Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา ธัมมะกับการดำเนินชีวิตประจำวัน

บทความหมออมรา
ธัมมะกับการดำเนินชีวิตประจำวัน


ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              19 กรกฎาคม 2537
ณ                 ห้องบรรยายชั้น1 วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ อบรมเสริมความรู้แก่ข้าราชการตำรวจสายการแพทย์ ระดับพลพยาบาล (พยาบาลภาคสนาม) รุ่นที่ 2
อันดับที่     
หมวด


             สิ่งที่จะปรารภสู่กันฟังเช้าวันนี้ ไม่ต้องกงวล ว่าจะจดได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเรื่องที่จะพูดกน ธัมมะกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ธัมมะ ก็คือ กาย คือ ใจ ของเรานั่นเองไม่ใช่ดำสอนภาษาบาลี
หรือว่าอะไรที่เราเอาไปตั้งไว้บนหิ้งพระ แล้วบอกกับ ตัวเองว่า รอจนกระทั่งเราแก่เลียก่อนค่อยไปศึกษา ถ้ารอจนกระทั่งแก่เสียก่อนแล้วค่อยไปศึกษา ธัมมะ ก็ไม่มีประโยชน์
ธัมมะคือกายใจของเรา ถ้าเราไม่รู้จักกายไม่ รู้จักใจของเรา คนที่จะเสียผลประโยชน์ที่สุดก็คือตัว เราเอง เพราะเราจะปล่อยให้ใจของเราทำร้ายตัวเอง ทำไมจึงใช้ดำว่า เราปล่อยให้ใจของเราทำ ร้ายตัวเรา
ใจของเรา จริงๆ แล้ว ต้องประกอบด้วยคุณ สมบัติ 2 ประการ คือ ต้อง มีกำลัง และต้อง รู้ ทิศทาง ที่ถูกต้อง เหมือนเราจะไปใหน ถ้าไม่มีแรง ทั้ง ๆ ที่รู้ทิศทางว่าจะไปทางนี้ เราก็เต้นไปไม่ถึง หรือถ้ามืแรง แต่ไม่รู้ทิศทาง แทนที่จะขึ้นเหนือ เรา ลงใต้ ยิ่งมีแรงมากเท่าไร เรายิ่งหลงทางมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น ใจที่เป็นธรรม ต้องเป็นใจที่มืทั้งกำลัง และเห็นทั้งทิศทาง กำลังคืออะไร
กำลัง คือ การที่มีปัญหาอะไรเฉพาะหน้า มี งานอะไรเฉพาะหน้า เราจดจ่อรวมใจทั้งหมดให้ไป ท่างานนั้น ไม่ใช่ตัวก็ทำๆ ไป แต่ใจต้ด.. ท่ายังไง เราถึงจะไปที่อื่นได้ งานตรงนี้ไม่อยากทำ
เราก็เหมือนหุ่น มีอก็หยิบจับตาก็ทำเป็นว่า มอง แต่ไม่เห็นอะไร เพราะในใจปลิวไปท่าสิ่งที่คิด อยาก ไปดูสิ่งที่สนใจ ไม่ไต้อยู่ลับงานตรงนี้เลย มัน ก็ท่าให้ชีริตของเราผิดพลาด เพราะตัวอยู่ก็จริง แต่ ใจไม่อยู่
นัยน์ตาลืมอยู่ ของเอามาวางตรงหน้า ก็มอง ไม่เห็น ใครพูดด้วย เราพยักหน้ารับ แต่ไม่ไต้ยิน
เพราะมัวได้ยินแต่สิ่งที่นึกคิดอยู่ในใจเลยทำให้ข้อมูลที่เข้ามา เรื่องที่จะต้องรับรู้รับทราบ เหมือน อย่างกับว่าไม่ได้เกิดขึ้น แล้วเราก็รับรู้รับทราบแต่ เรื่องที่อยู่ในใจของเรา ซึ่งไม่ใช่ความจริงอย่างนี้คือการรวมกำลังของใจไม่เป็นทิศทางคืออะไรทิศทางคือการที่เรารู้สิ่งที่มาสัมผัส สิ่งที่เกิด ขึ้นแต่ละขณะ.. ขณะ.. กับชีวิตเรา ตรงตามความ เป็นจริงยกตัวอย่าง สมมติเรามืลูกน้อง ถามอายุก็เป็นหนุ่มฉกรรจ์ ถามวุฒิความรู้ กิเรียนมาเท่าที่เรา หวังว่าควรจะรู้ แต่บังเอิญใจของเขาไม่รู้ทิศทาง ไม่ เคยฝึกตัวเอง ให้รับรู้เท่ากับผู้ใหญ่ที่ปกครองตัวเอง ได้ ใจเขากิเหมือนกับเด็กบัญญาอ่อน อายุสัก 2 ขวบพอเราสั่งงาน นี่นะ ไปทำอย่างนี้อย่างนี้นะ เขาก็คิดเอาเองว่า อย่างนี้ อย่างนี้ ของเราคืออีก อย่างหนึ่ง ก็ทำไปตามที่เขาคิดเอาว่าเราก็ปวดหัวไปหมด เพราะไปรู้ตามเปลือก ข้างนอกว่า กิจบขั้นนี้ ขั้นนี้ อายุเท่านั้น เท่านี้ พูด
กันก็ต้องรู้เรื่องสิ ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เอ๊ะ.. ยังไงนะ สั่ง แล้ว ทำไมถึงพูดไม่รู้เรื่อง จะลองของหรือยังไง..
แทนที่จะคิดหาสาเหตุว่า มีความผิดปกติ อะไรนะ เราไม่คิด เพราะไปติดกับรูปที่เห็นข้างนอก นี่ถ้าจะฆ่าให้ตาย ก็ตายเปล่า เราไม่มีทางทำจิตใจที่ เท่ากับเด็ก 2 ขวบให้เป็นผู้ใหญ่อายุ 20 ได้เหมือนติฉันเคยเปรียบเทียบให้เพื่อนฟัง ครั้ง หนึ่ง สามีเขาขัดพื้นบ้าน ลงนํ้ามันขักเงาเองในวัน หยุด แล้วสั่งสาวไข้ว่า นี่นะ เจ้าอย่าเตินเข้าไปทาง ห้องนี้ รอให้นํ้ามันแห้งเสียก่อนสาวใช้คิดว่า เปียกนี่คือต้องเปียกจนนํ้าไหล นองเขามองดูพื้นที่ทานํ้ามันชักเงาไว้ ก็ไม่เห็นเปียกตรงไหน แล้วก็ไม่เข้าใจที่นายสั่งว่า อย่ายิ่าเข้า ไปนะ เพราะถ้าพื้นยังไม่แห้งสนิท รอยเท้าที่ยํ่าเข้า ไป จะเหลือประทับติดอยู่อย่างนั้นเมื่อนํ้ามันชักเงา แห้งแล้วทั้งที่ไม่เข้าใจ นายสั่ง เขาก็พยักหน้าวับ เมื่อ มีงานที่จะต้องเดิน ซึ่งนายสั่งแล้วว่า ให้เตินเลี่ยง อย่าทะลุเข้าห้องนี้ใปอีกห้องหนึ่ง ให้อ้อมไปทางอื่น เขามองดพื้น..มันก็ไม่เห็นเปียกสักหน่อย..เขาก็
เดินยํ่าไปอย่างมีความสุขนายกินข้าวเสร็จ กลบมาถึง น๊อตหลุดเลย .. ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่า ถ้าไม่แห้งไม่ให้เดินทะลุไปสาวใช้ที่หน้าซื่อบริธุทธิ์ .. นายดูสิ มันแห้งแล้ว..ก็รอยตีนเจ้าฟ้องอยู่เต็มไปหมด..
แล้วทำไมล่ะ คือ เขามองไม่เฟ้นว่า การที่มี รอยเท้าเขาประทับเป็นลวดลายเพิ่มเติมเป็นของแถม นี่มันกวนโทสะเจ้านายอย่างไรบ้างนายก็หัวฟัดหัวเหวี่ยง..ฉันกิต้องล้างมันออกแล้วทาใหม่.. สาวใช้ตอบ ก็ไม่เห็นมันเสียหาย ตรงไหนเลย มันกิแห้งดี ไม่เห็นมันด่างมันเว้ามัน แหว่งตรงไหนเลยดิฉันโผล่เข้าไปตอนที่กำลังมีวิกฤติการณ์อย่าง นี้สามียื่นคำขาดกับภรรยาว่า คุณเลือกเอา จะเอาผม หรือจะเอาสาวใช้ ถ้าคุณเลือกสาวใช้ ผม จะหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านเดี๋ยวนี้สาวใช้ทำอะไรคล้ายๆ อย่างนี้อยู่เนืองๆ จน กระทั่งคุณผู้ชายรู้สึกว่า วันนี้สุดจะทนแล้ว ภรรยา เองก็คยเจอะเจอ เป็นต้นว่า ก่อนจะออกจากบ้าน

เพราะเขามีกัน 2 คนผัวเมีย และมีสาวใช้คนนี้อยู่ เฝ้าบ้าน ทำงานทั้งสามีทั้งภรรยา ก่อนจะออกจาก บ้านก็สั่งสาวใช้ไว้ว่า เจ้าเลือกมะเขือเทศสุกๆ เตรียม ไว้นะ เย็นนี้ฉันจะมาทำสลัด เอาสุกๆ นะพอกลับมา ก็หลับตาเห็นภาพว่า สาวใช้คง จะคัดมะเขือเทศลูกแดงๆ เอาไว้ให้ ปรากฏว่า เขา ยกหม้อมาให้คุณคะ สุกพอไหม คือ เคี่ยวเสียมะเขือเทศเละหมด ก็คุณสั่งว่าสุกๆ หนูก็ทำสุกๆ ภรรยาจะดุ..ก็.. เออ จริง เราพูดไม่ดีเองนะ คือ เราไม่ได้บอกว่า เอาสุกแดงๆ ไม่ใช่ต้มสุกเละๆ เพราะยังไงๆ เราก็ต้องมีคนไว้เฝ็าบ้าน เดีกคนนี้ถึง เรื่องอื่นๆ จะไม่ดีอย่างไรก็ตาม แต่ชื่อสัตย์ อย่าง น้อยที่สุดกลับบ้านมา เราก็ยังมีบ้านครบถ้วน เสา เรือน 4 เสาอยู่ ข้าวของในบ้านไม่หายหกตกหล่น เราก็ต้องแลกเอา ถึงบางครั้งเขาจะกวนประสาทเรา จนแทบจะบ้าก็จริง แต่ความดีเขาก็มีพอสามีประท้วงว่า.. คุณเลือกเอา จะเอาสาวใช้ หรือจะเอาผม.. ภรรยาก็แย่เหมือนกัน ไม่ รู้จะหาทางออกอย่างไร ดิฉันเซเช้าไปพอดี ภรรยา ได้โอกาสตั้งคำถาม นี่เธอ ช่วยตัดสินหน่อย เถอะว่า..แล้วนี่ฉันจะทำอย่างไรดิฉันถามว่า เรื่องมันเป็นอย่างไร สามีก็เล่า ให้ฟัง แล้วว่า เป็นคุณ คุณโกรธไหมเขามีหมาอยู่ฉัวหนึ่ง ดิฉันเลยถามเขากลับ ไปว่า นี่นะ ถ้าคุณบอกเจ้าหมาของคุณว่า ถ้าพื้นยัง ไม1แห้ง อย่ายํ่าเข้าไปนะ มันก็กระดิกหางเหมือน รับปากกับคุณ พอคุณไปกินข้าว มันก็ยํ่าเข้าไปแล้วมีรอยเท้ามันแทนรอยเท้าสาวไข้ของคุณอย่างนี้ กินข้าวกลับมา คุณจะบอกภรรยาคุณไหมว่า เลือก เอา ระหว่างหมากับผมเขาก็เอ็ดว่า เอ๊ะ.. คุณบ้ารึยังไงนะ ก็รู้อยู่แล้ว ว่าหมามันก็ประสาหมา จะไปสั่งมันได้อย่างไรดิฉันก็ประท้วง แล้วทำไมคุณไม่มองบ้างล่ะ ว่า ใจของสาวไข้คุณอาจจะพัฒนาเท่าลูกหมาของ คุณก็ได้ แต่บังเอิญเขาใส่เสื้อคนอยู่ แล้วคุณจะไป บ้าอะไรกับเขานะ
เขาก็โกรธดิฉัน กระแทกประตูปัง แล้วออก ไป ดิฉันนึก เราอาจจะทำให้ครอบครัวนี้พังโดยสิ้น เชิงก็ได้ แต่ก็บอกเพื่อนว่า ใจเย็นๆ ไว้ ใจเย็นๆ เดี๋ยวเขากลับมาว่าอย่างไร แล้วค่อยหาทางกันใหม่
เขาหายไปครึ่งค่อนชั่วโมง กลับมาก็บอก ขอบคุณนะที่คุณให้สติผม ผมยอมเชื่อแล้วว่า ใจคน บางคนนี่ ตัวมันโตก็จริง แค่โตเป็นฟักเป็นแฟง ใจ ยังไม่โตเท่านั้น อย่างน้อยมันก็มีดี เฝ้าบ้านไว้ให้
เป็นอันว่า ศึกสงครามครั้งนี้ยุติ เพราะอะไร เพราะเขาเห็นทิศทางถูก ไม่ได้ไปคิดหักล้างว่า ลง ถ้าตัวเป็นคนอายุ 20 ปี ก็ต้องรู้รับผิดชอบได้เท่า อายุ 20 ธัมมะสอนให้เรารักษาใจของเราให้มีความ สุข ความเป็นปกติอยู่ได้ ทั้งๆ ที่บางครั้งเรื่องมันยิ่ง กว่าระเป็นเวลาถอดสลักระเบิดพร้อมกันหลาย ๆ ลูก ทำอย่างไรเราถึงจะฝึกใจของเราให้มีทั้งกำลังและทิศทางที่ถูกต้องอยู่ได้ ทุกเวลานาทีที่มีเรื่องไม่ ถูกใจเกิดขึ้น
ถ้าทำได้อย่างนี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนชีวิตของเราจะเป็นสุขเป็นปกติ ไม่มีปัญหาว่า ทำไม เราทำงาน เราตั้งใจดี แค่นายไม่เข้าใจ แค่.. เรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้น.. คือเราทำร้ายใจของเราโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็มาศึกษากันว่า ชีวิต ของเรา ที่เห็นเป็นคน คน คน อยู่กันอย่างนี้ มันประกอบไปด้วยอะไรบ้างคนก็ประกอบไปด้วย กาย ก็บ ใจ เรื่องของ กาย เราก็เหนกันอยู่แล้ว ที่เป็นตัวเป็นตนเห็นๆ กัน บอกได้ว่าเป็นคุณ ก. คุณ ข. ส่วนสิ่งที่เรียกว่าใจ มองไม่เห็น แต่ทำให้เราเก็ดความรับรู้ เกิดความ สุข ความทุกข์ จำได้ ปรุงคิดได้ ทำให้ตาเห็นรูป หู ได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ทรีอว่ากายรับ สัมผัสได้
ใจนี้ไม่มีรูปเป็นตัวตน เป็นนาม เป็นพสัง ทางพุทธศาสนานิยามว่า พลังอันนี้เป็น พลังรู้ ทำ ให้เรารู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ ให้เรารู้ว่า นี่ม่านนะ นี่เก้าอี้นะ คือรู้จากมีคนสอน รู้จากสิ่งที่ประสบพบ ด้วยตัวเอง เป็นประสบการณ์ แล้วประมวลมาสอน ใจของตัวเมื่อยังเด็ก เราไม่เคยรู้ว่าไฟนี่มันร้อน เอ๊ะ ... นี่อะไรนะ สวยดี ก็เอามือไปจับ พอมันไหม้มือ เราพอง เรารู้ซัดว่า อ้อ.. ไฟมันร้อนนะ ทีนี้เห็นไฟ ที่ไหน ต่อให้ใครบอกว่า ลองไปจับดูสิ เราก็ไม่จับ แล้ว
