้องแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักพลังน้ำที่กักขังเอาไว้ถ้าทํานบรั่วหรือไม่แข็งแรงพอ พลังของน้ําที่ถูกกักไว้ จะดันจนท้านบพัง ในชีวิตของเราก็เหมือนกัน เมื่อใดก็ตามที่เราต้อง การไปขัดขวางพลังธรรมชาติไม่ให้เป็นไปตามสภาวะปกติ ไปตามลักษณะสามัญของมัน มันจะเกิดแรงต้าน หรือเกิด การที่เราต้องหาแรงใส่เข้าไปเพื่อบังคับ ฝันมันเอาไว้ เป็น เหตุให้เกิดความทุกข์เดือดร้อน ทุกข์ในการสิ้นเปลืองแรง กายเพื่อไปทำอย่างนั้น และทุกข์ในการที่ใจไปหมกมุ่น ครุ่นคิดกังวล ไม่ให้เป็นอย่างที่มันจะต้องเป็นไป คอย บังคับกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆนานา บางครั้งเหตุการณ์จริงๆ ยังไม่ทันเกิดขึ้น เช่น เราไปสมัครสอบคัดเลือกเข้าทำงานแห่งหนึ่ง ขณะที่ สอบ ข้อสอบมีว่าอย่างไรก็ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ภาวะ ตอนนั้นก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนเท่าใด แต่ระหว่างเวลาสองสัปดาห์ จากสอบเสร็จแล้ว จนกระทั่งประกาศผลสอบ กลับไม่ เป็นอันทําอะไร เพราะใจคอยคิดเตรียมอนาคตเอาไว้ว่า ตนสอบได้ บรรจุตําแหน่งนั้นๆ หรือย้อนกลับไปนึกถึง ข้อสอบว่า ตอบไปอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งจริงๆได้เสร็จสิ้น ผ่านพ้นไปหมดแล้ว เราเองก็จําไม่ได้ว่า ตอบไปอย่างไร แต่ใจที่ไปยึดผูกอยู่นั้น ไม่เป็นอันทำอะไร สาละวนคิด ติดอยู่แต่ที่ตรงนั้น ทำให้ทุกข์ไปหมด ถ้าเราไม่รู้จักจัด  การกับใจของเรา ระหว่างสองสัปดาห์นั้น มีเหตุการณ์ ที่เราต้องรับผิดชอบเกิดขึ้น ต้องกระทำ ถ้าไม่เอาใจอยู่
กับปัจจุบัน เราก็จะก่อทุกข์ซ้าซ้อนขึ้น เพราะขณะที่เรา กระทำสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้า ไม่เอาสติ ไม่เอาปัญญามาอยู่ ตรงนั้น ไม่เอาใจมาอยู่ตรงนั้น เราก็ทําไปด้วยความสับสน คิดเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงไม่ใช่ ผลย่อม ผิดพลาดบกพร่อง ครั้นถึงเวลาประกาศผลสอบ ปรากฏ สอบไม่ได้ งานเก่าที่ทำอยู่ ก็ได้ก่อเหตุบกพร่องเอาไว้ ถูกเจ้านายตําหนิ เพื่อนร่วมงานประท้วง แทนที่จะเห็น เหตุที่ตนเองได้ทำเอาไว้ กลับไม่เห็น เพราะตรงนั้นเรา ะเมอ นอนหลับแล้วละเมอ เพราะไม่มีสติขณะที่ทำ เมื่อไม่เห็นเหตุ ก็ไปคิดเอาเอง สังขารความปรุง คิดพาคิดเอาว่า เขาไม่มีน้ําใจกับเรา เขาอิจฉาเรา แกล้ง ใส่ไคล้เรา คิดแล้วก็เชื่อตาม เป็นจริงเป็นจังไป ตกลง เลยพังยับเยินยิ่งขึ้น ไม่มีใครก่อความทุกข์เหล่านี้ เราก่อ ของเราเอง นี่แหละ ท่านจึงว่า อุปาทานขันธ์เป็นบ่อ เกิดของทุกข์อย่างนี้เอง ทำอย่างไรเราจึงจะจับเหตุต้นตอได้ เมื่อสองสามวันก่อน รถดิฉันติดไฟแดงที่ตรงสี่ แยก เด็กขายผ้าถุงแป้งวิ่งเข้ามา คลื่ผ้าผืนใหญ่ พร้อม กับบอกว่า สองผืนสิบบาท ดิฉันเกิดรู้สึกว่า บุญอะไรๆ
เรายังทำได้ แล้วทําไมจะช่วยซื้อผ้านี้ไม่ได้ ถุงแป้งเอา ไว้เช็ดอะไรก็ได้ คิดอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเด็ก เลย ไม่ได้ต่อราคา หรือถามอะไรทั่งสิ้น หยิบสตางค์ ส่งให้สิบบาท เด็กก็หยิบผ้าที่พับไว้เรียบร้อยจากตั้งที่พาด บนแขนส่งให้สามผืน พร้อมกับบอกว่า เอาไป สามผืน สิบบาท ก็รับมาโดยไม่ทันคิดอะไร เมื่อคลีออกดู ปรากฏ ว่า ผ้าถุงแป้งที่เด็กคลีไว้เป็นตัวอย่างนั้นผืนใหญ่เต็มถุง แต่ถ้าที่พับไว้ขาย มีขนาดครึง้ถุง ถึงจะให้สามผืน ก็เท่า กับได้เพียงหนึ่งผืนครึ่ง คงขาดไปอีกครึงผืน ดิฉันนึก สลดขึ้นในใจว่า ที่ท่านอาจารย์เคยสอนว่า ไม่มีใครทํา ทุกข์ทำโทษให้เรา ตัวเรานั้นแหละที่ทำให้ตัวเอง คน เราไม่ได้ไร้ทรัพย์ แต่เพราะอับปัญญา ไม่รู้จักรักษาสมบัติ ที่มีอยู่ จึงไร้ทรัพย์ ยากจนเข็ญใจแต่ก่อนนั้น ดิฉันยังไม่เห็นชัดว่า ทำไมอับปัญญา แล้วจึงไร้ทรัพย์ ผ้าถุงแป้งทำให้เห็นชัดเจน ดิฉันไม่ได้ ทำอะไรให้เขาต้องทำทุกข์ทำโทษให้ตัวเองเลย แต่เพราะ ความยึด เชื่อถือดั้งเดิม ที่เป็นตัวตนของเขา ทำให้เขา เห็นดีเห็นงาม คิดทำมาหากินด้วยวิธีไม่สุจริตถ้าเขาเห็นว่า ขายผืนใหญ่สองผืนสิบบาทไม่มีกำไร จะขายผืนเล็ก สามผืนสิบบาท ทําไมไม่บอกตามตรง อย่างนั้นไปเสียเลย ทําไมต้องใช้กรรมวิธีทุจริตหลอกลวง โดยไม่มีเหตุจำเป็น ใจตนเองก็รู้อยู่ตลอดเวลาว่า สิ่งที่ กระทำไม่สุจริต หากจะอ้างว่าผู้ซื้อชอบต่อราคา เลยหา ทางแก้ไขด้วยวิธีนี้ ผู้ซื้อก็ไม่ได้ต่อราคาทุกคนไป เหตุใด จึงเอาอุปาทานของตนไปยึดว่า มันจะต้องเป็นอย่างนั้น และเชื่อตามจนตระเตรียมเอาไว้ เป็นเหตุให้อยู่ดีไม่ว่าดี ก็แกว่งเท้าไปให้หนามตำ โดยไม่มีใครผลักให้ไปเดินบน หนามเหล่านั้นเลย แทนที่จะทำมาหากินให้เป็นสัมมาอาชีวะ เขา กลับก่อหนี้ให้ตนเอง เงินที่ทำมาหาได้กลายเป็นบาปแก่ ตัวเปล่าๆ เมื่อทําอยู่เป็นประจำก็เกิดเป็นอาจิณกรรม เป็นอุปนิสัยสันดาน เมื่อคิดจะทำอะไร ก็ทำตรงไปตรง มาไม่เป็น พอใจจะใช้แต่วิธีนี้ เพราะเคยชิน ติดเป็นรก รากไปเสียแล้ว มีคำกล่าวไว้ว่า สิ่งใดก็ตามที่กระทํา ถ้าผิดครั้งที่ หนึ่ง เราถือเป็นบทเรียน ก็สามารถแก้ไขให้ดีได้ แต่ถ้า ทําชั่าเป็นหนที่สอง หนที่สาม จะกลายเป็นอุปนิสัย เป็น อาจิณกรรม เป็นคติที่บ่งชี้ให้เรารู้ว่า ต่อไปเราจะไปเป็น อะไร ถ้าหมั่นพูดไม่จริงจนติคเป็นนิสัย ผลที่สุดเราจะ กลายเป็นคนพูดทุกอย่างไม่จริงโดยไม่รู้ตัว ครั้นใครมา บอกว่า ทำไมเธอจึงตั้งโรงน้ําแข็ง เปิดกิจการปั้นน้ํา เป็นตัวเช่นนั้นเล่า เราก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะเรา
พูดออกไปโดยที่สติตามไม่ทัน เราจึงไม่เห็นที่ผิดของตน เอง มันจึงน่ากลัวอย่างนี้ เมื่อไม่มีปัญญาจะแนะสอนตัวเอง ให้ฝึนใจมาอยู่ ในร่องในรอยในกรอบที่ถูกต้องแล้ว ทรัพย์สมบัติอะไร ที่ได้มา ก็เป็นของร้อนทั้งนั้น ทำให้เราไม่งอกงามเจริญ ขึ้นไป เหมือนใช้ปุ๋ยที่ไม่ถูกกับต้นไม้ หรือเอานำร้อน ไปรด ต้นไม้ก็เฉา ก็ถูกลวก ไม่เจริญงอกงาม ของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ถ้าไม่มีสติมองเห็น ก็ไม่ เข้าใจ เมือก่อนนีตัวเองเคยสงสัยว่า ทําไมบางคนจึง ยากจนเสียเหลือเกิน ทำไมคนที่มี ถึงไม่เอาสมบัติไป แบ่งปันเจือจานให้คนยากจนบ้าง พอเห็นเด็กขายถุงแป้ง ก็เลยเข้าใจที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า กรรมจําแนกแจก สัตว์ให้ทรามและประณีตต่างกันไป ท่านทรงย้าว่า ของทุกอย่างย่อมมาแต่เหตุ เมื่อ ทุกข์เกิดขึ้น อย่าโทษซ้ายป่ายขวา ถ้านึกได้ว่า ของทุก อย่างมาแต่เหตุ ใจจะยอมรับทุกข์นั้น ใจที่ดินต่อสู้ไม่ยอม รับสภาพ เป็นเหตุให้สติปัญญามีเท่าใด ก็ไม่เอาไปไตร่ ตรองคิดแก้ไข เพราะมัวไปคิดขัดขึ้น บังคับสิงที่เกิดขันให้ ฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เธอมีความทุกข์เพราะงานมาก ไม่สามารถรับได้ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นของตน ฝังใจแต่ว่า ถูกนายและเพื่อนร่วมงานแกล้ง ใส่ไคล้ เพื่อนๆไปเยี่ยมปลอบ และหว่านล้อมให้มอง ความจริงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องเสีย พอถึงจุดหนึ่งที่เธอ หมดข้อแก้ตัว แทนที่จะจำนนตามเหตุผล ยอมรับผิด ฟังต่อไป เธอกลับถามว่า พวกเราเป็นเพื่อนของเธอ หรือเป็นศัตรูกันแน่ ถ้าเราขึ้นพูดต่อไป ใจของเธอจะ ขาดแน่ๆ เพราะคําพูดของเราเป็นเหมือนมีดที่กรีดไป บนหัวใจของเธอ เห็นหรือไม่ว่า เธอป้องกันตัวเองด้วยการไปยึด ในสิ่งที่ คิดเอาว่า แทนที่จะยอมรับว่า จริงๆ เป็นอย่างนี้ กลับขาดสติ ดึงดันต่อไป เป็นไรเป็นกัน เราก็ลูกนักเลง เหมือนกัน สู้กันดูสักตั้งหนึ่ง เธอจึงปิดกั้นความจริง โดย บอกว่า อย่ามาว่าเธอนะ เห็นไปว่า ความจริงที่เราพูด ให้ฟังนั้น เป็นมีดไปกรีดบนหัวใจเธอ เมื่อเป็นเช่นนี้ เรา จะทำอย่างไรเล่า อุปมาดังเราเป็นหมอเห็นแล้วว่าผู้ป่วย เป็นฝี ถ้าเราผ่าฝีให้เขาเจ็บนิดเดียวตอนผ่า อีกสักประเดี่ยว ก็จะหาย แต่ผู้ป่วยไม่ยอมให้ผ่า ซ้ายังยืนยันว่าฝีไม่ได้ เจ็บเท่าใดสักหน่อย แต่การที่เราจะไปผ่าฝีให้เขานั้น มัน กรีดเข้าไปถึงหัวใจทีเดียวเชียวนา เราก็ต้องเคารพสิทธิ มนุษยชนของเขา เพราะถ้าเราไปจับเขาผ่าเข้า เขาเกิดกลัวจนกระทั่งหัวใจหยุดเต้นไป เราก็อาจถูกจับเข้าตะรางฐานทําผู้ป่วยตาย
เมื่อไม่ผ่า ฝีอันนั้นก็ยังอยู่ต่อไป และลุกลามเข้า ไปในเส้นเลือดจนกระทั่งโลหิตเป็นพิษ กระจายไปเป็น ฝีในสมอง เข้าไปเป็นฝีในตับ ในปอดทั่วทั้งตัว เราก็ได้ แต่ดูเขา เพราะเราทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้
ถ้าไม่รู้จักจับใจของตัวเองให้หยุด เราก็ทุกข์ เพราะ ไปแบกหามเขาเอาไว้ ไปคิดว่า ในความเป็นหมอของเรา เราต้องช่วยชีวิตคนทุกๆ คนเอาไว้ให้ได้ คิดดังนั้นแล้ว ก็จัดแจงจับเขามัด แล้วจัดการผ่าฝี ผ่าเสร็จเขาก็อาจจะ ตายไป หรือถ้าไม่ตาย ก็ลุกขึ้นมาชกเราตาเขียวปิ้ด หรือ อะไรทํานองนั้น