เพราะว่า ใจที่เป็นธาตุรู้จำได้แล้ว ไอ้สีสวยๆ อย่างนี้น่ะ มันร้อนนะ ถ้าเผลอไปถูกเข้า มันก็จะทำ ให้มือเราพอง เป็นสัญชาตญาณปกป้องเราจากภัย อันตรายทั้งหลาย ทำให้เราจดจำเอาไว้ ตรงไหน อันตราย ตรงไหนไม่ดี เราจะมืความระมัดระอังตรงกันข้าม ตรงไหนสขสบาย เราก็มักจะ เผลอไม่ระอังเท่าที่ควร มันก็จะมีอันตรายขึ้นมา เพราะว่าในสิ่งที่แลดูเหมือนสบาย ไม่มีอันตรายอะไร นั้น ก็มือันตรายได้ เป็นต้นว่า เราเดินไปในที่เรียบๆ ไม่ใช่เป็นพงรกอะไร เรานึกว่าปลอดภัย ไม่ได้ลูให้ดี มันอาจมืตะขาบมีแมงป้อง แล้วเราไปเหยียบเข้า มันก็ต่อยเราได้แต่ถ้าเราลงไปที่เป็นพงรก ๆ เราจะระมัดระอัง ทุกย่างก้าว เท้าเหยียบไปตรงไหน ตาจะคอยมอง สติจะคอยระอังรักษา เพราะรู้แล้ว รู้ด้วยสัญชาตญาณว่า ตรงไหนจะมีอันตราย
ถ้าสามารถแกใจของเราให้ ถึงตรงไหนจะ แลดูเหมือนปลอดภัย เราก็ไม่ไว้วางใจ เพราะเรา ตั้งชีวิตของเราอยู่ในความไม่ประมาท เท้าไปถึง ไหน สติเราไปถึงนั้น คอยระมัดระอังอยู่อย่างนี้เรื่อยๆถ้าเป็นอย่างนี้ อันตรายอะไรที่จะเกิดขึ้นกับเรา ก็ลด น้อยไป หรือไม่เกิดขึ้นเลยชีวิตของเราที่จะมีป้ญหา ที่จะไปคิด ..รู้อย่าง นี้ไมทาก็ดีกว่า .. ก็จะไม่เกิดขึ้นที่เคยคิดว่าเราควบคุมคุณภาพชีวิตของเราไม่ได้ ก็จะควบคุมได้ เพราะเราจะมีระเบียบระบบ ทำแต่สิ่งที่เหมาะควร สมเหตุสมผลไม่ใช่นึกอยากอะไร ก็ทำไปตาม
อารมณ์อยาก โดยไม่คิดถึงกาลข้างหน้า ว่าทำไปแล้ว ผลที่ติดตามมาจะเป็นภาระให้เราต้องทกข์เดือด ร้อนแค่ เห็นถ้าปล่อยใจให้ขึ้นๆ ลงๆ ตามอารมณ์ ตาม แล้วแต่อะไรมากระทบใจ เราก็ปลิวตามไป โดยไม่รู้ ว่า ปลิวไปแล้วจะเหมาะควรแค่ไหน ผลจะติดตาม มาอย่างไร มันก็ทำให้ ถ้าผลที่ติดตามมา ไม่เป็นไป อย่างที่ใจเราคิดหอังเอาไว้ เราก็หงุดหงิด เครียดพวกคุณคงเคยรู้มาแล้วว่า โรคในตัวเรานี่ไม่ใช่ว่าต้องมาจากสาเหตุภายนอกเสมอไป ไม่ใช่ว่าไป กินนํ้าที่ไม่สะอาดแล้วเราจึงท้องเดิน เราไม่ต้องไป กินนํ้าอะไรที่,ไม่สะอาด ถ้ามีความกังวลอยู่ในใจ เราเครียด เราก็เกิดอาการปวดท้อง ท้องเดิน กิน
แล้วไม่ย่อย กินไม่ลง อาเจียนได้คนบางคน จะต้องไปทำงานอะไรที่ใจไม่ชอบ หรือเด็กนักเรียนถึงเวลาสอบ พอเข้าห้องสอบก็ท้อง เดิน มันเปีนโรคนามรูป หรือที่ภาษาแพทย์เรียก  psychosomatic disease  คือใจของเราเอง.. psycho psychic จิตใจ, somatic  soma ร่างกาย มันเกี่ยวพันกัน เวลาที่ใจไม่เป็นไปตามปรารถนา ถูก บีบบังคับ กดเก็บ คับเครียด ไม่รู้จะแสดงออกอย่าง ไร มันก็มาบันป่วนที่ร่างกายถ้าจุดอ่อนของร่างกายอยู่ที่ระบบอาหาร ก็ทำ ไห้เกิดอาการกินไม่ลง คลื่นไล้อาเจียน ท้องเดิน กิน แล้วไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ถ้าอยู่ที่ระบบหายใจ ก็หอบหืด หายใจไม่ออก ถ้าจุดอ่อนอยู่ที่ระบบหัวใจ ก็ความคันเลือดสูง เป็นโรคหัวใจถ้าไม่เข้าใจ เราเป็นหมอ ..คนไข้แสบท้อง ปวดท้อง กินอาหารไม่ย่อย เอ้า.. เอายาลดกรดไป แก้โรคกระเพาะ เราไปรักษาที่ปลายเหตุ ได้ยาลด กรดไปอาการก็ดีขึ้น 2-3 วัน อาการเครียดคลาย ไปเล็กน้อย แลดูเหมือนดีขึ้น แต่พอมีอะไรเครียด มาใหม่ ก็เกิดอาการอย่างเดิมอีก
เราซักถาม ..อย่ากินของหมักดอง อย่ากิน ของเผ็ด เขาก็บอกเขาทำตามเราทุกอย่าง แต่ก็ไม่รู้ เหมือนกัน วันดีคืนดีมันอยากแสบท้องขึ้นมา มัน อยากเป็นแผลในกระเพาะขึ้นมา มันก็เป็น เราก็ ... เจ้านี่ประสาทหรือยังไงอันที่จริง เราไม่ได้ตามไปให้รู้ลึกซึ้งถึงสาเหตุ ว่า จิตใจของเขามีอะไรที่เป็นตัวการ ทำให้ประเดี๋ยว ประเดี๋ยว มันก็ทำอาการอย่างนี้ อาการของโรคนามรูป ซึ่งเป็นการเตือน การบอกเราว่า.. ฉันแย่แล้ว นะ ฉันช่วยตัวเองไม่ได้ ขอให้ใครที่มีความรู้ความ สามารถ ช่วยคลี่คลายปัญหาในชีวิตให้ฉันหน่อยเถอะ..ถ้าเราแปลรหัสไม่เป็น เขาอุตส่าห์ส่งรหัสมา ขอความช่วยเหลือแล้ว เราก็แปลไม่เป็น เอ้า..หอบหืดหรือ เอายาพ่นไป โรคหัวใจหรือ เอายาอมใต้ ลิ้นไป คนไข้ก็เป็นกระป็องใส่ยาอยู่อย่างนี้ แล้วก็ไม่ มีอะไรดีขึ้นแต่ถ้าเราระลึกนึกเอาไว้ว่าใจที่ไม่รู้ตามความเป็นจริงนั้น ขาดทิศทาง ก่อให้เกิดปัญหาชํ้า ช้อนขึ้นกับตัวเอง แล้วทำให้ตัวเองทุกข์เดือดร้อน จนบางครั้งถึงกับสิ้นชีวิตไปได้ เพราะถ้ากระเพาะ
เกิดเป็นแผลจนทะลุไป แล้วบังเอิญอยู่ในที่ที่ไม่ สามารถมาทำผ่าตัดได้ทันท่วงที หรือว่าเลือดออก มากๆ เพราะแผลไปอยู่ตรงที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ ก็ อาจเลือดออกจนซ๊อคตายไปก็ได้คนบางคน เวลาจิตใจตับเครียด ชีวิตประสบ แต่ความล้มเหลว จะเกิดอาการของโรคภูมิแพ้ แพ้ ไอ้โน่น แพ้ไอ้นี่ แพ้ไอ้นั่นไปได้เรื่อยๆ เพราะหมด พลังใจที่จะมีชีวิตอยู่การที่เรามีชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะร่างกาย แข็งแรง อายุขัยถึงเท่านั้นเท่านี้อย่างเดียว มันมา จากใจด้วยคราวหนึ่ง ดีฉันได้รับเชิญไปในงานมุทิตาจิตของหัวหน้าตึกไอชียูที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ท่านเกษียณอายุ นอกจากดีฉันแล้ว กิมีคนที่เคย เจ็บหนักเข้ารับบริการที่ไอซียูนี้ ตอนเข้ามา หนัก ถึงขั้นที่คุณหมอไม่รับรอง บอกญาติให้ไปเตรียมหา วัดเอาไว้ แต่คนเหล่านี้รอดมาได้ ทางโรงพยาบาล กิเชีญมาพูด แสดงมุทิตาจิตต่อคุณพยาบาลมีรายหนึ่งซึ่งพูดแล้วประหับใจดีฉันมาก เขา เล่าว่า ตัวเขาเองเป็นคนหนุ่มฉกรรจ์ ที่ต้องมาอยู่ ไอซียูเพราะประสบอุบดีเหตุ ตอนนั้นนอกจากบาด

เจ็บทางสมองแล้วก็ไตวายเฉียบพลันต้องฟอกเลือด หมอไม่รับรองว่าจะตายหรือจะรอด แต่โอกาสที่จะ รอดน้อยมากระหว่างที่อยู่ในไอซียู ช่วงที่เขาไม่รู้สึกตัวคุณ หมอ คุณพยาบาลก็ว่าเขาโคม่า เขาเล่าว่า รู้สึกเหมือนเขาลอยเคว้งคว้างไป หาที่กำหนดหมายไม่ ได้ แต่จะรู้ว่ามีมือมาลับมือ หรือลับตัวเขา มือนั้น เหมือนอย่างกับว่ามืพลังล่งเข้ามา ทำให้ใจที่เคว้งคว้างที่รู้สึกว่าบางทีเหมือนจะขาดหลุดไป หรือไม่ รู้ว่าจะไปตกอยู่ที่ไหน เกิดรวบรวมตัว ได้กำลัง แล้วเห็นทิศทางขึ้นมา มีความรู้สึกอยากให้ตัวเอง อาการดีขึ้น สามารถพูดติดต่อสื่อสารกับผู้คนได้คุณพยาบาลท่านนี้ เข้าขึ้นมา ท่านขึ้นเวร ท่านจะเดินเยี่ยมคนไข้ทุกคน ทุกคน ทุกคน ถ้าคน ไข้ดีพอที่จะพูดกันได้ ท่านก็ทักทาย เป็นยังไงบ้าง ให้กำลังใจ ถ้ายังโคม่าอยู่ ท่านก็จะลับมือไว้ แล้วแผ่เมตตา ให้กำลังใจว่า ขอให้คุณมืกำลัง แล้วอาการ ดีขึ้น ให้รู้สึกตัว
ทุกวัน ทุกเข้าที่ขึ้นเวร ท่านจะดูแลคนไข้ อย่างนี้ทุกรายถ้ารายไหนหนักหนา มีอะไรเป็น
พิเศษ ก็ดูกันไปตามเนื้อผ้า พอบ่ายถึงเวลาลงเวร ท่านก็จะไปเยี่ยมอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน ท่านบอก คนไข้ว่า ดิฉันจะลงเวรแล้ว ขอให้คุณสบายทั้งคืน ตลอดคืนนี้ พรุ่งนี้พบกันใหม่
คนไข้คนนี้ ช่วงที่ยังหนักหนาสาหัสอยู่ เขา เล่าว่า บางทีตอนกลางคืนเกิดอาการเหมือนกับว่า จะหายใจไม่ไหวแล้ว ถ้าหยุดหายใจตายไปเสียได้ เราคงสิ้นเคราะห์ สิ้นโศกเสียที แต่อีกใจก็นึกถึงว่า ถ้าตอนเข้าคุณพยาบาลขึ้นมาถึง แล้วพบว่าเตียงเขา ว่า งไป ท่านจะเสียใจแค่ไหน จะไปโทษว่าตัวเองทำ อะไรบกพร่องหรือ คนไข้จึงตายไปเสียเมื่อคืนนี้ อย่า กระนั้นเลย เราหายใจต่อไปก่อนเถอะ
อย่างน้อยที่สุด เข้าเจอหน้ากันได้รํ่าลากัน ได้ บอกกับท่านว่า คุณทำหน้าที่ดีที่สุด แต่ว่าโรคของ ผมหนักหนาสาหัส ถ้าคืนนี้ผมรู้สึกว่า หายใจเข้าที หนึ่งก็เหมือนแบกกระสอบข้าวสารวิ่ง หายใจออกก็ แบกกระสอบข้าวสารวิ่ง ผมหายใจไม่ไหวแล้วหัน หยุดไป คุณไม่ต้องเสียใจนะ เหตุปัจจัยหันเป็นอย่าง นี้เอง
ครั้นเจอหนากนตอนเซา อาการกด จนลม ร่ำลากัน กลางวันอาการก็ดีขึ้น เพราะอะไร เพราะ จิตใจมีความเชื่อมั่นว่า ระหว่างที่คุณพยาบาลท่านนี้ อยู่ มีอะไรหนักหนาสาหัสเธอก็ช่วยเราได้เต็มที่ ใจที่สบายมีความเชื่อมั่นก็ไม่กังวล ไม่รู้สึกว่ามีอะไร หนักหนา อ้าว.. ท่านลงเวรไปอีกแล้ว ลืม ลืมลา กันว่า คืนนี้เกิดหนักหนาสาหัสนี่ ผมขอลานะ ไม่ หายใจต่อนะครั้นกลางคืนมันก็มีอาการหนักขึ้นมาอีก ใจ ก็คิดอย่างนี้.. ถ้าเราตีตัวไปก่อนไข้ ไม่พยายามจน ถึงที่สุด แล้วตายไป ท่านก็จะเสียอกเสียใจ มันไม่ สมควร ในเมื่อท่านก็แสนจะตีกับเราใจที่นึกอย่างนี้ ทำให้เขาเกิดกำลัง ไม่ว่าจะ หนักหนาสาหัสแค่ไหน ก็ขอเจนสุดสตีกำลังความ สามารถ เขาเลยผ่านวิกฤติมาจนกระทั่งอาการดีขึ้น ตีขึ้น แล้วก็หายออกจากโรงพยาบาลไปได้
พลังใจเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะ กับคนไข้ อย่างพวกคุณอยู่ตามชายแดน แล้วมีคน ไข้อุบัติเหตุ คนไข้หนักหนาสาหัส ถ้านึกถึงอุทาหรณ์ ที่ดิฉันเล่า แทนที่จะไปคิดว่า ถึงช่วยก็เหนื่อยแรง
เปล่าให้เราคิดเข้าไว้ว่า ตราบเท่าที่เขายังมีลมหายใจอยู่ ความหวังมีด้วยกันทั้งนั้น
ใครจะไปรู้ พลังใจของเราที่เอื้ออาทรเขา มุ่ง หวังตั้งใจที่จะช่วยเขา เต็มสติก็าลังความสามารถ ก็อาจจะไปดึงดูดใจเขาทำนองเดียวกับที่คุณพยาบาลท่านนี้มีผลต่อคนไข้โคม่า ช่วยให้เขาผ่าน พ้นวินาทีวิกฤติ มีกำลังหายใจอยู่ต่อไปทุกชีวิต ถึงเขาเป็นคนธรรมดาสามัญ แลดู ไม่มีคุณต่าอะไร แต่เขาก็มีคุณค่ากับครอบครัวของ เขา กับคนที่รักเขาจะเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีภรรยาหรือลูก มันมีความหมายทั้งนั้นเราอย่าไปคิดว่า ชีวิตนี้มีค่า ชีวิตนั้นไม่มีค่า ขึ้นซื่อว่า ชีวิต แล้ว ด้วยตัวของมัน มันมีค่าสำหรับ คนใกล้ชิดทั้งนั้น
ถ้าใจเห็นอย่างนี้ เวลามีอะไรเกิดขึ้น เราจะ ได้ทำเต็มที่ ที่ทำไปเต็มที่นี้ ก็ไม่ได้ทำเพราะหวัง
ผลพระพุทธองค์ไม่เคยสอนว่า อะไรที่ทำไปแล้วเราจะกำหนดได้เหมือนตับวาง ถ้ากำหนดทุกอย่าง ได้เหมือนตับวาง ชีวิตก็คงไม่เป็นอย่างที่เป็นกัน ทุกวันนี้
เราเองมืดบอดว่า เรามาแต่ไหน เคยทำ เสบียงอะไร ทำมรดกอะไรให้ตัวเราเอาไว้ อะไรจะ เกิดขึ้นในชีวิตเรานี่ เราไม่รู้ เราจึงต้องเตรียมใจไว้ ว่า อะไรที่เกิดขึ้น ที่เป็นบ้ญหา ที่เราเผชิญอยู่แต่ ละเวลานาทีนี้ ไม่ใช่ใครแกล้งเรา ไม่ใช่เราไม่มีบุญ วาสนา ไม่ใช่ว่าทำไมดวงดาวถึงลิชิตบ้า ๆ บวม ๆ ให้เราอย่างนี้ แต่เป็นเพราะเมื่ออดีตเราไปทำเหตุที่ ไม่ดี ที่บิดๆ เบี้ยวๆ อย่างนี้เอาไว้เหมือนเราเอาเม็ดต้นไม้ที่ไม่มีประโยชน์หว่าน เอาไว้ ตันหนึ่งมีนงอกขึ้นมา เราถึหงุดหงิดว่า ใคร มาแกล้งเรา เอาต้นอะไรมาขึ้นรกที่เราถ้าเราฝึกให้เรามีสติ ตามระลึกรู้ทีศทางของ การไปการมา การกระทำคำพูดความคิดของเรา เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น อ๋อ.. ไอ้นี่ที่เราทำเอาไว้เมื่อวานนี้ น่ะ ที่เราทำเอาไว้เมื่อปีก่อนน่ะ ใจจะเห็นเป็นเหตุ เป็นผล แล้วยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะลงใจเชื่อว่า อะไร อะไร อะไร ที่เกิดกับเราแต่ละเวลานาทีนี้ ไม่ ใช่ใครมาลิชิตให้ แต่เป็นสิ่งที่เราทำเอาไว้ให้ตัวของ เราเอง เม็ดของการกระทำ ของคำพูด ของความ คิด กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของเรานั่นเอง งอกเป็นต้นขึ้นมา แล้วผลิดอกออกผลให้เราเสวย
เห็นอย่างนี้ ใจจะได้มุ่งมั่นกับทิศทางให้ดีขึ้น ใจคนเรามีผลต่อชีวิต ให้เกิดพลังสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างเนี้อเยื่อ สร้างอะไร อะไร ขึ้นมาชดเชยส่วนที่ สึกหรอจากโรคช่วงหนึ่ง ที่เมืองนอกพยายามแก้ปัญหาการ ติดเชื้อ หลังจากแก้ไขด้วยวิธีต่างๆ แล้ว กิสรุปว่า สาเหตุหนึ่งมาจากตัวบุคลากร หมอ พยาบาลเองนี่ แหละ เวลาไปลูคนไข้ห้องไอซียู คนไข้ที่ภูมีคุ้มกัน ตํ่า ต้องใส่เสื้อคลุม ล้างมือทุกครั้ง เรากิขึ้เกียจ.. คน นี้ไม่ได้ติดเชื้อนึ่นาืเพราะฉะนั้น จากเตียงนี้เราก็ไปเตียงโน้นโดยไม่ล้างมือ ทำให้เชื้อจากรายนี้ไป ติดรายโน้นได้ตอนนั้นเริ่มมีเครื่องไฮเทคต่าง ๆ เป็นต้นว่า จะวัดความตันคนไข้ กิไม่ต้องใช้พยาบาลเอาเครื่อง วัดความตันพันที่แขน แล้วบีบลูกยางวัดเขาเอาเครื่อง monitor ไปติดเอาไว้ แล้วชื้นมาเป็นกราฟ ที่จอโทรทัศน์ในห้องพักพยาบาล จะวัดปรอท จะ ทำอะไร กิใช้เครื่องเหล่านี้แทน เขาเลยสร้างที่พักฟ้นคนไข้เป็นห้องกระจก ใส ไม่ใช้พยาบาลวัดปรอท จับชีพจร หรือทำอะไร อย่างนี้แล้ว คนไข้อยู่ในห้องที่ได้รับการฆ่าเชื้ออย่าง ดี ไม่มีใครเข้าไปช้องแวะ คนไข้มองเห็นช้างนอก ได้ ญาติมาเยี่ยมก็เข้าไปจนกระทั่งชีดกระจก เตียงก็ เลื่อนมา ทำให้สามารถเอามือเหมือนมาสัมผัสวัน เพียงแต่มีกระจก1ใสคั่นอยู่ เวลาจะพูดก็พูดผ่าน intercom ถึงวันได้อย่างสะดวกสบายผลปรากฏว่า คนไข้ไม่มีไข้ ไม่มีการติดเชื้อ แต่อาการที่จะตีขึ้น กลับเหมือนไม่มีผลถ้าเป็นมะเร็งหรือโรคเลือดเรื้อรัง ก็มืแต่ทรงแล้วทรุดลงไป  ทรงแล้วทรุดลงไป หรือคนไข้ผ่าตัด พอผ่าตัด เสร็จทุกอย่างดีหมด ถึงกำหนดตัดไหม ตัดไหมเสร็จ ให้กลับบ้าน กลับบ้านไปได้วันสองวัน แผลแยกบ้าง หรือมีโรคแทรกซ้อนกลับมา ซึ่งก็ไม่เข้าใจเลยเขากลับมาใช้วิธีเติม คือให้พยาบาลวัดปรอท วัดความตัน เช็ดเนื้อเช็ดตัว พูดคุยวัน ญาติเข้าไป เยี่ยมได้ ไม่ต้องมีกระจกสันขวางเอาไว้ ปรากฏว่า อาการดีชื้นอย่างรวดเร็วเมื่อสัมภาษณ์คนไข้เหส่านี้ เขาบอกว่า พอ ถูกส่งเข้าไปอยู่ในห้องไร้เชื้อ จิตใจก็ไประแวงว่า ตัว เองคงเป็นโรคร้ายแรง จนกระทั่งหมอกับพยาบาล ไม่กล้าบอกความจริง และโรคคงระบาดได้ จึงไม่ ยอมให้มีใครมาถูกเนื้อต้องตัวเขาเลย ลูกสามีภรรยา ก็เข้ามาไม่ได้ แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมใจของคนเราที่ปรุงคิดไปต่างๆ นานา แล้ว รู้สึกว่า เราไม่เป็นที่ปรารถนาของสังคม ก็เลยไม่รู้ ว่าจะอยู่ไปทำไม การมีชีวิตอยู่นี่เพราะเรารู้สึกว่าเรา รักผู้คนรอบข้าง เราเป็นที่รักของบุคคลเหล่านั้น เป็น ความรู้สึกร่วมกัน คือเราก็รักเขา เขาก็รักเรา เรา อยากให้เขาอยู่กับเรา เขาก็อยากให้เราอยู่กับเขาเมื่อมีความรู้สึกผูกพันยึดเหนี่ยวกันอยู่อย่าง นี้ เรามีคุณค่า มันก็ทำให้เราอยากอยู่ต่อไป ความ อยากที่จะอยู่ต่อไปนี้ มีผลกระตุ้นระบบภูมิคุมกัน มี ผลให้ร่างกายดูดซึมอาหารเข้าไปสร้างเป็นเนื้อเยื่อ เป็นกำสังชื้นมาทดแทนส่วนที่เป็นโรคแล้วทรุดโทรม ไปเมื่อเป็นอย่างนี้ ยาหรืออะไรที่ให้เข้าไป ก็ เหมือนมีฤทธิ์วิเศษ ได้เข้าไปปุ๊บ อาการดีชื้นมาทัน ตาเห็น แต่จริงๆ มันไม่ใช่ยาอย่างเดียว มันมาจากนํ้าใจ
สมัยที่ดีฉันยังเป็นนักเรียนแพทย์ เรามียา ตำรับพิเศษอันหนึ่ง ใช้ชื่อย่อว่า TLC คือ Tender Loving care ตำราบอก ไม่ว่าคนไข้จะได้ยาอะไร อย่าลืมเติม TLC ไปด้วย คือให้จิตใจของเราอ่อนโยน รักใคร่เอื้อเฟ้ออาทรต่อคนไข้ เขาจะได้อบอุ่นใจว่า พยาบาลสนใจใส่ใจอาการของเขา ทำให้มีกำลังใจ ที่จะฟ้นตัวขึ้นมา เมื่อระลึกนึกอย่างนี้ งานพยาบาล ของเราก็จะมีคุณค่าเติมเมีดเติมหน่วยมีคำกล่าวไว้ว่า โรคบางโรค รักษาก็หายไม่ รักษาก็หาย เพราะภูมิคุ้มกันของคนเรา ปรับสภาพ ร่างกายให้หายเป็นปกติดีขึ้นมาเองได้ โรคบางโรค รักษาก็ตายไม่รักษาก็ตาย เพราะฉะนั้น ก็เหลือโรค อีกบางโรคเท่านั้น ที่ถ้าไม่รักษาก็ตาย รักษาจึงจะ หาย ส่วนนึดเดียวเท่านั้น ที่ยาไปมีผลแต่ไม่ว่าจะเป็นโรคชนึดไหนก็ตาม ถ้าเราเอา ใจของเราไปรักใคร่อ่อนโยนกับเขา ดูแลเอื้ออาทรให้ เขาชื่นอกชื่นใจ ถึงเขาจะหายหรือจะตาย จิตใจเขา มีความสุข รับสภาวะนั้นด้วยความเติมใจ จิตใจที่ถึงจะตายก็ตายอย่างเป็นสุข ทำให้เราปลอดภัยจิตใจคนบางคนตายไปด้วยความรู้สึกว่า.. โธ่ เอ๊ย.. รู้อย่างนี้ ฉันไม่มาเจอะเจอพยาบาลพวกนี้ หมอพวกนี้หรอก ถ้าไปเจอคนอื่นฉันคงรอด หรือ ญาติเขารู้สึกอย่างนี้ เราจะเป็นอย่างไร
ถึงความเป็นจริงเราทำดีที่สุด คนไข้มีเหตุว่า จะต้องตายก็จริง เขาก็จองเวรกับเรา บอกลูกบอก หลานว่า ..นี่นะ ไอ้คนนี้นะ ตระกูลนี้นะ อย่าให้ เหยียบเข้ามาเป็นอันขาด ห้ามต้อนรับ..หรือดีไม่ดี.. มีทางที่จะทำให้ทุกข์เดือดร้อนยังไง ให้ทำทุกรูป แบบ เราก็.. อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องให้คนมาผูกเวร โดยเปล่าประโยชน์ ทำให้ชีวิตทุกข์เดือดร้อน เพราะ ฉะนั้น อย่าทำใจคนเรายากที่จะหยั่งถึง เรารู้ไม่ไต้ ทำนอง ทำคุณบูชาโทษ เราว่าเราทำดีกับเขา แต่ใจเขาไป แปลอีกอย่างหนึ่ง เหมือนนิทาน ลูกหมีกับลูกปลา เป็นเพื่อนกัน ลูกหมีเป็นสัตว์เลือดอุ่น แม่สอนเอา ไว้ว่า หนาวฃี้นมานี่ ลูกไปหากิ่งไม้แห้งๆ มาก่อไฟ ผิง ลูกจะได้สบาย อยู่ได้
วันหนึ่งแม่ออกไปหากิน ลูกหมีหนาวจนจะ แข็งตาย นึกได้ว่า แม่บอกให้ก่อไฟผง มโนก็จัดแจง หากิ่งไม้แห้งๆ มาก่อไฟ ผิงแล้วรู้สึกสบายขึ้น ก็ไม่ หนาวกระไรนักมันชักสนุก ขยับไปตรงโน้นตรงนี้ มองโน่น มองนี่ อ้าว..ลูกปลาเพื่อนเราแช่อยู่ในนํ้า อยู่กับโขด หินตื้นๆ นอนนึ่งไม่กระดุกกระดิกเลย น่ากลัวหนาว จวนจะแข็งตายอยู่แล้ว มันก็คิดประสาหมี เมื่อกี้เรา อยู่บนบก ยังหนาวจนเข้าไปถึงกระดูกแน่ะ แล้วนี่ ลูกปลาแช่อยู่ในนํ้าอีก มันจะหนาวเข้าไล้แค่ไหนแม่สอนลูกหมีเอาไว้ว่า มีอะไรอย่าหวงแหน เห็นแก่ตว เอาไว้เป็นของเราแต่คนเดียว คนเราต้อง เอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ มีของดีอะไรก็ต้องแบ่งปันให้เพื่อน ลูกหมีเป็นเด็กดี แม่ว่าอย่างนั้นก็จัดแจงไปหากิ่งไม้ แห้ง ๆ มาทำให้กองไฟยาวขึ้น แล้วไปช้อนเอาลูก ปลาขึ้นมาผิงไฟด้วยกันในความรู้สึกของลูกหมี มันภูมิใจลัวเองว่า วันนี้แม่ต้องสรรเสริญว่าเราเป็นเด็กดี แม่ไม่อยู่ก็ เชื่อฟังแม่ ไม่ไต้ทำดีแต่ต่อหน้า ลูกปลาก็คงจะรัก เรา เพราะเรามาช่วยให้ไต้ผิงไฟอุ่นขึ้น
ลูกหมีไม่รู้ว่าลูกปลาขึ้นจากนํ้าไม่ได้ ไม่ว่าจะ หนาวจนผิวนํ้าข้างบนกลายเป็นนํ้าแข็งก็ตาม ปลาก็ ยังอยู่ในนํ้าได้ เพราะนํ้าข้างใต้จะไม่มีวันแข็งตัว ไม่ อย่างนั้นสัตว์นํ้าก็ตายหมดลูกปลาก็ตกใจ นี่เราไปทำอะไรให้หมีเพื่อน เราโกรธ จนกระทั่งผูกใจเจ็บ พอเราเผลอ หมีถึงจะ เอาเรามาปีงกินอย่างนี้เราก็จะมีเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน เราตั้งใจ ดูแลเขาอย่างดีเต็มที่ แต่เขากลับคิดไปว่า เราจะเอา เขาไปป็งกินแท้ๆ เลย เขาก็จองเวรเราบางทีเราเหนื่อยจากการดูแลคนไข้อย่างดี แต่ญาติอยากให้เรามาพูดเล่าอาการคนไข้ให้ฟัง เรา ก็มีคนไข้หนักคนโน้นคนนี้ ก็บอกเดี๋ยวก่อน เดี๋ยว ก่อน เขาเลยไปคิดว่าเราวังเกียจ เห็นว่าเขายากจน เลยไม่ดูแลเท่ารายโน้น ตกลงเขาก็จองเวรกับเรา เข้าไปแล้ว ..นี่ถ้าไปที่อื่น ญาติเรารอดแน่ๆ มา เจอพยาบาลอย่างนี้หมออย่างนี้เข้าเลยทำให้ญาติเรา ตาย มันก็เลยเหมือนลูกหมีกับลูกปลาเรารู้ธรรมชาติของใจแล้วว่า มันคิดไปไม่มี ฝังมีฝา แล้วยึดผิดเห็นผิดไปตามแต่ใจจะคิดไปได้
เราก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ อย่าให้เกิดเป็นหนี้เป็นสิน ขึ้นเป็นอันขาด หรืออย่าให้กิริยาวาจาของคนไข้มา ทำให้เราเลี้ยวผิดทางไปเหมือนสมัยพุทธกาล มืพระภิกษุองค์หนึ่งซื่อ พระจักขุบาล พอเข้าพรรษาพระจักขุบาลมืความ เพียรสูง อยากภาวนาให้ดี เลยตั้งจิตอธิษฐานว่า ตลอดพรรษานี้ 3 เดือน เราจะอยู่แต่ในอิริยาบถยืน เดิน หรือนั่ง ไม่เอาหลังนาบลงไปกับพื้นนอนเป็น อันขาด จะเร่งความเพียร อธิษฐานแล้วเกิดตาเป็น แผลขึ้นมาโยมอุปัฏฐากไปพาหมอมืซื่อเสียงมาตรวจดู อาการ แล้วทำยาให้ขวดหนึ่ง บอกว่า ถ้าพระจักชุบาลหยอดตามที่สั่ง หมดยาขวดนี้ ตาจะหายเป็น ปกติหมอบอกว่าเวลาหยอดตา ต้องลงนอนแล้วหยอด หยอดเสรืจก็นอนนิ่งๆ กลอกตาไปมา ให้ นํ้ายากระจายไปทั่วตา ลัก 10 นาทีแล้วจึงลุกขึ้นทำ อะไรตามปกติไต้พระจักขุบาลก็หนักใจ เพราะเพิ่งอธิษฐานตั้ง นั่นเอาไว้ว่า จะไม่นอนตลอดพรรษานี้ แล้วอยู่ดีๆ จะห่วงหวงตาจนกระทั่งทิ้งคำสัตย์เชียวหรือ ในที่สุด พระจักขุบาลก็เลือกคำสัตย์ไม่ได้ เราเป็นพระ เป็นลูกผู้ชาย เป็นคนจริง เมื่อตั้งคำสัตย์แล้วต้อง ยอมตาย ตาจะบอดก็ยอม ดีกว่าเสียสัจจะ..
พระจักขุบาลหยอดตาตามที่โยมอุปัฏฐากมี จิตเมตตา แต่นั่งหงายคอขึ้นแล้วหยอด ยาก็ออก ฤทธิ์ใม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย พอยาหมดขวดโยม อุปัฏฐากพาหมอมาตรวจ ก็ร้ว่าพระจักขุบาลดื้อดึง ไม่ทำตามคำสั่ง ความจริงหมอจะทำยาให้อีกขวด หนึ่งก็ได้ แต่หมอกสัวเสียชื่อ เพราะปกติหยอดยา หนึ่งขวดจะหายขาด ผู้คนกำลังนิยมเลื่อมใส ถ้าทำ ยาอีกขวดหนึ่งพระจักขุบาลจึงหาย คนจะรํ่าลือว่า ฝืมือหมอไม่แน่เสียแล้ว ยาขวดเดียวไม่หายอย่าง ปากว่าหมอเลยปฏิเสธ ไม่ยอมรักษาพระจักขุบาล ต่อไป ในที่สุดตาพระจักขุบาลก็บอด พร้อมๆ กับที่ ตาทำนบอด ผลของความตั้งใจเพียรภาวนาก็ชำระ ใจท่านจนบรรลุอรหัตตผล พวกชาวบ้านสงสัย ไป ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระจักขุบาลเป็นคนดี ปฏิษ้ติ ดี จนกระนั่งใจบริสุทธเป็นพระอรหันต์ แล้วทำไม ถึงต้องตาบอดพระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า เป็นคนละเรื่อง กัน เรื่องของใจที่เป็น พลังรู้ ก็เป็นเรื่องของใจ เรื่อง ของกายนั้นเป็นเหมือนกับเศษหนี้ กองหนี้ ก้อนหนี้ ก็ต้องชดใช้กันไปตามอดีตเหตุที่มีมาในชาติภพหนึ่ง พระจักขุบาลเป็นหมอตาที่ มีชื่อเสียงมาก ปรุงยาให้ไปหยอดแล้ว คนไข้จะต้อง ตากลับใส มองเห็นชัดเจนดีทั้งนั้นพระจักขุบาลบอกไว้ว่า คนไข้คนไหนเอายาไปหยอด ถ้าไม่หาย ท่านให้ฟรีไม่คิดค่ารักษา เมื่อหายแล้วจึงคิดราคาค่า รักษากันมีเศรษฐินีแก่คนหนึ่ง เป็นคนขี้เหนียว ตา ฟางเริ่มจะบอดแล้ว ลูกหลานพาไปหาพระจักขุบาล พระจักขุบาลก็ทำยาให้ เศรษฐินีเอาไปหยอดแล้ว ตาก็ค่อยๆ ใสขึ้น จนกระทั้งเฟ้นเป็นปกติ แต่เพราะ แกขี้โลภรู้มากเอาเปรียบ เมื่อกลับไปให้พระจักชุบาลตรวจดู พอพระจักขุบาลถามว่าเป็นยังไง แก กลับบอกว่า ตายังฟางอยู่ ไม่ดีพระจักขุบาลก็แค้นใจ เพราะตรวจรู้ว่ายา ของตัวออกฤทธิ้ดีแล้ว แต่เศรษเนีจะโกง ไม่ยอม เสียค่ารักษา พระจักขุบาลเลยบันดาลโทสะ.. เวลาที่เราไม่มีภูมิคุ้มกัน เมื่อไปเจอเอาคนร้ายเข้า เราก็ เลยร้ายตอบ.. พระจักขุบาลยํ้าถาม ..แน่นะ ตาไม่ดี ขึ้น ยังฟางเหมือนเดิม.. เศรษเนีก็ยืนยัน ใช่ ยัง ฟางเหมือนเดิมท่านเลยไปปรุงยาขึ้นมาอีกขนานหนึ่ง ให้ เศรษฐีนีเอากลับไปหยอด เมื่อหยอดแล้ว ตาที่ใสดี ก็ค่อยๆ ฝ่าฟางลง ฝ่าฟางลง จนในที่สุดก็ตาบอด จริงๆด้วยบุพกรรมอันนี้ พระพุทธเจ้าตรัส เราทำเหตุอย่างไหนไว้ ผลอย่างนั้นก็ตามเรามาเป็นเงา ตามตัว พระจักขุบาลเลยรับผลในชาติภพนี้ทำไห้ ตาบอดพระพุทธเจ้าทรงเน้นว่า อะไรที่เราทำ ไม่ได้ ทำไปเพื่อให้คนเขาชื่นซมกับเรา หรือทำไปเพื่อให้ โลกนี้เห้นคุณค่า แค่ให้เราทำ สุดสติกำลัง ความ สามารถ ทิศทางถูกต้อง เป็นปัญญาเห็นชอบ เพื่อ ปกป้องตัวของเราเอาไว้ ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิด ขึ้น เราจะตกไปที่ถิ่นไหนก็ตาม จะได้คุ้มครองตัวให้ ปลอดภัย จากกรรมเวรที่จะตามมาทำให้เราทุกข์ เดือดร้อน ถ้าเราไม่ก่อหนี้ มีแต่เสบียง มีแต่คุณงาม ความดี ถึงจะตกไปที่ไหน เราก็ดุ้มครองตัวรอด
ปลอดภัย ใจผาสุกร่มเย็นแต่ถ้าเราทำเพราะแค้นเขา หาโอกาสแกล้ง เขา โลภ คิดยอกย้อนช่อนเงื่อน เอาสิ่งที่เป็นของ เขามาเป็นประโยชน์เรา ใจที่เป็นธรรมชาติธาตุรู้ รู้ ผิดชอบชั่วดี เป็นเหมือนกับยมบาลคอยจดบัญชีเอา ไว้ แล้วเผลอๆ มันก็ทำให้เราสะดุ้งขึ้นมาว่า เอ๊ะ.. ใครจะรู้ใครจะเห็น จะมาตามล้างแค้นเราหรือเปล่า ที่เคยกินอิ่มนอนหลับสบายๆ เราก็เริ่ม
ประสาท นอนไม่หลับ วิตกกังวล เพราะใจสิ่งมีชีวิต ส่วนที่อยู่ลึก เป็นใจไร้สำนึกนั้น รู้ เห็น จดจำ ทุก อย่างของตัวเองไว้ เหมือนกับบันทึกของยมบาลส่วนจิตสำนึกที่คิดได้ตื้นๆ ตามปัญญาที่ไม่รู้ แจ้งแทงทะลุตลอด รู้มากเห็นแก่ตัว เป็นไปตาม ผัสสะตามความโกรธอย่างพระจักขุบาล ทั้งๆ ที่ตัว เองเป็นหมอดีวิเศษ แต่คนไข้อยากมาลูบคม เสียศักดิ์ศรี เพราะฉะนั้น ต้องสั่งสอนมัน แต่แทนที่สั่ง สอนแล้วจะได้ดีมีสุข เรากลับมีหนี้ติดตามตัวมา ทำ ให้วันหนึ่งเราเองต้องตาบอด จะได้รู้ว่า การตาบอด
ทุกข์เดือดร้อนอย่างไรบ้างพระจักขุบาลโชคดี พากเพียรทำจนกระทั่งใจ สิ้นเงาสิ้นข้อสงสัยแล้ว จึงยอมรับว่า เมื่อเราไปทำ เขาไว้ เราก็ต้องใช้หนี้ ท่านก็ไม่ทุกข์เดือดร้อน ถ้า เป็นเรา..เรา ตาบอดขึ้นมา เราคงครํ่าครวญว่า โอ๊ย.. ไปทำกรรมอะไร ทำไมถึงจะต้องมาตาบอด ใจก็ร้อน รุ่มทุกข์เดือดร้อนการมาศึกษาให้รู้ธัมมะ ก็เพื่อมีบ้ญญาเห็น ชอบ ที่เป็นเหมือนแสงสว่างส่องทิศทาง หรือเป็น เหมือนเข็มทิศ ที่ช่วยให้ไม่ว่าเราจะไปหลงอยู่ในป่า ดงที่ไหนก็ตาม พอเอาเข็มทิศมาส่อง ก็รู้ว่าจะตีทิศ ไปทางไหน ถึงจะหาทางออกรอดปลอดภัยไปได้การจะมีเข็มทิศดี มืบ้ญญาเป็นแสงส่องทาง ไต้ ก็ต้องจึเกจากทุกเวลานาทีที่ลืมตาตื่นอยู่ในชีวิต ประจำวัน มือะไรมากระทบใจ เราไม่ไต้อย่างใจ ก็ ถามตัวเองว่า ถ้าไม่ไต้อย่างใจ เหมือนพระจักขุบาล ไม่ได้อย่างใจกับเศรษฐีนีขี้เหนียว แล้วเอาตามความ แค้นไปทำให้เขาตาบอด เราจะมืความสุขไหมใจก็ไม่มีความสุข อารมณ์ดีขึ้นมาก็จะคิดว่า เราทำเกินเหตุไปนะ ทำไมถึงต้องสั่งสอนดุร้ายถึงแค่ นี้เล่า ใจเกิดขี้สนิม ทุกข์เดือดร้อนถ้าไม่มีทิศทาง เราไม่ธีเกใจไว้อย่างนี้ มีอะไร มากระทบ ถ้าเรื่องดีเราก็ปลิวเหมือนว่าวติดลมไป ดีอกดีใจ ไมมภูมีคุ้มก้นตัวเอง มีอะไรมากระทบใหม่ เราหงุดหงิดไม่ได้อย่างใจ ใจกิฟุบแฟบจนกระทั่งจม ดินไปใจของเราฟุ้งขี้นฟุงลง ดีใจกิดีใจจนกระทั่งไม่ มีสติ เสียใจกิเสียใจจนคิดไม่ออกว่าจะแก้ไขอย่างไร บ้าง ใจนี้กิเป็นใจที่วูบๆ วาบๆ ใครอยู่ใกล้ก็กลัว เพราะไม่รู้อารมณ์ของเราจะออกหัวหรือออกก้อย ถ้ากำลังอารมณ์ดี เขามาพูดอะไรกิเป็นดีไปทั่งนั้น แต่ถ้ากำลังอารมณ์เสีย ทั่งๆ ที่เขามาพูดเหมือนเมื่อ คราวก่อนที่เราชมว่าใช้ได้ เรากิโกรธเขาเป็นวรรค เป็นเวรคนที่อารมณ์วูบขึ้นวาบลงอย่างนี้ ใครอยู่ใกล้ ชิดกิไม่ชอบทั่งนั้น นึกถึงเรามีเจ้านายที่.. เอ.. วัน นี้จะอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสียนะ ไม่มีเหตุจำเป็น เราไม่อยากเช้าใกล้เลยทำอย่างไรเราถึงจะรู้วิธีประคองใจ ไม่ว่าเรา จะเป็นอะไร เราพอใจ เราเป็นสุขกับมันมีเรื่องเล่าถึงเสมียนจัตวาคนหนึ่ง ในสมัยที่ จอมพล ป. ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี เสมียนคนนี้พูด กับใครๆ ว่า เขาโชคดีเหลือเกินที่เป็นเสมียนจัตวา เขาสงสารท่านจอมพลที่ไม่โชคดีอย่างเขา เสียงไป เข้าหูท่านจอมพลว่า เสมียนนักการเดินหนังสือหน้า ห้องบังอาจคุยว่าตัวเขาโชคดี แล้วสงสารท่านจอมพล รันหนึ่ง นักการคนนี้เอาหนังสือมาล่ง ท่าน จอมพลกิถามว่า เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนบอกว่าเจ้าโชคดี แล้วสงสารฉัน
นักการก็รับ....ใช่ครับ จอมพลซักต่อ เจ้ามีเหตุผลอะไร ไหนลอง อธิบายให้ฟังซิ
นักการอธิบาย ท่านคิดดูสิครับ ท่านเป็นจอม พล ถึงทำดีแค่ไหน กิไม่มียศเหนือจอมพลขึ้นไปอีก แล้ว ตกลงท่านทำเท่าไหร่ๆ.. เซิง.. เพราะติด เพดานแล้ว ท่านกิยังเป็นนายกฯ อีก แล้วจะเลื่อน ตำแหน่งไปเป็นอะไรให้ใหญ่กว่านายกฯ ได้ ผมเป็น ท่าน ผมเซิงตายเลย ไม่รู้จะทำไปท่าไม ทำไปก็แค่ นั้น
ผมทำไมจะไม่โชคดี ผมเพิ่งเป็นเสมียนจัตวา ทำแล้วผมก็ได้เป็นเสมียนตรี เสมียนโท เสมียนเอก เพราะฉะนั้น ผมมีความหวังทุกวันเลย ว่าทำแล้วผม มีทางก้าวหน้า แล้วท่านยังไม่ว่าผมโชคดีกว่าท่าน อีกรึขอรับเขาเป็นคนคิดดีดีดชอบ รู้จักประคองใจว่า ตู เป็นเสมียนจัตวา หนทางนี้ยังกว้างขวางที่จะไต่เด้า ขึ้นไป ขณะที่คนโดยมากกลับคิดว่า ทำไมตูด้องเกิด มาเป็นเสมียนจัตวา มาเป็นนักการ เดินหนังสือ ดักดาน ทำบุญอะไรตูถึงจะได้เป็นจอมพลกับเขาบ้างคนเราโดยมากใจนักคิดทำนองนี้ แทนที่จะมี มุทิตา ชื่นซมกับความมีโชคของคนอื่น เราก็ไป เบียดเบียนตัวเอง.. ไม่ยุติธรรม ทำไมไม่ให้ตูเป็น อย่างเขาบ้าง
เราอยากเป็นอย่างเขา แต่ไม่คิดประกอบเหตุ ที่ดีอย่างนั้น เราต้องรู้วิธีคิด มีแยบคายอุบายที่จะประคองให้ใจของเรามีกำลัง แล้วอิ่มเดิมพอใจกับ สิ่งที่เรามีเราเป็น จะได้ขวนขวายก่อร่างสร้างตัว ของเราขึ้นมา วันหนึ่งเราก็ไปถึงจุดที่เราเคยเห็นคน อื่นเขาเป็นได้ เพราะ ไม่มีอะไรยากเกินความเพียร

พยายามของมนุษย์ ไปได้พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ใจนี้มีศักยภาพ ใจ เป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ เมื่อเห็นอย่างนี้ ถ้ากำลังหงุดหงิด หดหู่ท้อถอยกับ ชีวิต เราจะได้นั่งลงแล้วศึกษาให้เห็นสาเหตุว่า ตรง ไหนที่เป็นพิษ เราจะได้แก้ไขเสีย เอาปัญญาเห็น
ชอบไปชะล้าง ให้เกิดความคิดถูกความคิดชอบ แล้ว ทำให้ใจของเรามีความภูมิใจว่า เราโชคดีนะที่เป็นเรา ครั้งหนึ่ง มีคุณหมอดมยาที่เป็นผู้ดูแลดมยา เศรษฐีภูเก็ต เพื่อผ่าตัด จนท่านหายเรียบร้อยดีแล้ว ท่านตอบแทนบุญคุณของคุณหมอ ด้วยการเชิญไป พกผ่อนที่ภูเก็ต คุณหมอเคยคิดว่า ดูท่างานมา
เหนื่อยยาก ไม่เห็นจะรํ่าจะรวย เศรษฐีพวกนี้ท่าไม จึงรวยล้นฟ้า พอท่านเศรษฐีเชิญ คุณหมอว่า เออ.. ดี เลยลาพักร้อน ไปอยู่อย่างเศรษฐีลักอาทิตย์หนึ่ง ไปได้ 3 วันเท่านั้น คุณหมอบินกลับมาแล้ว พวกลูกศิษย์ก็ซักถามว่า ท่าไมอาจารย์ถึงรีบกลับล่ะ อาจารย์อรรถาธิบาย ฉันเลิกอิจฉาเศรษฐี พวกนี้แล้ว.. ท่าไมน่ะหรือ แต่ก่อนนั้นเคยคิดว่า ถ้า รวยอย่างพวกนี้ คงมีความสุขระเบิดเลย ที่ไหน
ได้ล่ะ จะไปไหนที ทั้งๆ ที่รถก็หรูหรายี่ห้อแพงลิบลิ่ว แต่ต้องมีมือปืนเอาปืนพาดตักนั่งไปด้วย เพราะต้อง คุ้มกัน ไม่รู้ว่าจะมีใครมาแอบฆ่าหรือทำร้ายเมื่อไร อาจารย์เลยหมดอารมณ์อยากเที่ยว เพราะ ไม่ว่าจะไปไหน ต้องมีมือปืนจังก้านั่งขนาบไปด้วย ทั้งฝังตรงกันข้ามอีกต่างหากท่านว่า ถ้ามันยิงเปรี้ยงแล้วเราตายไปเลย ท่านไม่ว่า คนเราเกิดมาก็ ต้องตายทั้งนั้น แต่กลัวมือมันไม่แม่น ตายไม่ตาย แต่กลายเป็นพรหมลูกฟัก ขยับเขยื้อนไปมาไม่ไต้ ทำอะไรไม่ไต้ แล้วก็ไม่รู้ว่าใครจะเอื้อเอ็นดูเรา ดูแล จนกระทั้งเราตาย หรือจะถูกลืมถูกทิ้งให้นอนจม อุจจาระปัสสาวะ ช่วยตัวเองไม่ไต้