จุดตั้งต้นของความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเริ่มมา อย่างนี้ เพราะความยืดของใจ เข้าไปยึดในสิ่งที่ผิด ยึด ในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ใจที่มีอวิชชาอุปาทาน เปรียบเหมือนคนตาสั้น ตาบอด มองไม่เห็นเหตุที่เป็น มาเที่ยงตรงดังที่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันตสาวกท่าน เห็น ท่านจึงสอนว่า ให้มีสติ ให้มีปัญญากํากับใจไว้ ถ้า มีสติมีปัญญากำกับใจไว้แล้ว ย่อมสามารถแกะทุกข์ออก การแกะทุกข์ออกไป เริมด้วยทําใจของตนให้มี ความสงบร่มเย็น มีศีลเป็นพินฐานเสียก่อน เพราะคนเราเมื่อมาอยู่ร่วมกันเป็นประชุมชนแล้ว ต้องมีกฏเกณฑ์เป็นแนวปฏิบัติ ตัวของเราขณะอยู่ลำพังผู้เดียว ยังไม่ เป็นไปดังใจ ประเดียวจะเอาอย่างนี้ ประเดียวจะเอา อย่างนั้น ประเดียวจะไป ประเดียวจะไม่ไป เอาเป็น ที่พึ่งไม่ได้ ครั้นไปอยู่กับผู้อื่นรวมเป็นจํานวนตั้งแต่สอง คนขึ้นไปแล้ว ย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ในบ้าน แม่ก็วางกฎเอาไว้ว่า ลูกทุกคนต้องทำอย่างนี้ๆ บ้านเมืองก็มีกฎหมายตราเอาไว้ว่า หน้าที่ของพลเมืองมี อย่างนี้ๆ เพื่อคุ้มครองแต่ละบุคคลให้ได้รับความเป็นธรรมตามควร แต่ไม่ว่าจะเป็นกฏในบ้านหรือเป็นกฎหมาย บ้านเมือง ตราบเท่าที่คนยังมีความคิดว่า ถ้าเราฉลาดจริง กฎมีว่าอย่างนี้ เราย่อมหาทางหลบเลี่ยงกฎได้ เมือเป็น เช่นนี ก็มีคนฉลาดคับฟ้าอยู่เรื่อยๆ จึงเกิดกรณีกระทบ กระทั่งกันเสมอๆ พระพุทธองค์จึงบัญญัติศีลขึ้น แท้จริง ศีล ก็ไม่ ใช่ของแปลกอะไร เป็นเพียงแนวที่ช่วยให้เราเอาใจเขามา ใส่ใจเรา แล้วตั้งเจตนาควบคุมตัวเองให้ไม่ไปทําความเดือดร้อนแก่ใคร สำรวมกาย วาจา ให้เป็นปกติ เราไม่ อยากให้ใครมาด่าว่า ก็อย่าไปด่าผู้ใดก่อน เราไม่อยากเจ็บ ตัว ก็อย่าไปทำร้ายผู้อื่น เราไม่อยากให้ใครมาขโมยของ เรา เราก็อย่าไปขโมยของใครเข้า เราไม่ชอบให้ใครหลอก เราเมื่อมาอยู่ร่วมกันเป็นประชุมชนแล้ว ต้องมีกฏเกณฑ์เป็นแนวปฏิบัติ ตัวของเราขณะอยู่ลำพังผู้เดียว ยังไม่ เป็นไปดังใจ ประเดียวจะเอาอย่างนี้ ประเดียวจะเอา อย่างนั้น ประเดียวจะไป ประเดียวจะไม่ไป เอาเป็น ที่พึ่งไม่ได้ ครั้นไปอยู่กับผู้อื่นรวมเป็นจํานวนตั้งแต่สอง คนขึ้นไปแล้ว ย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ในบ้าน แม่ก็วางกฎเอาไว้ว่า ลูกทุกคนต้องทำอย่างนี้ๆ บ้านเมืองก็มีกฎหมายตราเอาไว้ว่า หน้าที่ของพลเมืองมี อย่างนี้ๆ เพื่อคุ้มครองแต่ละบุคคลให้ได้รับความเป็นธรรมตามควร แต่ไม่ว่าจะเป็นกฏในบ้านหรือเป็นกฎหมาย บ้านเมือง ตราบเท่าที่คนยังมีความคิดว่า ถ้าเราฉลาดจริง กฎมีว่าอย่างนี้ เราย่อมหาทางหลบเลี่ยงกฎได้ เมือเป็น เช่นนี ก็มีคนฉลาดคับฟ้าอยู่เรื่อยๆ จึงเกิดกรณีกระทบ กระทั่งกันเสมอๆ พระพุทธองค์จึงบัญญัติศีลขึ้น แท้จริง ศีล ก็ไม่ ใช่ของแปลกอะไร เป็นเพียงแนวที่ช่วยให้เราเอาใจเขามา ใส่ใจเรา แล้วตั้งเจตนาควบคุมตัวเองให้ไม่ไปทําความเดือดร้อนแก่ใคร สำรวมกาย วาจา ให้เป็นปกติ เราไม่ อยากให้ใครมาด่าว่า ก็อย่าไปด่าผู้ใดก่อน เราไม่อยากเจ็บ ตัว ก็อย่าไปทำร้ายผู้อื่น เราไม่อยากให้ใครมาขโมยของ เรา เราก็อย่าไปขโมยของใครเข้า เราไม่ชอบให้ใครหลอก
เราเมื่อมาอยู่ร่วมกันเป็นประชุมชนแล้ว ต้องมีกฏเกณฑ์เป็นแนวปฏิบัติ ตัวของเราขณะอยู่ลำพังผู้เดียว ยังไม่ เป็นไปดั่งใจ ประเดียวจะเอาอย่างนี้ ประเดียวจะเอา อย่างนั้น ประเดียวจะไป ประเดียวจะไม่ไป เอาเป็น ที่พึ่งไม่ได้ ครั้นไปอยู่กับผู้อื่นรวมเป็นจำนวนตั้งแต่สอง คนขึ้นไปแล้ว ย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ในบ้าน แม่ก็วางกฎเอาไว้ว่า ลูกทุกคนต้องทำอย่างนี้ๆ บ้านเมืองก็มีกฎหมายตราเอาไว้ว่า หน้าที่ของพลเมืองมี อย่างนี้ๆ เพื่อคุ้มครองแต่ละบุคคลให้ได้รับความเป็นธรรมตามควร แต่ไม่ว่าจะเป็นกฏในบ้านหรือเป็นกฎหมาย บ้านเมือง ตราบเท่าที่คนยังมีความคิดว่า ถ้าเราฉลาดจริง กฎมีว่าอย่างนี้ เราย่อมหาทางหลบเลี่ยงกฎได้ เมือเป็น เช่นนี ก็มีคนฉลาดคับฟ้าอยู่เรื่อยๆ จึงเกิดกรณีกระทบ กระทั่งกันเสมอๆ พระพุทธองค์จึงบัญญัติศีลขึ้น แท้จริง ศีล ก็ไม่ ใช่ของแปลกอะไร เป็นเพียงแนวที่ช่วยให้เราเอาใจเขามา ใส่ใจเรา แล้วตั้งเจตนาควบคุมตัวเองให้ไม่ไปทําความเดือดร้อนแก่ใคร สำรวมกาย วาจา ให้เป็นปกติ เราไม่ อยากให้ใครมาด่าว่า ก็อย่าไปด่าผู้ใดก่อน เราไม่อยากเจ็บ ตัว ก็อย่าไปทำร้ายผู้อื่น เราไม่อยากให้ใครมาขโมยของ เรา เราก็อย่าไปขโมยของใครเข้า เราไม่ชอบให้ใครหลอกเรา เราก็อย่าไปหลอกผู้อื่น แก่นของศีลคือเท่านี้เอง ถ้ารู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้ว ถึงจะจําไม่ได้ว่าศีลมีกี่ข้อ เราก็รักษาศีลได้ เมื่อมีศีลเป็นรั้วบังคับใจของตนแล้ว สิ่งใดก็ตาม ที่เราไม่ชอบ เราย่อมไม่กระทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น เมื่อไม่ ไปทำความไม่ดีกับผู้อื่นด้วยกาย วาจาแล้ว ใจก็สงบร่ม เย็น ไม่คอยหวาดผวาว่า ที่เราไปรู้มากเอาเปรียบเขาเอา ไว้ เขาจะจับได้ไล่ทัน แล้วมาแก้แค้นเราเมื่อไร ใจสงบ จากความหวาดผวา จากความระแวงทั้งปวง ซึ่งความ ระแวงนี้แหละคือตัวร้าย คอยก่อกวน ยุให้รำตำให้รั่ว ทั้ง ที่เขายังไม่ทันทำอะไรเรา เพียงแค่วันนี้ พอเห็นกันแล้ว เขาไม่ทักเรา ใจที่ระแวงอยู่ก็ปรุงคิดไป ตายละ เขารู้ แล้วว่าเราไปทำไม่ดีเอาไว้ เขาเลยโกรธ นี่กําลังคิดจะ แก้แค้นเราหรืออย่างไร เลยไม่มีความสงบสุขของจิตใจ ศีลจึงเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่ช่วยให้ใจเป็นปกติ เมื่อ ใจปกติ บังเกิดสันติสุขในสังคมพอสมควรแล้ว ทุกข์ ซึ่งได้แก่ทุกข์ที่เกิดจากความกระทบกระทั่งกัน เอาใจเขามาใสใจเรา ต่างคนต่างคิดว่า ทำอย่างไรเราจึง จะกอบโกยผลประโยชน์มาใส่ตัวให้มากที่สุดได้ ก็ค่อย เบาบางลงไป เมื่อเบาบางไปแล้ว ลําพังแค่ศีล ยังไม่สามารถรักษาใจให้สงบได้เด็ดขาดบางครั้ง เราไม่ขโมยของเขา แต่ใจยังอยาก จาก มาแล้วก็หลับตาเห็น ประหวัดนึกอยากเหลือเกิน จะทํา อย่างไรดี แสวงหาเอาเองด้วยน้ำพักน้ำแรงก็ไม่มีปัญญาหา ใจคอยเผลอ เถื่อนคนองไปคิดอยากได้ของเขาอยู่ร่า ไป ทําให้จิตใจไม่เป็นปกติ นอกจากมีศีลแล้ว ทำอย่างไรความทุกข์ในใจจึง ระงับดับไปได้ ไม่แว่บขึ้นมาก่อกวนอีกเป็นครั้งเป็นคราว เราต้องฝึกใจให้มีสติ มีสมาธิ เพราะใจที่มีสมาธิ จะอยู่ กับปัจจุบัน อยู่กับความเป็นจริง ไม่คอยไปคิดถึงสิ่งที่ผ่าน เลยไปแล้ว หรือที่ยังไม่มาถึง ไม่วุ่นวี่วุ่นวายก่อความเดือด ร้อนให้ตัวเอง อะไรก็ตามที่กําลังอยู่ตรงนี้ สติจะคอย เตือนใจว่า ตรงนี้เป็นหน้าที่ของเรา เป็นความจริง เป็น ความรับผิดชอบที่ต้องทำ ต้องเอาใจมาจดจ่อเอาไว้ เพราะ ถ้าเราไม่ทำให้ดี ให้รอบคอบ เกิดมีสิ่งใดผิดพลาดไปแล้ว มันจะส่งผลให้เราทุกข์ เดือดร้อน คอยตามแก้ภายหลัง อีก จัดเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เรารู้อยู่ว่า สิ่งนั้นเป็นของของเขา ตัวเองยังไม่มี ปัญญาแสวงหามาได้ เราก็หยุดใจของเรา ไม่ปล่อยให้ ไปคิดเกาะเกี่ยว ดูแต่ตรงที่มี พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ถ้าใจ ยังอยากได้อยู่อีก ก็ขวนขวาย คิดหาลู่ทางที่ตัวสามารถ แสวงหาสิ่งนั้นมาได้โดยสุจริต เอาความคิดอยากเป็นแรง
ผลักดันให้เกิดความพากเพียร มีอิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ในการที่จะก่อสร้างคุณงามความดี ให้ เป็นอริยทรัพย์ขึ้นในจิตใจ เมื่อพากเพียร วัตถุก็งอกงาม ขึ้นด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า เมื่ออับปัญญาก็ไร้ทรัพย์ ถ้ามี ปัญญา ทรัพย์สมบัติอะไรต่อมิอะไรก็พลอยงอกงามขึ้นมา ท่านอาจารย์สอนไว้ว่า ใจที่มีสติรักษา เป็นใจที่ ไม่ร่ว ของอะไรก็ตาม ถ้าไม่รั่ว ใส่อะไรเข้าไป ย่อม เก็บง้า สะสมจนเต็มขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ถึงแต่เดิมเราะขาดแคลน ถ้าเอาสติอยู่กับใจ มีปัญญาสอนตัว จะยาก จนข้นแค้นอย่างไร เราก็สามารถทำมาหากินให้งอกงามขึ้น มา จนผลที่สุดเราก็มีอย่างที่อยากมีได้ ใจที่มีศีลแล้ว ระงับกาย วาจา ให้ไม่ไปทําสิ่งที่ เป็นความผิดอย่างหยาบ ซึ่งจะนำความรุ่มร้อน ทุกข์มาก่อกวนใจตัวเอง เมื่อปิดกั้นเครื่องก่อกวนใจได้ แล้ว ก็รู้จักบํารุงรักษาใจให้ได้อาหาร ได้พักผ่อน ได้ ความสงบสงัด หรือที่เรียกกันว่า ใจเป็นสมาธิ แต่สมาธิ ก็ยังคุ้มครองตัวไม่รอด เพราะสมาธินี้ ท่านเปรียบเหมือน หินที่ทับหญ้าไว้ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม เหตุการณ์ที่มากระทบ ทำให้เราเกิดความอยาก หรือไม่อยาก ตอบสนองสิ่งนั้น รุนแรง จนไม่สามารถรั้งใจให้สงบลงรวมเป็นสมาธิได้ เราก็เป็นอันตราย ดังเช่นสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ท่านเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว มีลูกสองคน คนโตเป็นผู้ชาย คนเล็ก เป็นผู้หญิง เมื่อสามีตายนั้น ลูกคนเล็กเพิ่งอายุได้ขวบ กว่าๆ เพื่อนฝูง ผู้หวังดี แนะนำให้ท่านปฏิบัติธรรม เพื่อคลายความโศกเศร้า ท่านก็ปฏิบัติ ตั้งใจฝึกจนจิตลง รวมเป็นสมาธิ จิตใจได้รับความสงบร่มเย็น เลียงดูลูก มาจนกระทังลูกโต ส่งไปเรียนต่อที่เมืองนอก ใครที่รู้จัก ก็ชื่นชมว่าท่านงาม งามทั้งกายและใจ และเชือว่าถ้าท่าน สิ้นชีวิต ท่านคงไปสู่ภพภูมิที่ดีงามกว่าชีวิตปัจจุบัน เพราะ ท่านไม่เคยโกรธ ไม่เคยทําให้ใครเจ็บชํานําใจ มีแต่คุณ งามความดี น้ำใจไมตรีต่อทุกคน ไม่มีใครล่วงรู้ว่า ในใจของท่านยึดหวังอะไรไว้แค่ ไหน ท่านถูกเลี้ยงดูอบรมมาในบรรยากาศไทยโบราณ ที่ มีความเชื่อว่า ลูกผู้ชายเมือจะแต่งงาน ก็ควรหาผู้หญิง พรหมจรรย์ที่เหมาะสม พอดีพองาม ไม่ใช่แม่ม่าย แม่ ร้าง เพราะพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดสอนต่อๆ กันมาเช่นนั้น ลูก ผู้หญิงก็ควรแต่งงานกับคนไทยด้วยกัน ความยึดเชือเช่น นี้ คงเป็นพื้นฐานฝังอยู่ในใจอย่างลึกซึ้ง ครันลูกชายโตขึ้น เกิดไปชอบใจแม่ร้าง หากเป็นแม่ม่ายสามีตาย ท่านอาจจะทําใจให้ยอมรับได้ แต่ผู้หญิงคนนี้สมัยใหม่เจี๊ยบ เมื่อแต่งงานแล้ว พบว่าสามีไม่ถูก รสนิยม ก็หย่ากัน โดยมีลูกติดมาหนึ่งคน ลูกชายพยายาม
เกลี้ยกล่อม แต่ท่านไม่ยอมเห็นดีด้วย ลูกชายก็ไม่ว่ากระไร ท่านนึกว่าเรื่องคงเรียบร้อย แต่ปรากฏตรงกันข้ามลูกชายเห็นว่า เมื่อท่านไม่พอใจ ก็รอจนกลับไป เมืองนอก แล้วไปขอให้ท่านทูตช่วยเป็นเจ้าภาพให้ น้อง สาวซึ่งชอบอยู่กับฝรั่ง ก็เลยเห็นพ้องต้องกันว่า ไหนๆ แม่คงไม่จัดการให้ ทั้งคู่เลยขอให้ท่านทูตเป็นเจ้าภาพ จัดพิธีแต่งงานให้พร้อมกัน วันเดียวกัน น้องสาวแต่ง งานกับฝรั่ง พี่ชายแต่งงานกับแม่ร้างลูกติด โดยคิดเอา เองว่า แม่เป็นคนธัมมะ ธัมโม ใจบุญสุนทาน เมื่อเรื่องเรียบร้อยจบไปแล้ว ค่อยส่งข่าวไปกราบขอขมาแม่ แม่คงยอมรับ คงไม่ถึงกับฆ่าฟันเราเป็นแน่บังเอิญข่าวจากลูกยังไม่มาถึงท่าน มีผู้หวังดีเอา รูปถ่ายงานแต่งงานมาให้ท่านดู เหตุการณ์เหล่านี้กระทันหัน จนท่านปรับใจไม่ทัน พอเห็นรูป ท่านไม่ทันได้พูดอะไร เลย เส้นเลือดในสมองแตก ไม่รู้สึกตัวไป เลยต้องรีบ นำส่งโรงพยาบาล อยู่ในหออภิบาลได้อีกประมาณหนึ่ง สัปดาห์ ท่านก็สิ้นใจ โดยไม่มีโอกาสฟื้นคืนสติขึ้นมา พูดจาอะไรกันเลยชีวิตของท่านเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า สมาธิเพียงอย่างเดียวยังไม่ปลอดภัย เพราะเราไม่รู้ว่า สิ่งทีมากระทบจะรุนแรงแค่ไหน และตะกอนในใจที่เรามีอยู่หนาแน่น แค่ไหน ถ้าแรงกระทบรุนแรงถึงขึ้นทีว่า พรวดเดียว
ตะกอนฟ้งขึ้นมาจนกระทังไม่มีนําใสเหลืออยู่เลย ขุนคลัก
ไปหมด ก็เป็นอันตรายแก่ตัวถึงชีวิตได้ ท่านจึงว่า เมื่อมีศิล มีสมาธิแล้ว ต้องอบรมให้มี ปัญญาต่อไป ปัญญาทีว่านี คือปัญญาชนิดไหน ก็คือ
ปัญญาที่รู้สภาวะทั้งหลายตามที่เป็นจริง รู้ว่าขันธ์ห้าแท้ๆไม่ใช่ทุกข์ แต่อุปาทานขันธ์ห้าคือตัวทุกข์ เมื่อไรก็ตาม เราเผลอสติ เอาใจไปยึดว่า กาย อันนี้เป็นของเรา สุขทุกข์เป็นของเรา ความคิดว่า อย่างนี้
ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เคยจําเอาไว้ว่าอย่างนี ก็ต้องถูกอย่างนี้ เห็นอะไรเข้าก็จะให้เป็นอย่างที่เราอยากได้ ถ้าเป็นดังที่กล่าวมานี้ละก็ทุกข์ชัดๆ ทุกข์หยั่งราก ฝังโคนลึกลงในจิตใจ จนไม่มีทางที่จะดับจะถอนได้ ถ้า เจ้าตัวไม่เปลี่ยนวิธีคิด วิธีเข้าใจเสียใหม่ แล้วผู้ที่เดือด ร้อนที่สุด ก็คือตัวเรา ดังกรณีสุภาพสตรีเมื่อกี้นี้ ท่าน เองก็ไม่รู้ว่า ตัวท่านยึดมั่นสำคัญผิด จนกระทั่งเป็นพิษ เป็นภัยต่อตัวถึงเพียงนั้น หมดโอกาสจะรู้ หลายท่านชอบพูดว่าสมมติว่า เป็นอย่างนั้น สมมติ ว่าเป็นอย่างนี้ ดิฉันขอโอกาสกราบเรียนว่า เราสมมติ ไม่ได้ เพราะแรงที่มาปะทะใจจริงๆ ขณะนั้น เรารู้ไม่ได้ว่า ใจอันนี้จะมีปฏิกิริยาตอบสนองออกไปอย่างไร จึงขอ