ท่านเลยไม่เอาแล้ว ไม่เสี่ยง 3 วันพอแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็เห็นว่า การเป็นตัวท่านนี่เป็น ความสบายใจความพอใจแล้ว ถ้าใจของใครเห็นตรง จุดนี้ไต้ก็ดี มันจะทำให้เรามีกำลังใจ ใจที่จะไปมอง ข้างนอก เปรียบเทียบกับคนโน้นคนนี้ แล้วไปอิจฉา ตาร้อนเขา เอามาทับถมตัวเองให้ทุกข์เดือดร้อน.. ทำไมฉันถึงไม่เป็นอย่างเขาบ้างนะ.. ก็หมดไปเมื่อใจทุกข์แล้ว ทิศทางก็ผิด แทนที่เราจะคิด ว่า การที่เขามี เขาทำอย่างไรเขาถึงมี เราไม่ทันได้ คิดว่าเขาทำอย่างไรเขาถึงได้มี เราคิดแต่เพียงว่า เราเหนื่อยยาก เราทำดี แล้วทำไมเราถึงไม่มีเราไม่ได้คิดประกอบที่เหตุ แก้ไขที่เหตุธัมมะสอนเราว่า ถ้าอยากได้อะไร เราอยาก กินมะม่วง เราก็ไปเลือกเม็ดพันธุมะม่วงที่เราชอบ เราอยากเราอยากกินมะม่วงนํ้าดอกไม้ ก็ไปหาเม็ดพันธุนํ้าดอกไม้อย่างดี จะเอาพันธุที่ปีหนึ่งออก ลูกหนหนึ่ง หรือเอาอย่างทวายที่ออกลูกตลอดทั้งปี ก็ไปเลือกคัดมาให้เป็นที่ถูกใจเราจัดแจงหาป๋ยมา เตรียมที่ให้ดี เอาเม็ด นํ้าดอกไม้นั้นปลูกลงไป ธัมมะสอนให้ทำอย่างนี้ อยากได้อะไร ลงมือ ประกอบเหตุ ที่จะให้เกิดผล อย่างที่ต้องการ ถ้าลืมธัมมะ เราก็ไปวิธีลัดตามที่กิเลสทันหลอกทันจะหลอกว่า บ้านนั้นเขาปลูกนํ้าดอกไม้เอาไว้เราคอยเมื่อไรเขาเผลอเราไปขโมยเด็ดของเขามาเมื่อเป็นอย่างนั้น ถ้าโชคดีเราไปเด็ดมา เขา จับไม่ได้ เราก็ได้นํ้าดอกไม้กิน แต่.. ถึงเราได้กิน ใจก็ไม่มีความสุข เพราะคอยหวาดผวาว่า ใครจะรู้ ใครจะเห็นใครจะปากเบาไปบอกเจ้าของ เจ้าของจะ แค้น มาตีหัวเรา หรือเอาปืนมายิงเราหรือเปล่าเพราะประกอบเหตุไม่ตีเอาไว้ ทั้งๆ ที่ได้กิน นํ้าดอกไม้ แต่ก็กินไปด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย กังวลไปหมดมันก็เหมือนกับการดำเนินชีวิต เราอยากรวย เรารวยได้ เมื่อทำมาหากินด้วยสุจริต เงินเดือนไม่ พอ เราหาลำไพ่พิเศษที่สุจริตเป็นสัมมาอาชีพ ไม่ ใช่คิดรวยวิธีสัด หรือเป็นนักพนันเสี่ยงโชคเอามีอาจารย์ท่านหนึ่งพักร้อน พาครอบครัวไป เที่ยวปักษ์ใต้ เช้าวันหนึ่ง อาจารย์พาภรรยากับลูก เคินจะข้ามถนนไปอีกฝังหนึ่ง มีเด็กหนุ่มมาสะกิด.. พี่ครับ ช่วยถือซองนี้ไปให้เพื่อนผมที่ยืนอยู่ฝังโน้น หน่อยครับ ซองก็แบนๆ เล็กๆ ไอ้หนุ่มก็กำยำสี่าสัน ยังไงๆ เดินถือชองไปเองก็ไหว ระยะทางไม่ถึง 10 ก้าว เขายังกระซิบบอกอาจารย์อีกว่า ถ้าล่งให้เพื่อน ผมฝังโน้นแล้ว เขาจะให้ค่าบริการห้าพันบาทครับ เมื่อได้ฟังใจก็นึกสงสัยว่า ต้องเป็นของผิด กฎหมายถึงให้เราตั้งห้าพัน แต่อีกใจที่มีความโลภ ครอบครองอยู่ ทำให้เหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็นมี ตำรวจ ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มือก็ยื่นออกไปรับ โดยไม่ทันรู้ตัว ความโลภในใจเป็นแรงพากายขับ เคลื่อนไปแล้ว ทั้งที่แวบแรกก็มีทิศทางถูกต้อง รู้ แล้วว่ามันไม่ชอบมาพากล อาจจะผิดกฎหมายใจที่ไม่แน่วแน่เห็นทิศทางเที่ยงตรง มันแพ้รู้ ตัวเอง ตกลงมีอก็เอื้อมไปรับ เดินข้ามถนนใป ขณะ กำลังจะส่งให้เด็กฝังข้างโน้น ก็มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเข้ามาแสดงหมาย และจับมืออาจารย์ พร้อมกับซองนั้นเอาไว้ ทั้งเด็กฝังนี้ฝังโน้นหายเป็น อากาศธาตุไปหมดตำรวจแกะซองออกดู ก็เป็นผงขาวจริงๆ ของกลางหลักฐานอยู่ในมือ ตำรวจเลยจับไปใส่คุก ไว้เพื่อดำเนินคดี อาจารย์ก็โวยวายว่า คุณดำรวจ ดูสิ เด็กฝังนี้ต่างหากตัวการ ตำรวจก็ถาม ไหนล่ะ ครับ เด็กฝังนี้ฝังโน้น ไม่มีเลย มีแต่อาจารย์กับ ของแถม คือ ห่อผงขาวในมือ พิมพ์ลายนิ้วมือก็ลาย มืออาจารย์
มีใยอาจารย์จะปฏิเสธไม่รู้เรื่อง ภรรยาจะเป็น พยาน ตำรวจก็ไม่ฟังเสียง ใจที่ไม่มีทิศทางถูกต้อง ไมคดทำในสิ่งเหมาะ ควรเป็นสัมมาอาชีพ ทำไปตามความอยาก คือเวลา ทำจะมองแต่ด้านเดียว.. ใกล้นิดเดียวแค่นี้ ถนนก็ ว่างตลอดปลอดภัย ไม่เห็นมีอันตรายอะไรตรงไหน เลย เสี่ยงเถอะน่า..ใจของเราชอบพนันอยู่แล้ว.. เสี่ยงเถอะ ตั้ง ห้าพันแน่ะ จะไต้พาลูกพาเมียข้ามไปมาเลย์..มันเห็นแต่จะไต้อยู่ท่าเดียว แต่ไม่เห็นว่า เคราะห์หาม ยามซวยถูกจับไปเข้าคุก เอาไหมถ้าคิดทันคิดรอบ ถามจัวเองแล้วว่า ถ้าถูก จับเข้าคุกจะเอาไหม กิเลสอังยืนอัน เอาวะ อย่าง น้อยที่สุด เราอยากเข้าคุก เขาก็ไม่เอาเราเข้า ถ้า ซวยถูกเข้าคุก เราจะไปศึกษาชีวิตในคุกมาเขียน เป็นหนังสือให้จังระเบิดเลย จะไต้รวยภันทีนี้แหละ เพราะเป็นหนังสือขายดีติดอันดับถ้าคิดรอบอย่างนี้ ทำไปเลย จะทำอะไรก็ทำ ไปเลย เพราะเราคิดแล้วทั้งไต้ทั้งเสีย สดีรับรู้แล้ว ว่า ถึงเสียเราก็เสี่ยง จะไต้ไม่จับแค้นใจภายหสัง ถ้า คิดแต่เพียงว่าห้าพันสบายๆ โดยลืมคิดว่า ถ้าถูก ตำรวจจับจะเอาไหม ครั้นต้องเข้าคุกสติก็แตกใจเอาแต่ครํ่าครวญ.. ทีคนอื่นๆ ทำไมไม่ไป จับ ไอ้ตัวเหตุที่เอามาให้ ทำไมคุณตำรวจไม่ตาม จับให้ได้ แล้วมาจับแต่ผม ไม่ยุติธรรม.. ดีไม่ดีโดน ข้อหาเพิ่มอีกกระทง ต่อล้อต่อเถียงผู้รักษากฎหมาย เราก็ซวยไปเท่านั้นดิฉันเคยประสบมาแล้ว ไม่ใช่ผงขาวครั้งหนึ่งไปในถิ่นที่ไม่คุ้นเคยกับทางจราจร ก็แปลกใจ ว่า.. ทำไมรถคันหน้านี่ ทั้งๆ ที่ถนนข้างหน้าก็ว่าง ก็ยังเหลียวซ้ายแลขวา เหลียวซ้ายแลขวาอยู่นั้น กว่าจะตัดใจหักเลี้ยวขวาไป อีกคันหนึ่งก็ทำอย่าง นั้น ดิฉันมองก็ไม่เห็นป้ายห้ามเลี้ยวขวา จึงแล่น อย่างผ่าเผย เมื่อแน่ใจว่าถนนว่างแล้วก็ค่อยๆ เลี้ยว ออกไปปรากฏว่า คุณตำรวจจราจรโผล่มาชี้ให้ดิฉัน ดูได้กิ่งไม้ที่ห้อยลงมา ว่านั้นยังไงครับป้ายห้ามเลี้ยวขวาดิฉันประท้วง คุณคะ ทำไมคุณไม่กรุณาตัดกิ่งไม้ให้เห็นกระจะกระจะตาหน่อยล่ะคะ แล้ว ก่อนหน้าดิฉัน 2 คัน ทำไมคุณไม่จับเขาคุณตำรวจทำหน้าเคร่ง คุณจะเอาแค่ปรับฝ่าฝืนกฎจราจร หรือคุณจะเอาอีกกระทงหนึ่ง ต่อล้อ ต่อเถียงผู้รักษากฎหมายดิฉันมึน.. โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลย แต่เมื่อมา ศึกษาเรื่องของธัมมะแล้ว .. เราคงทำเหตุอะไรอย่าง นี้เอาไว้.. นี่โชคดีมีเทวดารักษา ทำชั่วก็ทำไม่ขึ้น จะได้เป็นคนดิ ไม่สร้างนิสัยเป็นพิษเป็นภัยกับตัวเอง กว่าจะติดอย่างนี้ได้ ดิฉันโกรธคุณจราจรคน นั้นไปตั้งนาน มีอย่างที่ไหนเห็นกันชัดๆ 2 ตันลอย นวลไปได้ แต่พอถึงดิฉันขู่เข็ญเอาสารพัด ถ้าไม่มี ธัมมะในใจมันเป็นอย่างนี้ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไร เราเกินเหตุเกินผล เราทำผิดกฎจริงๆ แต่เราเอาตัว ไปเปรียบว่า ทีคนก่อนทำไมโชคดีทำได้ แล้วเราก็ ไม่ยอมรับความจริงถ้ารู้ธัมมะ เข็มทิศของเราเที่ยงตรง เราจะ ขอบคุณคุณตำรวจ ที่ทำให้พอเราติดจะเป็นคนไม่ดี เข้าหน่อยหนึ่ง เทวดาก็รักษา ทำให้ทำชั่วไม่ขึ้น เรา จะได้ไม่ดิดนิสัยไม่ดี มาเป็นพิษเป็นภัยกับตัวเอง ถ้าใจยังไม่มึสติคอยคุ้มครอง ร้อยทั้งร้อยมันต้อง เกิดอารมณ์.. คราวนี้เป็นคราวของคฺณตำรวจ อย่า ให้มีคราวหน้านะ ตูจะระมัดระวังให้ดีแล้วฉิวออก ไปอย่าง 2 คันนั่นเลย..จริงๆ แล้วใครทุกข์เดือดร้อน เราเอง เรา ติดนิสัยว่า.. เออวะ รู้ว่ากฎ แต่ถ้ามีโอกาสขอให้ได้ ฝ่าฝืนมีกฎตรงไหนแล้วฝ่าฝึนได้ แสดงว่าเราแน่ เราเก่งจริง เราฝึกตัวเองในทางไม่ถูก แล้วก็ชื่นใจ ภูมิใจ แต่แท้ที่จริงเรากำลังทำร้ายตัวเราทุกวันนี้มันก็เพราะความเชื่อผิด ๆ อย่างนี้ ถนนในกรุงเทพฯ นี่ บางวันแทบจะประสาทเลย ยิ่ง ถ้าฝนพรำๆ เข้าหน่อยหนึ่ง วันหนึ่ง พยาบาลที่คิริราช บ้านอยู่ถนนบางนาตราด เกือบๆ ถึงบางนา ออกจากคิริราชสี่โมงกว่าๆ ไปถึงบ้านเอาตีสี่ ถึงแล้ว ไม่ ต้องทำอะไร รีบล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อชุด ใหม่ขึ้นรถกลับมาทำงานใหม่มันเป็นวันที่ทุกคนหงุดหงิดโกรธแค้น จนใน ที่สุดเดี๋ยวนี้เล่าแล้วกลายเป็นเรื่องขบขัน อีกราย หนึ่งโซคดี ออกจากประตูทางออกของที่ทำงาน กระติบๆ อยู่ชั่วโมงครึ่งเพิ่งถึงประตูทางเข้า ซึ่งถ้า เดินก็ 2  นาทีเท่านั้นเอง เขาก็เลยได้สติ เลี้ยวเข้า ประตูทางเข้าไปใหม่ เอารถไปจอดแล้วขึ้นไปโทร
ศัพท์ถึงที่บ้านว่า.. แม่ วันนี้ไม่กลัมบ้านละ พ่อจะ นอนที่ที่ทำงานนี้แหละ ถึงยุงกัดก็ช่างมันเถอะ
เขาคิดถูกเลยได้นอนเพราะเพื่อนที่กลับปรากฏว่าตี 2 บ้าง ตี 4 บ้างถึงถึงบ้าน ถ้าคนทุก คนคิดว่า อะไรที่เป็นกฎ เราแหกได้ ตูแน่ ตูเก่ง มัน ก็เลยเป็นอย่างนี้ อะไรต่อมิอะไรเลยยุ่งวุ่นวายไป หมด เพราะใจขาดความถูกต้อง ขาดธัมมะธัมมะเป็นเหมือนกรอบ ที่ทำให้ถึงคนจะมาก ก็จริง แต่ถ้าเดินตามไปแล้วจะสะดวก ปลอดภัย เป็นวิธีที่สิ้นเปลืองน้อยที่สุด แต่ถ้าเราไม่ร่วมมือ ไป คิดว่า ตูใหญ่ ตูมีกำลัง ตูแน่ เพราะฉะนั้น ตูจะทำ อย่างไรก็ต้องได้ดังใจ ทุกคนก็ใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนก็มืกำลังทั้งนั้น ตกลงเลยเหยียบเท้าเหยียบ ข้อต่อกัน วิวาทซกต่อยกันวินาศลันตะโรไปถ้าค่อยคิดค่อยทำไปอย่างมีเหตุผล ไตร่ตรอง ข้อดีข้อเสียตามไป ใจจะเห้นจริงตามตัวอย่างที่ยก มาเล่าให้ฟัง ธัมมะจะช่วยเป็นภูมิตุ้มกันในการดำเนิน ชีวิตของเราแต่ละวัน แต่ละวันเราไปเปลี่ยนโลกนี้ไม่ได้ เปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แต่เรา ปรับที่ใจ ของเรา ให้มิความสุขมีอารมณ์ขันกับสภาวะเหล่านี้ได้ เห็นตามเป็นจริงอย่างเรื่องสามีเพื่อน เลิกโกรธเกรี้ยวสาวใช้ที่ยาไปบนพื้นจน ต้องลงนํ้ามันใหม่
ถ้าเขาเกิดอารมณ์ขันพอที่จะเห็นว่า พื้นบ้าน เราประทับรอยเท้าสาวใช้ไว้ เหมือนอย่างกับที่ฮอลลีวูด ประทับรอยเท้าดารา ก็เก๋ไปอีกแบบหนึ่ง ไม่ ต้องเหนื่อยแรงขัดพื้นทำใหม่ คือ อะไรที่เกิดขึ้น ถ้า ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เรากิปรับที่ใจเรา เราอยากไต้ อย่างหนึ่ง แต่ไปไต้อีกอย่างหนึ่ง.. เออ ก็ดี,ไปอีก แบบหนึ่งนะถ้าคิดอย่างนี้เป็น มีอุบายมาประคองใจเอา ไว้ ชีวิตกิไม่หนักหนาสาหัสนักแต่ถ้าเรา.. ไม่ได้
จะเอาอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้กิ ข้ามศพกันเทานั้น.. อะไรเกิดขึ้น เรากิเอาใจไปเป็น เขียง ให้สิ่งที่เกิดขึ้นสับเอาจนเลือดตกยางออกวันทั้งวัน เรามีแต่โกรธ หงุดหงิด เครียดในใจจนในที่สุดกระเพาะทะลุ ความดันสูงแล้วใครทุกข์เดือดร้อน ดัวเองทุกข์เดือดร้อนถ้าเราไปเครียด ไปความดันสูงกับคนไข้ใครทุกข์เดือดร้อน ดีไม่ดีคนไข้ตายไปเลยสมมติว่า คนไข้เข้ามามีเหตุที่จะต้องผ่าตัด กำลังผ่าตัดอยู่ เราโกรธหงุดหงิดขึ้นมา ไม่ทำต่อให้ เสร็จละ เอาทิ้งไว้อย่างนี้แหละ สั่งสอนมันเสียก่อน หรือเราเห็นแก่อามิสสินจ้าง มีศัลยแพทย์ตบแต่ง ประกาศรับทำตาสองชั้น โดยตั้งราคาไว้สามพัน บาทมีเด็กผู้หญิงเอาเงินสามพันบาทมาทำตาสอง ชั้น มีพ่อแม่มาด้วย คุณหมอทำข้างหนึ่งเสร็จ เรียบร้อยแล้วบอก สามพันนี่ตาข้างเดียวนะ จะทำ อีกข้างด้วยหรือเปล่า ดีดดูก็แล้วกัน เสร็จไปข้าง หนึ่งแล้ว ยังไงๆ ก็ต้องทำทั้งสองข้างให้ได้ ใครจะ คิดทำตาสองชั้นข้างเดียวคุณหมอเล่นไม้ตาย คือคนไข้ติดอยู่บนเตียง ผ่าตัด แล้วบอกว่า สามพันนึ่ตาข้างเดียวนะ จะเอา อีกข้างไหม ถ้าจะทำอีกข้าง วางมาเดี๋ยวนี้อีกสาม พัน พ่อแม่ก็แย่เลย ต้องจำยอมรูดข้าวของทั้งหมด ที่มีอยู่ในตัว เพื่อให้ลูกได้มีตาสองชั้นทั้งสองข้างใจใดไม่มีทิศทาง ไม่มีธัมมะ มันทำได้อย่างนี้ความจริงแล้ว เขาจะต้องบอกว่า ทำตาสอง ชั้นหกพัน ให้ร้แล้วร้รอดไปเลย แต่เขาเห็นว่า ราคา หกพันก็เหมือนกับที่อื่นๆ คนก็เลือกเข้าร้านโน้นร้าน นี้ เพื่อดึงดูดลูกค้า ดูเลยตาสองชั้นสามพัน ทุกคน ก็เข้ามากันกรูเกรียว แต่เสรีจแล้วเขาแทบจะฆ่าทิ้ง เสียเลยถ้ามีคนบ้าระหา.. เออวะ ลูทำข้างเดียวก็ได้ แต่ขอยิงล้างแค้นเสียหน่อย แล้วถ้ามือไม่แม่นยิงแล้วไม่ถึงตายกลายเป็นอัมพาต ก็วุ่นกันไปใหญ่เรื่องที่ทุกข์เดือดร้อนกันทุกวันนี้ เป็นเพราะ เราไม่มีธรรมในไจกัน นึกแต่ว่ามันเป็นสิทธิของเรา แบบเดียวกับที่แม่ค้าเดี๋ยวนี้ แทนที่จะบอกผลไม้ กิโลละเท่าไหร่ เขาจะเขียนตรงที่เป็นเลขของกิโลให้ ดูไม่ชัดว่าครึ่งกิโลหรือหนึ่งกิโล แล้วก็เขียนราคา ไว้เท่านั้นเท่านี้ ถ้าดูไม่ดีคนชื้อก็ซวยไปเราเข้าใจว่ากิโลละเท่านั้น พอชั่งเสร็จเรียบ ร้อย ชำระสตางค์ เขาบอกนั้นครึ่งกิโลต่างหาก ถ้าเหี้ยมจริง เราก็ไม่เอา ให้แม่ค้าเอาคืนไป แล้วรีบเอาสำลีอุดหูเสียเพราะคุณแม่ค้าจะด่าเราขรมเลยเป็นทำนองว่าไม่มีสตางค์จะชื้อแล้วยังทำเป็นเท่อะไรต่อมิอะไร ยับยี่ยับเยินไปเลย