เรียนย้าว่า สติ เราต้องเอาสติคุมใจเอาไว้ตลอดเวลา เพราะ สติที่อยู่กับใจ จะคอยรั้งใจไว้กับปัจจุบัน ฝึกซ้อมไปเรื่อยๆทุกวี่ทุกวัน เรื่องเล็ก เรื่องขี้ผง เรื่องอะไรก็ตาม ให้ใจอยู่ แต่กับปัจจุบัน ปัจจุบันเท่านั้นคือความเป็นจริง อะไรที่ ได้ผ่านไปแล้ว ที่คิดเอาไว้ ที่ยังมาไม่ถึง ล้วนแต่เงาทั้งนั้น อย่าไปตะครุบมัน เพราะตะครุบไม่ได้ ตะครุบไม่ติด ถ้าฝึกเช่นนี้จนกระทั่งสติเริ่มหยั่งรกรากลงในใจจนเป็น อุปนิสัย ถึงแรงที่มากระแทกจะรุนแรงสักแค่ไหน สติ ก็พอรั้งใจเอาไว้ได้ ถึงห้ามล้อไม่หยุดสนิททันที แต่ใน ที่สุดก็หยุด แม้จะลื่นไถลไปอีกสักห้าร้อย หรือเจ็ดร้อย เมตร เกิดชนกัน ก็ชนเพียงเบาๆไม่ถึงขั้นตาย ด้วยเหตุนี้ จึงต้องพากเพียรฝึกเอาไว้ ถ้าฝึกจน มีประสิทธิภาพแล้ว จะได้รับประโยชน์จริงๆดังตัวอย่าง เมื่อดิฉันไปบรรยายที่ชมรมแห่งหนึ่ง ผู้เข้าฟังมีตั้งแต่ ระดับบริหารไปจนถึงคนงาน ดิฉันอยากทราบว่า ระดับ คนงานมาฟังด้วยน้ำใสใจศรัทธา หรือผู้ใหญ่บังคับ หรือ เหตุอื่นใด วันหนึ่งดิฉันไปถึงเร็ว ในห้องยังไม่มีใครนอก จากคนงานสามคนนั่งอยู่ ดิฉันก็เข้าไปถามว่า เขาได้อะไร จากการมาฟังบ้างหรือไม่ คนหนึ่งตอบว่า ได้ประโยชน์ อย่างมาก เพราะบ้านตั้งอยู่ในเขตสลัม ไม่ได้สงบสงัด อย่างในห้องบรรยายนี้ เมื่อทำสมาธิในห้องนี้ได้ ก็เป็น
กําลังใจให้ไปทําที่บ้าน ซึ่งก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ครอบครัวข้างบ้านทะเลาะ กันเป็นประจำ ซึ่งก่อนทำสมาธิเป็น เขาเคยหงุดหงิด รำคาญ หรือโกรธ จนคิดอยากขยับขยายไปหาที่อยู่ใหม่ แต่เศรษฐีฐานะไม่อำนวย ครั้นมาฟังธรรมบรรยายแล้ว เกิดความคิดว่า เหตุเกิดที่ไหน ก็ต้องดับที่นั้น เมื่อใจ หงุดหงิดก็ต้องดับที่ใจ ตั้งแต่นั้น เมื่อจะไปหนวกหูเสียง เพื่อนบ้านทะเลาะกัน ก็กําหนดสติดูใจของตัวเอง ความรำคาญก็ระงับไป
วันหนึ่ง เขาอยู่เวร กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบ เที่ยงคืนแล้ว ยังไม่ทันถึงตีสี่ต้องตกใจตื่น เพราะเสียง ครอบครัวข้างบ้านทะเลาะกัน ตอนแรกก็โกรธ นึกจะ ไปเปิดหน้าต่างตักเตือน ให้ดูนาฬิกาแล้วรู้จักเกรงใจชาว บ้านเสียบ้าง แต่แปลก พอลุกขึ้น ยังไม่ทันจะไปเปิด หน้าต่าง ในจิตก็เตือนขึ้นว่า ไหนเราเคยนึกไว้ว่า ถ้ามี แรงตื่นแต่เช้า จะลุกขึ้นทําสมาธิอีกหนหนึ่ง ให้จิตใจได้ กําลัง มีความสงบผ่องใสก่อนไปทำงาน วันนี้เป็นโอกาส อันดี เขามาช่วยปลุก แล้วเราก็ตื่นอย่างเต็มตาแล้ว เพราะ ลวามโกรธทําให้ลงไปนอนอีก ก็นอนไม่หลับแล้ว ทำไม ไม่ขอบคุณเขา แล้วทำโอกาสนี้ให้เกิดเป็นคุณงามความดี ที่กําลังจะไปเปิดหน้าต่างเลยชะงัก ในใจสงบเย็น ตื่น เบิกบาน ก็เลยไปไหว้พระสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิ ใจ ลงรวมนิ่งดี เมื่อถอนออกจากสมาธิ เสียงเพื่อนบ้านยัง ทะเลาะกันอยู่ไม่จบ ได้ยินแล้ว บังเกิดความสลดสังเวช และสงสารเขาจับใจ นึกแผ่ส่วนกุศลให้ พร้อมกับคิดว่า ดูสิ เขานำบุญกุศลมาให้เรา ช่วยปลุกให้เราได้มาทำความ เพียร แต่ตัวเขาเองกลับอยู่ในกองไฟของโทสะ เผาร้อน ไหม้ถลอกปอกเปิกตลอดเวลา ทำอย่างไรเขาจึงจะได้
ความสุขความสงบอย่างที่เรากำลังมีอยู่ ดิฉันฟังแล้ว เกิดปีติจนขนลุก นึกถามตัวเองว่า เราเป็นใบลานเปล่าหรือเปล่า ถ้าตัวเองไปเจออย่างนั้น เข้าจะทำได้อย่างเขาหรือไม่ ก็อนุโมทนากับเขา แล้ว บอกว่า ใจของเขาสัมผัสแก่นธรรมแล้ว สิ่งที่พูดๆกันเป็น เพียงอาการ ไม่ใช่ตัวธรรม เมื่อไรที่ใจได้ลิมรส แสดงว่า ธรรมตัวจริงได้งอกงามขึ้นแล้ว ในกรณีนี้ ก็เป็นต้นใหญ่ ให้ร่มเงาแล้ว โปรดปฏิบัติต่อไปเถิด การปฏิบัติที่ถูกคืออย่างนี้ เพราะได้เอาธรรมไป อบรมใจให้เป็นสติเป็นปัญญาอยู่กับใจ เกิดร่มเงาบังแดด บังฝน คือความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ ให้ไม่สามารถมาทำ ร้ายใจได้อีกต่อไป ไม่ใช่เราทําสมาธิ ทำวิปัสสนาถึงขั้น โน้นขั้นนีแล้ว เราเป็นอย่างนั้นอย่างนีแล้ว หรือคอยเทียบเคียงกับผู้อื่น คนโน้นสู้เราไม่ได้ คนนั้นเพี้ยน จิตใจที่
ยังมีตัวตนเป็นศูนย์กลางอยู่เช่นนั้น คืออวิชชา ยังไม่ใช่ตัว ความจริงต้องเป็นขึ้นเองในแต่ละขณะ เมื่อใดก็ ตามที่เกิดปัญหา ธรรมคือสติและปัญญา จะรักษาเรา ตัว เองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้น เพราะไม่ได้ทำไปด้วยความ ปรุงคิด หรือความจำ แต่ทำไปด้วย รู้ ตามจริง ตาม เหตุที่มากระทบแต่ละขณะๆ เมื่อการฝึกฝนเริ่มมีผลให้ได้เสวย ห้ามล้อเกิดขึ้น เช่นคุณคนงานผู้นั้น สติไหวทันการกระเพื่อมของใจ ปัญญา เกิดเป็นโยนิโสมนสิการ เป็นแยบคายอุบาย พอเดินงุ่มง่าม มาพบถนนขวางหน้า แทนที่จะหลับตาเลียวไปตามบุญ ตามกรรม ก็เลียวไปด้วยสติปัญญา เข้า มรรค ชีวิตย่อม รอดปลอดภัยจากตัวอย่างเมื่อกี้นี้ ถ้าเปิดหน้าต่างออกไป ถึง เราจะบอกตัวเองว่า เตือนเขาด้วยความเป็นจริง แต่ใจ ที่มีความโกรธเป็นอารมณ์อยู่ ทำให้การกระทำ คำพูด เป็นไปด้วยโทสาคติ เขาเองก็กำลังรุ่มร้อน ขาดสติปัญญา ใจเป็นพาลชน หากเขาตอบกลับมาว่า แล้วคุณเสือก อะไรด้วยล่ะ ฉันทะเลาะกันอยู่ในบ้านของฉัน ทำไม คุณต้องเอาหูสอดเข้ามาฟังด้วย มันก็มีเรื่องกระทบกระทั่ง กันขึ้น เมื่อเริ่มต้นเช่นนี้แล้ว ที่จะมีน้ำใจไมตรีกัน ย่อม
เป็นไปได้ยาก ต่อมาก็คับที่ อยู่กันไม่มีความสงบสงัด ใจคิดหาลู่ทางแต่จะทำอย่างไรจึงย้ายบ้านได้ สตางค์ก็ยัง ไม่มี เลยไปหงุดหงิดกับลูกกับเมีย ทําไมถึงใช้จ่ายเปลือง นี้จะมาล้างมาผลาญกันไปถึงไหน ยึดยาวเป็นสายไม่รู้จบ
ตกลงเราเอง เป็นผู้ทำทุกข์ให้แก่ตัวของตัว ครั้น มีสติมีปัญญา จะทำอะไรออกไป สติปัญญาจะไตร่ตรอง ให้เป็นมรรคไปเสียทุกครั้ง เมืออยู่บนมรรคแล้ว ทุกข์แท้ง ไปหมด ไม่มีหนทางเกิด เพราะเหตุแห่งทุกข์ไม่มี เราไม่ได้ ประกอบ ไม่ต้องใช้ศิลปอะไรกำจัดเลย เพราะทุกข์หาย ไปหมดแล้ว นังเฝ้าดูก็ไม่เห็นว่า มันหายไปทางไหน ไม่ ต้องออกแรงปราบอะไรทั้งนั้น
ท่านจึงได้ว่า ธรรมของพระพุทธองค์มีประสิทธิภาพ ผู้ใดปฏิบัติได้ย่อมเห็นผลในใจ เมื่อเห็นประจักษ์อย่างนั้น แล้ว รับรองว่า ไม่มีวันเวลาลังเลสงสัย หรือเสือมศรัทธา หรือไปแสวงหาว่าจะมีสิงไดอีนดีกว่า มีอะไรที่จะช่วย ทุ่นแรง เพราะสมัยนีเป็นสมัยก้าวหน้า กิเลสจึงมาเสียม สอนลองใจว่า การปฏิบัติตามพระพุทธเจ้างุ่มง่ามล้าสมัย แล้ว เดียวนีวิทยาการก้าวหน้า มีวิธีทุ่นแรง สามารถเรียน ลัดไปถึงทางพ้นทุกข์ โดยไม่ต้องพากเพียรปฏิบัติให้เหนื่อย ยากถ้าใครไปหลงอย่างนั้น ก็จะได้ผลเหมือนแชร์ล้ม เขาไม่ได้บังคับให้เราไปเชื่อ ไปเล่นกับเขา แต่ความโลภ ความรู้มากเอาเปรียบในใจ ทำให้มองเห็นปลาตัวโตกว่า ที่มันเป็นจริงๆ ครั้นหลวมตัวทุ่มทุนลงไปแล้ว ผลไม่ เป็นเหมือนกับที่ใจหวังเอาไว้ เพราะความโลภสอนให้ มองแต่ด้านเดียว ไม่ดูให้รอบว่า เมื่อมีได้ ก็ย่อมมีเสีย สิ่งที่เราได้มา มองให้ลึกซึ้งไปแล้ว ก็เอามาจากของผู้อื่น นันแหละ เหตุใดเราจึงดีใจ ผ่องใส บนความทุกข์ของ
ผู้สูญเสียส่วนนั้นมา ให้เรา เวลาที่ไม่เอาสติคุ้มครองใจ กิเลสฉุดลากให้เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวถ่ายเดียว ใจ ร้าย ใจดํา ลืมเอาใจเขามาใส่ใจเราถ้ามีสติ พอถึงตอนทุกข์ จะได้ปลอบตัวเองว่าสมมติก็เป็นอย่างนี้เอง มีได้ ก็มีเสีย เหมือนเล่นไม้กระดก ผลัดกัน ที่เราบ้าง ที่เขาบ้าง เรายิมมานานแล้ว ให้เขา ยิมบ้าง แต่ใจที่ขาดสติไม่อย่างนั้น เวลาได้เรายิม ครั้น ถึงคราวเสีย ปีนขึ้นไปบนที่ทํางานชิ้นเจ็ด จะกระโดด หน้าต่างลงมา ดีแต่เพื่อนฝูงจับไว้ทัน ไม่อย่างนั้นก็ทําลาย ชีวิตตัวเองไปแล้ว
คิดหรือว่า ใจที่รุ่มร้อนด้วยทุกข์อย่างนั้น จะเปลี่ยน เป็นสงบสุขเมือหลุดจากรูปกายออกไป ใจไม่ได้จบสิ้น เมื่อร่างกายเสื่อมสลายไป กายก็ส่วนกาย ใจก็ส่วนใจ ธาตุรู้อันนีไม่ได้วิปริตแปรปรวนไปกับความเสื่อมสลายของ
กาย มันกําลังทุกข์รุ่มร้อนอยู่แค่ไหน เสวยอยู่ในอารมณ์ ใด มันก็หมุนค้างติดอยู่ในอารมณ์นั้น ถ้ายังมีกายอยู่ มีอายตนะไว้รับผัสสะ เราก็ยังมีโอกาสแก้ไข รักษาใจ ให้หลุดจากทุกข์ได้ หากคําพูดของท่านผู้รู้เกิดสะกิดถึง ใจ ทำให้อารมณ์เปลี่ยนไปได้ อุปมาดังเราเดินผิดทางอยู่ ท่านมาจับชี้ว่า คุณ จะไปทางนี้ต่างหาก เราก็เห็นที่ผิด แล้วเปลี่ยนให้ถูกทิศ ทางได้ แต่ถ้าไม่มีกาย ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น เพื่อรับสัมผัส
เราก็ติดค้างอยู่ในอารมณ์เดิม ทุกข์อยู่อย่างนั้น ไม่รู้อีก นานเท่าใด การหนีทุกข์โดยคิดว่า ความตายคือการระงับดับ ขอเรียนว่า เป็นความคิดผิด อวิชชาลวงให้คิด ไป ถ้าคิดว่า ไม่ว่าจะทุกข์สักเพียงไหนก็ตาม เมื่อเราเป็น ตัวประกอบเหตุแห่งทุกข์เอาไว้ เราก็คนจริง เราก็ลูกมีพ่อ คือพระพุทธองค์ ไม่ว่าค่าเสียหายจะมากมายแค่ไหน เมื่อ เป็นหนี้ของเรา เรายอมชดใช้ เมื่อใจยอม มีสติปัญญา อยู่กับใจ พอเขามาทวงหนี้ จะมีเหตุ วันนั้นพอดีเป็น วันเงินเดือนออก พอแบ่งให้ได้ เราก็สามารถผ่อนหนี้ ตัวดิฉันเองก็เช่นกัน เมื่อก่อนเคยหวาดหวั่นว่าเราจะมีปัญญาปลดหนีหรือ ครั้นปฏิบัติไป ปฏิบัติไป สิ่ง ที่เกิดขึ้นในชีวิตจะเป็นทำนองนี้ พอถึงคราวคับขัน จะ มีสิ่งที่นึกไม่ถึง