ชีวิตทุกวันนี้ถึงได้เซ็งตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา แล้ว ทำอย่างไรถึงจะทำให้คุณภาพชีวิตร่มรื่น เบา สบายขึ้น
เราปรับที่ฐานของใจ ก่อนจะทำอะไรลงไป ถามตัวเองว่า ดรอบคอบหรือยัง ถ้าไม่แน่ใจว่าตา เราดีพอ แว่นเราเที่ยงตรงพอ เอ่ยปากถามให้แน่ใจ ว่า ราคาที่คุณปักเอาไว้นี่มันเท่าไหร่นะคะ กิโลหนึ่ง หรือครึ่งกิโล ตาข้างเดียวหรือตาสองข้าง เอากันให้ ชัดเจนแน่ๆ ไม่ใช่พรวดพลาดผลีผลามทำลงไปแล้ว ก็เกิดเป็นกรณีแทบจะฆ่ากันตายไปเตือนตัวเองเอาไว้ว่า อะไรก็ตาม เราต้องไม่ ประมาท เราต้องให้แน่ใจมั่นใจแล้วถึงตัดสินใจทำ ลงไป อย่าให้เป็นอย่างอาจารย์ที่เล่า ถึงกิเลสความ โลภในใจจะยุให้รำตำให้รั่วว่า.. น่าเสี่ยง.. ก็คิดใน ทางตรงกันข้ามเอาไว้ถ้ามีธรรมในใจ พออะไรโผล่ขึ้นมาให้เราเฟ้น แต่ข้างดี จนกระมั่งจะปลิวตามไปเป็นว่าวติดลมบน ให้หักมุมคิดอีกทางหนึ่งว่า ถ้าไม่เป็นไปอย่างที่กำลัง คิดอยู่เดยวนี้ มันเป็นไปในทางตรงกันข้าม เราจะ เอาไหม แล้วทำใจให้หนักแน่น ฟังดีๆ ถ้าใจสะดุ้ง
ให้เชื่อมันเลย หยุดตัวเองเอาไว้ อย่าไปคล้อยตาม อารมณ์ว่า มันไม่มีหนทางจะพลาดอย่างนั้น
ถ้าไม่รอบคอบ ไปคิดแต่ได้ถ่ายเดียว แล้วไม่ มีภูมีคุ้มกนว่า.. ถ้ามันพลาดล่ะ.. ของในโลกนี้มีนั้ง ได้และมีทั้งไม่ได้ เป็นโลกธรรมคู่กันอยู่ ในโลกนั้ มี มีดก็มีสว่าง มีดำก็มีขาว มีสุขก็มีทุกข์มีได้ก็มีเสีย มันคู่กันเป็นธรรมชาติสิ่งที่คู่กัแนี่กัไม่ใช่อยู่ที่ไหน อยู่ด้วยกันในใจ เหมือนห้องนี้ เมื่อเรากดสวิตซ์ไฟเปิด ห้องก็สว่าง ถ้าป็ดสวิตซ์ ที่สว่างอยู่เดี๋ยวนี้ก็มืดทันที ความสว่าง ความมืดอยู่ที่ไหน อยู่ด้วยกันที่ในห้องนี้ ใจก็เหมือน กันจะสุขจะทุกข์จะดีจะชั่ว มันก็อยู่ที่ในใจเรานี่ แหละ ไม่ใช่ว่าเวลาที่สุขมันสุขที่ใจเรา แต่ทุกข์มัน ไปทุกข์ที่ตรงอื่น มันไม่ใช่อย่างนั้นใจเราจึงเป็นเหมือนกับภาชนะที่รับทั้งสุขทั้ง ทุกข์ จึงต้องหาภูมิคุ้มกันเอาไว้ หาฐานที่จะวางมัน เอาไว้ให้เที่ยงตรง แล้วอะไรเกิดขึ้นเราจะได้ไม่ กระเทือนจนแตกทักบุบสลายไป ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกัน อย่างนี้ เวลาดีใจเราก็อาจจะบ้าได้คนบางคน พอรู้ว่าถูกล้อตเตอรีรางวัลทีหนึง นึกว่าจะมีความสุข ดีใจจนสติแตก ทั้งหัวเราะทั้ง ร้องไห้เพี้ยนไปเลย กลายเป็นทุกขลาภ เศรษฐีบาง คน พอรู้ว่าติโวขาดทุนสูญกำไร บ้าไปเลย ตกลงได้ ก็ทุกข์ เสียก็ทุกข์ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะมีชีวิต อยู่ทำไมกันวัตถุสิ่งของที่มีอยู่นี่ เป็นแต่เครื่องทดสอบว่า ใจของเรามีภูมีคุ้มกันแค่ไหน มีธัมมะเป็นเข็มทิศ
ส่องทางเที่ยงตรงแค่ไหนแล้วเราสืกให้ใจมีกำกังตั้งมั่นแค่ไหน คุ้มครองตัวได้รอดปลอดภัยหรือยัง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ชีวิตจึงจะดำเนินไปด้วยความเป็น ปกติผาสุกถ้ามีก็เป็นทุกข์ ไม่มีก็เป็นทุกข์ อย่างนี้แปล ว่า เราเอาใจของเราไปเป็นทาสวัตถุสิ่งของ ที่มีชีวิตกันอยู่ แล้วเราตั้งมาตรฐานว่าการประสบความสำเร็จคือการมีชื่อเสียง เกียรติยศ มีทรัพย์สิน เงินทอง มีอะไรต่อมิอะไรที่เป็นวัตถุสิ่งของ ถ้าได้ วัตถุสิ่งของเหล่านี้มาอย่างที่ใจอยากสมมติว่าเราได้หมดทุกอย่าง เมื่อตายไปเราเอามันไปด้วยได้ไหม
ท่านอาจารย์เคยถามว่า ถ้าคนตายทุกคน สามารถเอาดินจากแผ่นดินกำติดมือไปด้วยได้ พอ หมดลมหายใจแล้ว ดินที่กำไว้ในฝ่ามือก็หายไป พร้อมๆ กับลมที่ดับหายไป เราจะเหลือแผ่นดินอยู่ กันไหม? เพราะคนที่๓ดมาก่อนหน้าเรามีตั้งกี่ร้อย ล้านคน นับกันไม่ถ้วนเมื่อดิดอย่างนี้ เราจะได้มาถามตัวเองว่า เมื่อ สิ่งของอะไรเราก็เอาไปไม่ได้ อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติ เลยตัวของเรา ที่เราบอกว่า ใครอย่ามาพูดจาเหยียบยํ่านะ ใครอย่ามาดูถูกศักดิ์ศรีนะ เป็นต้อง ฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง พอหมดลมแล้ว มืใยเรา จะสิ่งลูกหลานว่า นี่นะ ต้องเอาฉันใส่โลงศพอย่าง นั้น.. อย่างนั้นนะ เดินขอบลายทอง มีดอกไม้จัด อย่างนั้น.. อย่างนั้น เขาก็ไม่จัดให้เราเราตายแล้ว เขาอาจจะปล่อยให้เราขึ้นอืดอยู่ ที่ไหนก็ได้ เราก็ไม่สามารถจัดการให้เป็นไปดัง ประสงค์ได้ แล้วทำไมเล่า ในการแสวงหาวัตถุเหล่า นี้ ซึ่งเอาติดตัวไปไม่ได้สักนิดเดียว เรากลับปล่อย ให้ใจไปทุกข์เดือดร้อน ติดนิสัยรู้มากเอาเปรียบ กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง ซึ่ง สิ่งเหล่านี้ไม่หายสาบสูญไปกับลมหายใจเดี๋ยวนี้เขาพิสูจน์ได้แล้วว่า ใจไม่ได้สูญหาย ไปกับร่างกาย ไม่ใช่ว่าหมดลมไปแล้ว ใจก็เน่าเปีอย ไปด้วย เอาร่างไปฝังไปเผาแล้วใจก็หมดสูญไป ฝรั่ง มีความเชื่อว่า เมื่อคนเราตายแล้ว จิตวิญญาณจะไป รอคำพิพากษาในวันสิ้นโลก แล้วจึงจะมีชีวิตนิวันดร์ อยู่ในสวรรค์หรือในนรกตลอดกาลทางพุทธศาสนาเชื่อว่า ใจไม่เกิดไม่ตาย เป็น อมตธาตุ ถ้าใครยังจำวิชากลศาสตร์ที่เคยเรียนได้
ว่า พลังเป็นสิ่งไม่สูญหาย ไม่ถูกทำลาย ก็จะเข้าใจ ตรงนี้ เขาพิสูจน์ได้แล้วว่า ใจเป็นพลัง มีคุณสมยัด ละม้ายสารกัมมันตรังสี เราคิดอะไรทีหนึ่ง ก็จะมี คลื่นกระเพื่อมออกไปความคิดเป็นคลื่นความถี่สูงเก็นกว่าหูจะได้ยิน หากเรามีเครื่องวับวิทยุที่วับคลื่นความถี่นี้ได้ พอ เป็ดเครื่อง ก็จะเป็นเสียงออกมา
ความคิดของคนเราเป็นคลื่นแผ่ออกไป ทำ นองเดียวกับรังสีที่สารกัมมันตรังสีแผ่ออกไป ความ ลื่สูงจนหูเราไม่ได้ยิน แต่เขามีเครื่องมือดักจับได้ แล้วว่า เวลาเราคิดทีหนึ่ง ก็เหมือนเราเอาอะไรทิ้ง
ลงไปในบ่อนํ้า เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไป โดยรอบในบรรยากาศ คลื่นอันนี้หูเราไม่ได้ยินก็จริง แต่มันมีคุณสมบัติเฉพาะตัวถ้าความคิดเป็นเหตุผล เป็นเมตตา เป็น สมาธิ รอบตัวเราจะมีประจุลบห่อหุ้มเป็นรังสีถ้าเราคิดเบียดเบียน คิดโลภ คิดโกรธ จะเป็นประจุ บวกห่อหุ้ม เขาอยากรู้ต่อไปว่า ตัวประจุบวกประจุ ลบ ถ้าเราใช้กระแสไฟฟ้าแยกสะสม แล้วพ่นเช้าไป ในสิ่งมีชีวิต มันจะมีผลอับจิตใจหรืออับการเจริญ เติบโตอย่างไรบ้าง
เขาจึงทดลองอับสุนัขที่ฝึกเอาไว้ จนกระทั่ง ผู้ฝึกพูดคำไหนเป็นคำนั้น เขาพ่นประจุบวกประจุ อกุศลเช้าไป สุนัขที่อยู่อันอย่างปกติลันติ ลุกขึ้นตา ขวางใส่อัน แล้วอัดอันชนิดที่เรียกว่า เอาให้ตายอัน ไปช้างหนึ่ง ผู้ฝึกเช้าไปห้าม ปรากฏว่ามันบ้าเลือด ไปแล้ว หันมาจะขยํ้าผู้ฝึก จนต้องอันออกไป คิด อันว่าน่ากลัวต้องยิงทิ้ง เพราะมันบ้าไปแล้วเขากลับขั้ว เปลี่ยนเป็นประจุลบพ่นเช้าไป จับคู่อับประจุบวกที่เหลืออยู่จนหมดประจุลบเริ่มสะสมถึงระตับหนึ่ง สนัขที่กัดกันอย่างไม่รู็ประสา สะดุ้งเหมือนกับมีใครไปสะกิด มันมองดูกันอย่าง ไม่เข้าใจ แล้วสะบัดหัวเหมือนเรา ที่.. เอ๊ะ นี่มันเกิด อะไรขึ้นกํบเรานะ.. แล้วต่างตัวต่างกิกลับไปที่มุม โปรดของตัวเองสรุปแล้วกิแปลว่า จิตใจที่คิดดีชอบเป็นกุศล การฝึกกใจให้มืเหตุผล เป็นสมาธิ รวมกำลังแน่วนิ่ง ล้วนมีผลต่อบรรยากาศ ต่อคนข้างเคียงได้ ทำให้ จิตใจที่กำลังฟุ้งซ่าน จิตใจที่กำลังจะทำไม่ดี กลับ สงบเป็นปกติได้ เหมือนได้อาหารได้ยาไปทำให้โรค หายในทางกลับกัน เรากำลังดีๆ อยู่ เกิดมืคนเอา เชื้อโรคใส่เข้ามา เอาประจุบวกใส่เข้ามา จิตใจเรา ติดเชื้อ หงุดหงิด บ้าชื้นมาได้
ผลจากงานวิจัยนี้ไปตรงกับงานของกลุ่มหนึ่ง ที่สิกทำสมาธิแบบ TM Transcendental Meditation เอกสารของเขาท้าว่า ถ้าสังคมไหน ประเทศ ไหนมืพลเมืองที่แกใจให้เป็นสมาธิได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากร ในคุกตะรางจะไม่มีอาชญากร พลังของสมาธิก็เป็นไปทำนองเดียวกับประจุลบที่ เขาทดลองกับสุนัขมีนิทานชาดกเล่าถึงว่า เมื่อไหร่ก็ตาม บ้าน เมืองใด พระเจ้าแผ่นดินเสนาบดีเป็นศีลเป็นธรรม ตั้งตนอยู่ในทศพิธราชธรรม ฝนจะตกถูกต้องตาม ฤดูกาล พืชพันธุธัญญาหารอุดมสมบูรณ์สมัยหนึ่ง มีพระเจ้าพาราณสีซึ่งอยู่ในทศพธราชธรรม ท่านคอยสอดส่องทุกข์สุขราษฎรอยู่ ตลอดเวลา ปลอมตัวเป็นคนเดินทาง ออกไปคลุกคลี ถามไถ่ตามหมู่บ้าน ตามที่ต่างๆ ว่า ข้าราชการดี ไหม ประชาชนทุกข์เดือดร้อนอย่างไรบ้างคราวหนึ่ง ท่านปลอมตัวออกไปชายป่า ไป พักกับพระฤๅษี เช้าขึ้นพระฤๅษีเก็บผลไม้มาถวาย พระเจ้าแผ่นดินเสวยแล้วก็แปลกใจ ถามว่าพระฤๅษี มีวิธีเลี้ยงผลไม้อย่างไรรสชาติถึงหวานอร่อย เพราะ ท่านเคยเสวย รสไม่อร่อยอย่างนี้พระฤๅษีบอกไม่ไต้ทำอะไร มันเป็นผลไม้ป่า แต่ผลไม้นี้เป็นผลไม้เสี่ยงทาย เมื่อไรพระเจ้าแผ่นดิน อยู่ในทศพิธราชธรรม เสนาบดีเป็นคนดีมีศีลมีสัตย์ ผลไม้จะหวานอร่อย แต่ถ้าพระเจ้าแผ่นดินไม่อยู่ ในทศพืธราชธรรม บ้านเมืองเดือดร้อนระสาระสาย ผลไม้จะรสฝาดเฝื่อน
พระเจ้าพาราณสีอยากพิสูจน์พอกลับไปท่านก็ไม่ประพฤติตัวอย่างเดิมเสวยนํ้าจัณฑ์ ทำตามอำเภอใจ อีกปีหนึ่งท่านก็ปลอมตัวออกไปที่ อาศรมพระฤๅษี พระฤๅษีจำท่านไม่ได้ พอเช้าขึ้น ก็เก็บผลไม้ด้นเติมมาถวาย คราวนี้พอเสวยเข้าไป รสก็เชื่เอนฝาดไปหมดท่านต่อว่าพระฤๅษีว่า ทำไมผลไม้ถึงรสชาติ กินไม่ลงอย่างนี้ ปีก่อนนั้น ที่พระฤๅษีเอามาให้มัน หวานอร่อยชื่นใจ ท่านไปทำอะไรกับผลไม้หรือพระฤๅษีตอบว่าท่านไม่ได้ทำอะไร ธรรมชาติ เลี้ยงด แต่ถ้าจะให้ท่านพูดตามคำพยากรณ์ ก็แสดง ว่า เดี๋ยวนี้บ้านเมืองเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า พระ เจ้าแผ่นดินคงวิปริตไป ซึ่งก็ตรงกับความเป็นจริง เพราะพระเจ้าพาราณสีประพฤติองค์เสเพล ด้วย อยากพิสูจน์ความจริงข้อนี้
เรื่องทำนองนี้มีอยู่ในชาดก ถ้าพระเจ้าแผ่น ดินอยู่ในทศพิธราชธรรม พืชพันธุธัญญาหารจะ อุดมสมบูรณ์ ซึ่งก็มาตรงกับงานวิจัยใหม่ๆ คือแทน การเอาประจุบวกประจุลบพ่นเข้าไปกับสุนัข นัก วิจัยปลกถั่วขึ้นมาแปลงหนึ่ง เหมือนกันหมดทุกต้น
จนกระทั้งแยกไม่ไต้ว่าถั่วต้นไหนเป็นต้นไหนเขาแบ่งออกเป็นสองแปลง แปลงหนึ่งให้คน จิตใจเมตตากรุณารักต้นไม้เลี้ยง อีกแปลงหนึ่งให้ คนหงุดหงิดเลี้ยง ใจโมโหโทโสขัดเคืองว่า ต้นไม้นี่ ยุ่งยิ่ง บางวันมารดนํ้าเอาเมื่อมืดแล้ว บางวันแดด ขึ้นจนเปรี้ยงแล้วรดนํ้า แดดก็ลวกใบพองหมด รด ไปก็บ่นว่าไป ..ไอ้ต้นไม้บ้า ทำให้ตูยุ่ง ต้องห่วงต้อง เป็นภาระ บางทีก็เอาพวยกากระแทกยอดหักไปอีกแปลงหนึ่ง ร้องเพลงให้ฟัง รดนํ้าไปก็ ชื่นชมไป มีใบงอกขึ้นมาอีกใบหนึ่งแล้วนะ คือ จิตใจ รัก มองตูก็เห้นต้นถั่วมีใบแตกใหม่ มียอดสูงขึ้นไป อีกเท่าไหร่พอครบ 3 เดือน แปลงที่คนมีใจรักต้นไม้ เลี้ยงออกฝักอ้วนกรอบ เอาไปกินก็หวานอร่อย เก็บ เม็ดไปทำพันธุ์ 100 เม็ดก็ขึ้นหมดทั้ง 100 เม็ด อีก แปลงหนึ่งปรากฏว่าต้นแกร็นเป็นถั่วบอนไซ ฝักบิด เป็นเกลียวแทบไม่มีเม็ดเลย เอาไปกินก็เหนียวจน เคี้ยวเกือบไม่ขาด เอาเม็ดไปคัดทำพันธุ 100 เม็ด ก็ขึ้นมาสักหนึ่งต้นสองต้นถ้าจิตใจเราดี จิตใจเป็นธรรม ต้นไม้ก็งอก งามดีเหมือนอย่างที่ชาดกว่าไว้ พืชพันธุธัญญาหาร อุดมสมบูรณ์