คาดไม่ได้ ทำให้เห็นหนทางแก้ไขสถานการณ์ทุกครั้ง จนเชื่อมั่นว่า ถ้าปฏิบัติจริง ปฏิบัติสมควร แก่เหตุ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ผลที่ประสบก็เป็น เครื่องยืนยัน สติปัญญาจะมาทันเหตุการณ์ ช่วยให้เห็น ช่องทางไปได้ ทั้งๆ ที่ก่อนนั้น คิดว่าไม่มีทาง คิดเท่าไรๆ ก็คิดไม่ออกเมื่อฟังแล้ว โปรดนำไปปฏิบัติ เพราะการฟังก็ เหมือนดูแผนที่ คิดว่า รู้แล้ว แต่ยังรู้ด้วยความจำ ยังไม่ พัฒนาเป็นสติปัญญาตัวจริง สติปัญญาเปรียบเหมือนมืด ก็ขึ้นขึ้สนิม ต้องหมั่น ลับเสมอ แล้วจะลับกับอะไร? ก็ต้องลับกับปัญหาที่เกิด ในชีวิตประจําวันจริงๆ ที่ดาหน้าเข้ามาปะทะ นั่นแหละ คือโจทย์ว่าด้วยของจริง ไม่ต้องกังวลว่า ไม่มีเวลาทำ สมาธิจนเกิดนิมิต เรื่องจริงที่เกิดขึ้นทุกเวลานาที่นี่แหละ คือนิมิต สำคัญที่การวาง ใจของเรา อย่าไปยึดกับเรื่อง ที่เกิดขึ้น ให้คิดว่า นี่เป็นเงาให้เราเห็นว่าใจของเรายังมี โลภ มีโกรธ มีหลง มีขยะอีกกี่กระบุง เราจะได้เอาสติ ปัญญาเข้าไปช้อน ขุดขยะเหล่านั้นออกไปทิ้งให้หมด ถ้า ยึดหลักไว้อย่างนี้ การปฏิบัติธรรมของเราจะนําเราไปสู่ การพ้นทุกข์ในเร็ววัน
ที่เห็นผลทันตาคือ สิ่งใดเกิดขึ้น แทนการมองออก นอก ตะครุบเงา สติจะม้วนใจเข้ามาภายใน กําหนดดูอารมณ์ ที่กระเพื่อมอยู่ แล้วเอาปัญญามาหาเหตุผล หาอุบายแยบ คายที่ทําให้ใจสงบ ยอมรับผัสสะนั้นๆ เป็นเหตุให้ใจที่ หงุดหงิดงุนง่าน ตรงไหนก็ไม่ถูกใจ อยู่บ้านก็รำคาญ น้อยใจ แหนงใจ มาที่ทำงานก็คับข้องขุ่นเคือง ไปตรง ไหนก็ไม่สบาย เพราะใจเป็นโรงงานผลิตทุกข์ สงบหมด ไป ท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าใจสบายเสียอย่าง ถึงโลกจะวุ่นวาย เดือดร้อน เราก็ไม่เดือดร้อนตามไปด้วย ใจที่ฝึกจนเลี้ยง ตัวได้ จะสงบ เป็นปกติ อะไรๆก็กระทบกระแทกไม่ถึง ผัสสะใดเกิดขึ้น สติปัญญาออกมาไตร่ตรองพิจารณา ถึง
สิ่งนั้นจะอำนวยผลประโยชน์ให้เรา หากผลประโยชน์
นั้นเป็นความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เราก็ระงับเสีย เพราะ ใจที่เป็นพุทธะ รู้ ตื่น ด้วยปัญญา จะอ่อนโยนด้วยกรุณา ดุจดอกบัวที่แย้มบาน ดังบทพุทธคุณที่ว่า พระกรุณา ของพระพุทธองค์กว้างใหญ่ดุจห้วงมหรรณพ ใจเช่นนี้ เป็นความงดงาม เป็นคุณประโยชน์ มีค่าแก่โลก แก่ สังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่ปฏิบัติด้วยตัวเอง ก็ไม่เห็น ไม่รู้ ฟังคนอื่น หมื่นแสนว่า ก็ไม่เห็น เพราะที่เห็นนั้น เห็นขึ้นในใจของ แต่ละบุคคล ธรรมเป็นปจูปิตุต”
พระพุทธเจ้าทรงย้ำเสมอว่า ต้องปฏิบัติ ถึงธรรม จะมีอยู่ในคัมภีร์ ในพระไตรปิฎก ถึงจะจริงอย่างไร ถึง
จะออกจากพระโอษฐ์ของท่าน แต่สิ่งที่มีอยู่เหล่านี้ ไม่ สามารถทำให้จิตใจแต่ละดวง แต่ละดวง ปราศจากทุกข์ ได้ ถ้าเราไม่นำไปปฏิบัติให้รู้ เห็น เป็นขึ้นในใจของเราก็คงมีศิลปการกำจัดทุกข์อยู่เท่าที่ได้นํามาเล่าสู่
 กันฟังแล้วนี่ หวังว่าท่านคงนำไปพิจารณา เลือกที่เหมาะสม กับสถานการณ์ของท่านไปปฏิบัติให้งอกงาม ผลิดอกออกผลสมปรารถนาขึ้นในจิตใจของท่านเรือยไปโดยลำดับ
ครูขอฝากสิ่งเหล่านี้ไว้กับพวกคุณทุกคน วิชาชีพของเราเปรียบไปแล้ว เป็นงานที่น่าอิจฉาที่สุด คน ส่วนใหญ่ต้องแบ่งเวลา ปลีกตัวไปวัด หาโอกาสไปทําบุญ ตักบาตร แต่เราไม่ต้องทําเช่นนั้น เพราะโรงพยาบาลคือวัดของเรา พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ผู้ใดอุปัฏฐากดูแล คนเจ็บไข้ ก็เหมือนได้ดูแลเราตถาคต ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่เราทำให้คนไข้ ก็เท่ากับเราทำถวายพระพุทธเจ้า โรงพยาบาลก็คือวัด ที่เราสามารถใส่บาตร ทำบุญ อุปัฏฐาก ใกล้ชิด ดูแลปฏิบัติต่อพระพุทธองค์อยู่ทุกๆ ขณะที่เรา ตั้งใจ เต็มใจ ใสใจทำงานของเราด้วยความเสียสละ จาคะความสุข ความเห็นแก่ตัวตนออกไป คนอื่นๆ อยากทํา ก็มาทำอย่างเราไม่ได้ แล้วทําไม เล่า เมื่อมีโอกาสดีอย่างนี้แล้ว เราจึงละเลยมันไปเสีย ปล่อยให้โอกาสทองอย่างนีหายหกตกหล่นไปโดยเปล่า ประโยชน์ ครูหวังว่าลูกศิษย์ทุกคน ทุกคนของครู จะ จบไปเป็นพยาบาลที่ดี มีคุณค่า มีจริยธรรม มีใจงดงาม ที่คนไข้ทั้งหลายชีนใจ อยากฝากชีวิตเอาไว้ด้วยความสนิท วางใจ


พิมพ์โดย  ปภัสสร  มีพงษ์
แหล่างที่มา  http://web.krisdika.go.th/buddha/payabHdad.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top