ถ้าพิจารณาถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง จะเห็นว่า ปัญหาอะไรๆ ที่หนักอกหนักใจกันอยู่ทุกวันนี้ เรา
แต่ละคนมีส่วนช่วยทำให้สังคมดีขึ้นหรือเสื่อมลง เรา แต่ละคนสามารถสร้างสรรค์หรือทำลายสังคมตลอดจนสภาวะแวดล้อม ให้พังพินาศ หรือกสับ ฟ้นคืนดีก็ไต้ ด้วยการฝึกใจให้มีเข็มทิศส่องทางใจนั้นไม่ตายไปกับร่างกาย นักวิจัยกลุ่ม สแกนดิเนเวียสงสัยว่า ที่ว่ามีจิตวิญญาณมีใจนี่ แล้ว มันไปไหนเมื่อลมหายใจหมดไป ยังอยู่กับร่างกาย แล้วถูกเผาไหม้ไป หรือว่าเลตลอดหลุดไปไหน
เขาสร้างเตียงคนไข้พิเศษที่สามารถชั่งไต้ทั้ง เตียง โดยไม่ต้องขยับเขยื้อนตัวคนไข้ ชั่งรวมหมด ทั้งผ้าและสิ่งของที่อยู่บนเตียง เพราะบางครั้งเรา สงสัยว่า นํ้าหนักที่แตกต่างไป อาจเพราะเหงื่อกาฬ แตก ปัสสาวะ อุจจาระราดเพื่อยุตีปัญหา นักวิจัยกลุ่มนี้เลยชั่งรวมหมด ถ้าเหงื่อออกมาก เปียกไปในผ้าปูที่นอน หรือว่าปัสสาวะ อุจจาระราด ก็รวมอยู่ในนั้นเป็นนํ้าหนักรวม เขาชั่งตั้งแต่คนไข้อาการหนักไปเรื่อย บาง คนก็ชั่งทุกครึ่งชั่งโมง หากอาการแปรเปลี่ยนเร็วก็ ชั่งทุก 14 นาที ถึงตรงที่หมอว่าตาย ก็ชั่งตรงนั้น แล้วชั่งต่อไปอีกระยะหนึ่ง 3 ชั่วโมง 6 ชั่วโมง เพื่อ ให้แน่ใจว่านํ้าหนักที่เปลี่ยนแปลงนี่ เปลี่ยนคงที่ไป เรื่อย ๆ หรือเปลี่ยนแล้วก็กระโดดขึ้นกระโดดลงเมื่อได้จำนวนคนไข้เพียงพอเอามาทำสถิติ พบว่า ทุกคนที่ตาย นํ้าหนักจะลดลงนิดหนึ่ง คน ไหนลดลงเท่าไร ชั่งต่อไปอีก 3 ชั่วโมง 6 ชั่วโมง ก็จะลดลงคงที่อยู่อย่างนั้น
ค่าเฉลี่ยของนํ้าหนักที่ลดลงเมื่อตายประมาณ 30 ถึง 40 กรัม คือ หนึ่งออนซ์ถึงหนึ่งออนซ์ครึ่ง เขาสรุปว่า ใจของคนเรามีนํ้าหนักนิดหนึ่ง คือ 30 ถึง 40 กรัม นํ้าหนักที่ลดลงแม้จะนิดหนึ่งแตกคงที่ มีความส์าดัญตามนัยทางสถิติ ไม่ใช่ว่ากระโดดขึ้น กระโดดลง
ผลงานวิจัยนี้สอดคล้องกับ thermodyna mics ที่สอนว่า พลังงานกับสสารแปรเปลี่ยนไปมา หากันได้ ดังสมการที่ว่า พลังงาน = (มวลสาร) X (ค่าคงที่)
E = mc2
พลังที่แปรเป็นมวลสารมีนํ้าหนักนิดหนึ่ง ใจ คนเรานี่ นํ้าหนัก 30 ถึง 50 กรัมเท่านั้นแหละ ไม่ หนักมากหนักมาย ที่หนักคือเนื้อตัวเราแล้วใจอันนี้ออกจากร่างไปทางไหน ก็ทำนอง เดียวกับที่เราเอา นํ้าใส่กระป๋องปิดให้มิดชิด แล้วเอาไปตั้งบนเตา ตอนแรกเอานิ้วจุ่ม นั้าก็เย็นปกติ กระป๋องก็ไม่มีทางที่ความร้อนจะเข้าไปได้ แต่เมื่อ เอาขึ้นไปตั้งบนเตา นํ้าก็ร้อนขึ้น..ร้อนขึ้น จนเป็น นํ้าเดือดได้พลังทั้งหลาย ความร้อนก็ดี แสงสว่างก็ดี ไม่ มีซ่องตรงไหน มันก็ทะลุกระจกทะลุฝาเข้ามาได้ พลังที่เป็นใจคนเรา ก็ไม่ต้องการประตูรูทางออกทาง เข้าให้เราเห็น อ้อ.. คนตายแล้ว มีแผลผีปอบมา ดูดหรือมีรอยอะไรเป็นประตูให้เข้าให้ออกเราพิสูจน์ได้แล้วว่า ที่รวมกันว่าเป็นคนๆ หนึ่ง ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ร่างกาย ที่เป็น เหมือนห้องนี้ เป็นบ้าน เป็นโครงให้เราเห็นกัน ให้ รู้ว่าคุณ ก. คณ ข. กับข้างใน ตัวพลัง ศักยภาพที่

ทำให้แต่ละคน แต่ละคน มีพฤติกรรมเป็นคนขี้โมโห โทโส หรือใจคอเยือกเย็นนี่ มาจากพลังรู้ที่เป็น ใจ พอหมดลมหายใจแล้ว ใจก็ไม่ได้ตายไปด้วย เมื่อไม่ตาย แล้วมันไปอยู่ที่ไหน เขาก็วิจัยต่อ และ พบว่า ใจมีตุณสมบัติหักเหแสงใกล้เคียงกับอากาศ มาก ตาเนื้อจึงมองไม่เห็นใจ ที่บางคนเรียกผี เรียก วิญญาณใจที่อยู่ในสภาพกายละเอียด ที่ไม่มีร่าง เนื้อ จะโปร่งแสง มองไม่เห็น เหมือนเรามองแก้วบางๆ ใสๆ มองก็คล้ายๆ จะมีอะไรอยู่มองอีกที.. ไม่มีน่า มันจะเป็นทำนองนี้
ถ้าไม่ฝึกใจของเราให้ละเอียด จนกระทั่งเกิด ตาในที่จะสัมผัสมิตินี้ได้ เราก็ไม่ เห็นกายละเอียด ถ้า ใครบอกผีอยู่ตรงนั้น มีนั่นมีนี่ เราก็อย่าเพิ่งไปว่า เขาเพี้ยน เขาอาจจะฝึกจนกระทั่งใจของเขาเป็น กล้องวิเศษ สามารถเห็นกายละเอียดก็ได้ใจที่อยู่ในสภาพกายละเอียด ถ้ามีบุญกุศล รองรับ เราก็ว่าเขาไปเป็นเทวดาเป็นพรหมถ้ามีแต่บาปเหมือนมีเงินก็ อยากไปอยู่โรงแรมดีๆ ก็ อย่ไม่ได้ เพราะไม่มีเงินจ่าย เลยต้องไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย
แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพกายละเอียดชนิดใดใจที่ยังไม่ตามเป็นจริง ยังไม่เป็นธรรมเที่ยงแท้ ก็จะ สะเทือนไปตามความอยากและความไม่อยาก ตาม ความโลภความรัก คือ ถูกดูดเข้าไปหา ตามความ โกรธ ความเกลียด ความหงุดหงิด ถูกผลักออกมา ไม่สามารถทรงตัวเป็นอิสระอยู่ได้ ประเดี๋ยวก็ถูก ดูดเข้าไป เดี๋ยวก็ถูกผลักออกมาสองสามวันมานี้ เราตื่นเต้นที่ดาวหางซนดาว พฤหัส มันก็ทำนองเดียวกับใจคนเรา เวลาที่มันรัก มันชอบมันโลภมันหลง มันก็ลูดดึงเข้าไปหาสิ่งนั้น แบบเดียวกับดาวหางที่ถูกดาวพฤหัสดึงดูดให้โคจรอยู่ รอบๆ ครั้นมีอะไรเปลี่ยนแปลง แทนที่จะโคจรอยู่ ตามปกติ ก็เสียความทรงตัว แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วถูกดูดเข้าไปชนดาวพฤหัส เป็นปรากฏการณ์ อย่างที่กำลังลูกันอยู่ถ้าจะเปรียบเทียบใจของเรา มันก็ทำนองนี้ เรารักเราห่วงอะไร ก็จะถูกดูดให้ไปอยู่ตรงนั้น ไม่ ไปไหนหรอกเหมือนสมัยพุทธกาล มืเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาตกับพระอานนท์ ผ่านหน้า บ้านพราหมณ์ ก็มีลูกหมาออกมาเห่าท่าน ท่านเล็ง เห็นอุปนิสัยพราหมณ์ว่า มีปัญญารู้ธรรมได้ จึงตรัส กับลูกหมาว่า.. โตไชยพราหมณ์เอ๊ย.. โตไชยพราหมณ์คือชื่อพ่อของพราหมณ์หนุ่มเจ้าของบ้าน เพิ่งตายไป
พระพุทธเจ้าตรัสกับลูกหมาว่า โตไชยพราหมณ์เอ๊ย สมัยเจ้ามีชีวิตอยู่บุญกุศลเจ้าก็ไม่ทำ บาตรเจ้าก็ไม่ใส่ แล้วดูสิ เจ้าตกต่ำไปเกิดเป็นหมา แล้วเจ้ายังไม่เสียใจอีกหรือ ยังมาเห่าเราให้เป็นบาป ต่อไปอีก
โตไชยพราหมณ์ตายก็ไปเข้าท้องแม่หมาใน บ้าน มาเกิดเลย ยังจำภาษาได้ จำความเก่าของ มันได้ ได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นมันก็นํ้าตาไหลเดินก้มหน้าเข้าบ้านไปเมื่อลูกหมาคลอดออกมา พราหมณ์หนุ่มรัก ลูกหมาตัวนี้มาก ให้บ่าวคนหนึ่งคอยอาบนํ้าดูแลให้ กินข้าว ทำจานทองคำเป็นจานข้าวให้ มีฟูกให้นอน ลูกหมาจะไปทางไหน บ่าวต้องคอยดูแลปรนนิบิตเมื่อบ่าวได้ยินคำพระพุทธเจ้า ก็ไปเล่าให้นายฟังพราหมณ์หนุ่มโกรธว่า ถึงเราเป็นพราหมณ์ ไม่เคารพเลื่อมใสพระพุทธเจ้า แต่เราก็ไม่เคยไป หยาบหยามประพฤติตัวดูถูกดูหมิ่นท่าน เราก็อยู่ แบบพราหมณ์ ท่านก็อยู่แบบพุทธ ต่างคนต่างอยู่ แล้วเรื่องอะไร วันนี้ท่านถึงมาก้าวร้าวว่าหมาเป็น พ่อเราพราหมณ์หนุ่มแต่งตัวออกไปเพื่อต่อว่าพระ พุทธเจ้าไปถึงที่ประทับ พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์สอนผู้คน พราหมณ์รู้กาลเทศะก็ลงนั่งคอยอยู่ พระ พุทธเจ้าเล็งรู้ในใจของพราหมณ์ ท่านเทศน์จบก็หัน มาทักว่า พราหมณ์ เมื่อสมัยที่พ่อท่านยังมีชีวิต อยู่ มีถาดทองคำใบใหญ่ไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้ถาด ทองคำใบนั้นหายไปไหนพราหมณ์หนุ่มสะดุ้ง สมัยที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ มี ถาดทองคำใบใหญ่ใช้อยู่เป็นประจำ พอพ่อเป็นลม ปัจจุบันตายไป เขาหาถาดทองคำเท่าไหร่ก็ไม่พบ ใจ เขาครุ่นกังวลอยู่ ทำไมพระพุทธเจ้าถึงเล็งรู้ เขาไม่ เคยพูดกับใคร ไม่เคยกราบทูลท่าน ทำไมท่านรู้
พระพุทธเจ้าถามต่อไป ท่านอยากได้ถาดคืน ไหม ซึ่งตรงกับใจพราหมณ์ที่อยากได้ถาดคืน เขาก็ เลยเงียบ ที่จะไปต่อว่าพระพุทธเจ้าก็เลยยังไม่พูด พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า นี่นะ ลูกหมาของ ท่าน พ่อท่าน พอโดนเราทักเมื่อเช้านี้ก็เสียใจไปนอนร้องไห้ซุกอยู่ที่ครัวไฟ ข้าวก็ไม่กิน ฟูกที่ท่าน ทำให้ก็ไม่ไปนอน ท่านกลับไปบอกบ่าวให้พาเขาไป อาบนํ้า แล้วปลอบให้กินข้าวให้อิ่ม เอาเขานอนพัก พอตื่นขึ้นมาแล้ว ท่านลงไปพูดกับเขาดีๆ ว่าพ่อจ้าพ่อจ้าพ่อพาฉนไปขุดถาดทองคำหน่อยเถอะ พราหมณ์หนุ่มโกรธก็โกรธ ดูสิ มาเรียกหมา ว่าเป็นพ่อเราอีกแล้ว แต่ความอยากได้ถาดทองคำ มีมาก เลยนึกในใจว่า ปกติสมณโคดมพูดอะไรก็ เป็นจรีงทั้งนั้น ถ้าคราวนี้เป็นจริงอีก เราก็ได้ถาด ทองคำ ไม่ขาดทุน แต่ถ้าสมณโคดมพูดเท็จ เราจะ ประกาศให้โลกรู้ จะได้โคํนสมณโคดมเสีย พราหมณ์ ทั้งหลายที่ละทิ้งลัทธิพราหมณ์ ไปบวชเป็นสาวกของ สมณโคดม จะได้กลับคืนมาเป็นพราหมณ์เขาติดอย่างนี้ในใจ แล้วเลยระงีบที่จะ ไป ตัดพ้อต่อว่าท่าน ยอมให้ท่านว่าไปก่อน เพราะ

ความอยากได้ถาดทองคำมีมากกลับมาถึงบ้าน บ่าวก็รายงานตรงกบที่พระ พุทธเจ้าตรัส พราหมณ์ก็อัศจรรย์ใจว่า ทำไมสมณโคดมพูดอะไรถึงจริงไปหมดอย่างนี้ เลยสั่งบ่าวให้ ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนมา พอลูกหมาตื่น บ่าว ก็มารายงานพราหมณ์ลงไปหาลูกหมา แล้วพูด พ่อจ้า พ่อจ้า พ่อพาฉันไปขุดถาดทองคำหน่อย ลูกหมาวิ่ง พาเข้าไปในสวน จนกระทั่งถึงต้นไม้ใหญ่ มันก็ ตะกุยด้นตรงนั้น พราหมณ์สั่งบ่าวให้ขุดลงไป พอขุด ลงไปสักศอกหนึ่ง เสียมกระทบกับโลหะ จึงค่อยๆ โกยกันออก ก็ได้ถาดทองคำขึ้นมาพราหมณ์สลดในใจว่า พ่อเราเป็นพราหมณ์ที่ น่านับถือ ปฏิบัติตามจารีตของพราหมณ์เคร่งครัด เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ดูเอาเถอะ ตาย แล้วกลายมาเป็นหมา พราหมณ์หวั่นไหวไปหมด แล้วเราเองล่ะ ถ้าตายไป เราจะเอาอะไรเป็นหลัก ประกันว่า จะเกิดมาเป็นคนอีก แล้วคุ้มครองตัวได้ อย่ากระนั้นเลย คืนนี้เราไปฟังธรรมของสมณโคดม ท่านอาจจะมีวิธีแนะสอน ให้เราปกบ้องตัวเองให้
ปลอดภยได้เมื่อพราหมณ์ไปฟังพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้ ปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์ ประพฤติตามคำสั่งสอน จน ในที่สุดใจหลุดจากความเป็นปุถุชน ตกกระแสเข้าสู่ ความเป็นอริยบุคคลในพระศาสนาสอนไว้ว่า เมื่อตกกระแสเข้า ถึงความเป็นอริยบุคคล จะปิดอบายภูมิได้ ถึงยัง เกิดอีก ก็ไม่ไปเกิดเป็นสัตว์นรกเปรตอสุรกาย หรือ เดรัจฉาน จะมาเกิดเป็นคน เพื่อฝึกสติสัมปชัญญะ ปัญญาให้แน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น ทำให้ใจมีกำลัง มี ทิศทางถูกชอบเห็นหนทาง เห็นมรรคแล้ว เมื่อเดินตาม มรรคไปเรื่อย ๆ เราก็ปลอดจากอุยัติเหตุที่จะไปตก นรก หรือไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน สามารถตคุ้มครอง ให้ใจพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนบริสุทธิ์รู้ตามความเป็นจริง เป็นอิสระจากการเป็นประเทศราชของความโลภหลง รักโกรธเกลียด แล้วมีพฤติกรรมที่เป็นหนี้เป็นสินกับ ตัวเองการไม่มีทิศทาง รักเข้าก็.. คนที่เรารักอยาก ได้อะไร ทำทั้งนั้น โดยไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ เหมือนตัวอย่าง มีนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เป็นนักศึกษาปีสุดท้าย ไปติดพันสาวสมัย วิ่งตาม แฟชั่น ถือกระเป๋าใบละเป็นหมื่นๆ ค่ายี่ห้อ รองเท้า ก็ต้องค่ละหลายพันนักศึกษาคนนี้ เลยไปขโมยรถของเพื่อนนัก ศึกษาด้วยกัน ขโมยเอกสารเจ้าของรถ เอาไปหลอก บริษัทว่า ญาติมอบฉันทะให้มาลัดการขาย ทาง บริษัทสอบถามไปทางเจ้าของรถ จนรู้ว่ารถตันนี้ถูก ขโมยมา เขากแจ้งให้มหาวิทยาลัยทราบมหาวิทยาลัยติดต่อไปที่พ่อแม่ พอพ่อแม่รู้ เข้าก็ตกใจ รีบมาออมชอมกับฝ่ายเจ้าทุกข์ จะซื้อรถ คืนให้ ขอประนีประนอมความกัน เพื่อลูกจะได้เรียน ต่อจนจบได้ปริญญา นี่คือพ่อแม่ที่รักลูก แต่ไม่ได้คิดให้ลึกซึ้งต่อไปว่า ลูกเราจบออกมาเป็น บัณฑิต บัณฑิตคือใคร บัณฑิตคือผู้รู้ตามความจริง
สมัยพุทธกาล ใครเป็นบัณฑิต แปลว่าคนๆ นั้นมีธัมมะในใจ เป็นอริยบุคคล แล้ว เที่ยงตรงต่อ ความเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ตกตํ่าไปสู่ทุคติภูมิแล้วนี่อะไร เป็นบัณฑิต แต่ปรากฏว่าศึลก็ ไม่มี เพียง แค่ว่ารักสาว จะหาของกำนัลไปปรนเปรอกันหน่อยเท่านัน แลกกับคุณงามความดีของตัวเอง เสียแล้ว ไปขโมยรถเขา ถ้าจบเป็นบัณฑิตออกมาจะไปขโมยชาติ โกงชาติ หรือไปท่าอะไรแค่ไหน
เวลาที่ไม่คิดให้รอบคอบ ไม่หาภูมิคุ้มกันให้ ใจตัวเอง มันเกิดอุบัติเหตุขึ้นบนชีวิตประจำวันของ เราอย่างนี้ ใจของเราเองที่ท่าร้ายตัวเราไม่มีใคร ทำเราใจที่รู้ไม่เท่าทันความเป็นจริง จะท่าร้ายตัว เองหนักหนาสาหัสอย่างนี้เห็นกันอย่างนี้ จะได้มานั่งลงคิดการได้ร่างกายเป็นมนุษย์มาอย่างนี้ มันวิเศษอย่างไรบ้างสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จะเป็นสัตว์เป็นคนเป็น อะไรกิตาม นอกจากด้นไม้ ล้วนมีใจครองทั้งนั้น ใจ นี้ไม่มีขีดคั่นไว้ว่า เป็นมนุษย์แล้วจะต้องมาเป็น มนุษย์อีกทุกครั้งไป มีงานวิจัยของฝรั่งอีกเหมือนกัน พักนี้ฝรั่งหันมาสนใจพุทธศาสนากันมาก เขาเห็นว่า คำสอนของศาสนาเขามีสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้และดูจะขัด กับหลักความจริง เลยหันมาสนใจศึกษาพุทธศาสนา ทีนี้การจะแกใจของแต่ละคน แต่ละคน ให้ เป็นสมาธิ จนกระทั่งรู้อดีต รู้อนาคต มันกิยากเขาเลยใช้วิธีลัด คือสะกดจิต นักวิจัยเลือกอาสาสมัครที่
ให้ความร่วมมือ เมื่อถูกสะกดจิตแล้ว ไประลึกรู้อะไร ที่ติดอยู่ในจิตไร้สำนึกของตัว ก็เล่าออกมา
เขาให้อาสาสมัครดูนาฬิกา แต่แทนที่นาพิฑา จะเดินอย่างปกติ 11 โมง 14 นาที เป็น 16 นาที 17 นาที นาพิ'กาเดินถอยหลัง 11 โมง 16 นาที 11 โมง 14 นาที.. 11 โมง 10 นาที.. 10 โมง.. เขาถามอาสาสมัครไปเรื่อยๆ ว่า ตอนนี้คุณทำอะไร อยู่
อะไรที่คับแค้นอยู่ในใจ อะไรที่ชอบฝังใจอยู่ อาสาสมัครจะระลึกได้เป็นตอนๆ สะกดจิตไป ก็ ระลึกย้อนไป ย้อนไป จนเล่าว่าอยู่ในท้องแม่ แล้วก็ ย้อนไปสู่ชีวิตอดีต ตอนนี้ซื่อนั้นชื่อนี้ เกิด ค.ศ. นั้น ค.ศ. นี้ ระหว่างนี้ผู้วิลัยก็บันทึกเทปเอาไว้ตลอดหลังจากสะกดจิตแล้ว เขาส่งเจ้าหน้าที่ไป ตามตำบลที่อยู่ที่อาสาสมัครแต่ละคนเล่าว่าตัวเกิดเป็น ใคร อยู่ที่ไหน ในอาสาสมัครเป็นสิบๆ คน ก็มืบาง คนเป็นบุคคลในประวิเตศาสตร์ เมื่อตามไปถึงที่อยู่ ตรงนั้นๆ ก็มืพิพิธภัณฑ์อยู่หรือบางคนอยู่ในพิระมิดที่อียิปต์ก็มี
เรื่องที่จะเอามาเล่าให้ฟัง เป็นรายงานของผู้ หญิงอเมริกันคนหนึ่ง ซึ่งในชีวิตจริงๆ นี่ จบมัธยม แล้วก็ไม่ได้เรียนต่อ เป็นแม่บ้านธรรมดาๆ รู้แต่ ภาษาอังกฤษภาษาเดียว เมื่อถูกสะกดจิต บอกว่า เป็นราชนิถูลซาวฮอลแลนด์ มีศักตั้เป็นเลดี้ ชื่อนั้นๆ เกิด ค.ศ. เท่านั้นๆ ตาย ค.ศ. เท่านั้นๆ เล่าถึงว่า ตำบลบ้านอยู่ตรงโน้นตรงนี้นักวิจัยสัมภาษณ์ว่า ทำอะไรบ้างระหว่างที่มี ชีวิตอยู่ สนใจใส่ใจเรื่องอะไร เขาบอกว่าชอบเขียน โคลงกลอน นักวิจัยถามว่า พอจะจำได้ไหม ลอง ท่องโคลงที่เขียนสักบทหนึ่งให้ฟังซิ เขาท่องออกมา เป็นโคลงบทหนึ่ง ก็อัดเทปเอาไว้เสรีจจากสะกดจิตแล้ว เมื่อส่งเจ้าหน้าที่ไป ตามตำบลที่บอก ก็ปรากฏว่าบ้านที่เขาเคยอยู่ ได้ รับการรักษาเอาไว้เป็นพิพิธกัณฑ์ มีรูปตัวเขาเขียน ด้วยสินั้ามันขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มีชื่อ วันเดือนปีที่ เกิดที่ตาย เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปนี้มาด้วย มีข้าวของ เครื่องใข้ส่วนตัวตั้งแสดง เหมือนเวลาเราไปดูตาม พิพิธภัณฑ์ มีหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือรวมกวี นิพนธ์ที่เขาแต่ง มีโคลงบทที่เขาท่องให้ฟัง ตรงกับที่เสียงเขาท่องออกมา
เจ้าหน้าที่ขอถ่ายเอกสารเอากลับมาให้อาสา สมัครดู โดยไฝสะกดจิต เอารูปถ่ายให้ดู ถามว่าพอ จะนึกออกไหม เคยเห็นที่ไหนมาก่อนไหม เขาก็ บอกไม่รู้ ซื่อตัวที่เป็นภาษาฮอลแลนด์ก็อ่านไม่ออก เจ้าหน้าที่อ่านให้ฟัง.. เคยได้ยินไหม คุ้นหูบ้างไหม ทั้งๆ ที่ตอนถูกสะกดจิต ตัวเองเล่าว่า ตัวคือผู้หญิง คนนี้ ..ไม่รู้ ใครก็ไม่รู้ ไม่เคยได้ยิน..เอาหนังสือกวีนิพนธ์มาเป็ดหน้าที่ตัวเองท่อง ให้ฟัง ก็อ่านไม่ออกเจ้าหน้าที่อ่านให้ฟังก็นึกไม่ออก ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้จะว่าว่าเขาเคยเข้าไปห้องสมุดแล้วเห็น เลย จำติดมา เมื่อถูกสะกดจิตก็ออกมา ก็ไม่ได้ เพราะใน ชีวิตจริงของเขา เขาอ่านไม่ออก ขนาดอ่านให้ฟัง ถามว่าเคยได้ยินไหม นึกอะไรออกไหม ยังนึกไม่ ออกเลยมันมีร่องรอยอย่างนี้ที่ทำให้ฝรั่งเชื่อแล้วว่า จิตไม่ตาย ตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ ท่านเปรียบเทียบจิตนี้เหมือนนักเดินทาง ที่ไม่รู้จัก เหน็ดเหนื่อย เดี๋ยวเดินเข้าโรงแรมนั้น ออกโรงแรม
นี้ เกิดทีก็เหมือนเข้าโรงแรมนี้ ไม่มือะไร มีแต่ตัว เข้าไปถึง เอาเครดิตการ์ดไปวาง คืออริยทรัพย์ บุญ กุศล หรือบาปทรัพย์ เครดิตการ์ดที่เขาไม่ยอมรับ เราอยากเกิดเป็นคน เขาก็ไม่ให้เกิด แท้ง..แท้ง.. ถ้าใจเราผูกพันกับอะไรเอาไว้ อย่างพราหมณ์ผูกพันอยู่กับถาดทองคำ เป็นลมบ้จจุบัน ตายยังไม่ทันบอกลูก จะรอมาเกิดเป็นคนก็ไม่ทันใจ พอดีแม่หมาในบ้านกำลังท้อง เลยปฏิสนธิในท้อง หมา เกิดเป็นลูกหมา บันเป็นอย่างนั้นได้จริงๆเมื่อดิฉันไปแกทำภาวนาที่รัดป่าทางอีสาน ท่านอาจารย์ท่านเคยอยู่กับหลวงป่องค์หนึ่ง ท่าน เล่าให้ฟังว่า สมัยที่หลวงป่ยังหนุ่มๆ มีผู้หญิงคน หนึ่งสามีแก่กว่าเกือบยี่สิบปี เป็นเศรษฐีของตำบล นั้น สามีรักหวงแหนเมียมาก เกิดเป็นโรคหัวใจ ตายไป เมียก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
เขาลังเกตว่า หลังจากสามีตายไปไม่เท่าไหร่ ไม่ว่าเขาจะไปทางไหน ก็มีลูกตุ๊กแกตัวหนึ่ง ตามไป ทุกแห่ง แม้กระที่งเข้าห้องนํ้าบันก็ตามไป มองทีไร จะสบกับตาลูกตุ๊กแกที่คอยจ้องมองอยู่ จนเขาเกิด ความสงลัย ไปเล่าให้หลวงปู่ฟัง แล้วถามว่า เป็นไปได้ไหมว่าลูกตุ๊กแกตัวนี้คือผัวเขาหลวงปูบอก ถ้าสงสัยอย่างนั้น ก็ทำบุญอุทิศ ส่วนกุศลให้ไป แล้วอย่าไปรังเกียจเดียดฉันท์เอากับ ตุ๊กแก เห็นก็แผ่เมตตาให้ก็แล้วกันตกกลางคืน หลวงปูเทศน์พระเณร ซึ่งมีท่าน อาจารย์อยู่ด้วย ท่านเทศน์ว่า ถ้าเราไม่รักษาใจเรา ไม่ฝึกใจให้มีสติมีปัญญาเป็นแสงส่องทาง ใจไปรักไป ห่วงอะไร ตายไปมันก็จะกสับมาอยู่ใกล้ๆ นั้นแหละ นี่ลูซิ เป็นคนไม่ชอบ มาเป็นตุ๊กแก ถ้าเมียเขาไม่ สงสัย เข้ามาเขากลัวเขาเกลียด เขาให้คนติคนฆ่า เสียจิตอันนี้มันก็จะแค้น ดูสิเสียแรงเรารัก แน่ะ มันมาฆ่าเรา ตกลงเป็นเวรเป็นกรรมกันต่อไปอีก แล้วหลวงปูอีกองค์หนึ่งก็บอก ถ้าไม่ฝึกใจของเรา นี่ มันน่าสลดเหลือเกิน เราไม่รู้ภพไม่รู้ชาติของเรา ห่วงหวงที่นา ตายไปก็มาเกิดเป็นปูนา ลูกหลานไม่ รู้ เลยจับเราไปท่าปูเค็ม
ตอนนั้นติฉันฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ นึกว่าครูบาอาจารย์เหล่านี้ขู่อะไรเหลือเชื่อ ไม่เห็นจะมีทางเป็น ไปได้เลย ที่เรียนมา กว่าสิ่งมีชีวิตจะพัฒนาจากอมีบา ขึ้นมา มีกระลูกสันหลัง มาเป็นลิง แล้วถึงจะเป็นคนตามทฤษฎีของดาร์วิน เมื่อจะถอยกลับ เราก็ ต้องเป็นแค่ลิงก่อนลิง อะไรจะเอากันถึงตุ๊กแก ถึง ปูนาเชียวหรือท่านอาจารย์กลับบอกว่า มันไม่ใช่อย่างนั้น ใจของเราไปผูกพันอยู่กับอะไร ตอนที่ลมหายใจหมดนั้นแหละ.. นั้นแหละ เราไปเกิดอยู่ตรงนั้น แหละ แล้วท่านก็เล่าถึงสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุ องค์หนึ่งซึ่งหมู่เพื่อนลงความเห็นว่า ท่านปฎีบติดี ปฏิบัติชอบ ตายไปแล้วต้องเป็นเทวดาหรือเป็น พรหมวันหนึ่ง ท่านเป็นลมปัจจุบัน ใจแวบไปนึก ถึงว่า วันก่อนนั้นพื่สาวทอจีวรผืนใหม่มาถวาย ยัง ไม่ไต้ครองให้เขาได้บุญเลย กำลังนึกถึงจีวรอยู่ ลม หายใจก็หมดพอดี ในชาดกว่า ท่านเลยไปเกิดเป็น เล็นเกาะอยู่ที่จีวรผืนนั้น
พระพุทธเจ้าท่านเล็งรู้ เล็นมีชีวิต 7 วัน ท่าน เลยเรียกประชุมสงฆ์ ว่าของของภิกษุผู้ตายอย่าเพิ่ง ไปเคลื่อนย้าย วันก่อนเห็นมีญาติมาเยี่ยม เขาอาจ จะมอบหมายอะไรกันเอาไว้ คอยให้ครบ 7 วันก่อน
ค่อยประชุมตกลงกันเมื่อไม่มีใครไปแตะไปต้องจีวร ใจที่เคยภาวนา ทั้งๆ ที่กายไปเป็นเล็นแล้ว ก็ภาวนาไปด้วยความ สงบ ครบ 7 วันหมดอายุข้ยของเล็น จีตนั้นก็จุติ ไปเป็นพรหมพ่านอาจารย์ว่า นี่1ขนาดพระปฏิยัตินะ ยังมี อุบ้ติเหตุได้อย่างนี้เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ ถ้าอยากรู้ว่า ตายไปแล้วจะไปเป็นอะไร เรากำลังโกรธ หน้าดำตาแดง ก็คิดเถอะว่า เกิดหายใจไม่ออก ตาย ไปตรงนี้ จะไปเป็นอะไร ก็ต้องไปเป็นสิงสาราสัตว์ เขี้ยวลากดิน คำรามหน้าดำตาแดง เที่ยวไต้ไปขบ ไปกัดเขานั้นแหละตอนนั้นติฉันเทียวถามพ่านว่า คนเราตายไป แล้วจะเป็นอะไร พ่านก็บอกไม่ต้องมาถาม ดูใจตัว เองไว้ ถ้าวันไหนโกรธ 10 หน ตายไปตอนนั้น 10 หน ก็กลายเป็นสิงสาราสัตว์ 10หน ถ้าอารมณ์ สงบดีหนเดียว ตายไปก็เป็นเทวดา หมดวัน เราไป เป็นสิงสาราสัตว์ 10 หน เป็นเทวดาหนเดียว ถึง เวลาตายจริงๆก็คงต้องไปเป็นสิงสาราสัตว์นั้นแหละ
ท่านบอกไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปหา หมอดูหมอเดา เราลูใจของเราเอาไว้อย่างนี้ ใจเรา ติดอยู่ในอารมณ์อะไร ให้นึก ขาดใจตายไปตรงนี้ เราก็จะไปเป็นไอ้นั่นแหละ ฟังท่านแล้ว ก็ระลึกถึง ตัวเองที่เคยโกรธจนกระทั่งคิดอะไรไม่ออก เลยไปนอนจนหตับแล้วตื่นขึ้นมา นึกไต้ ใจก็โกรธขึ้นมา อย่างนั้นอีก เราตายไป ใจคงวนเวียนอยู่ในอารมณ์ นั้นเหมือนทะเลบ้าอย่างนี้เองท่านจึงว่า อารมณ์อะไรที่เป็นอารมณ์สุดท้าย ของใจ นั่นคือภพภูมิที่เราจะ ไปอุบ้ต รู้อย่างนี้แล้ว เราจะไต้เอาธัมมะมาเป็นเข็มทิศส่องทางชีวิตของเรา อะไรที่เราทำไปด้วยการกระทำ กายกรรม ด้วยวาจา วจีกรรม ด้วยความนึกคิด มโนกรรมเปรียบเหมือนเม็ดพันธุที่หว่านไปตลอดเวลา เรา หว่านอะ ไรไป ต่อมาต้นชนิดนั้นก็งอก เว้นไว้แต่ ว่าเราจะรู้รอบเท่าทัน อโหสิต่อกันไปถ้าสิ่งที่เราทำดีชอบ เป็นบุญเป็นกุศล เราก็ให้สรรพสิ่งมีชีวิต เป็นบุญเป็นกุศล ไม่เอาคืนไม่ใช่ว่าฉันทำดีกับเจ้าแล้ว เมื่อไหร่เจ้าจะมา ทำคืนให้ฉัน จาคะให้กันไป ถ้าเขาทำให้เราเจ็บช้ำ นํ้าใจ จะไปจดจำเอาไว้ทำไมให้ใจของเราขึ้นขี้สนิม ตายไปเราก็ต้องไปเจอะเจอกับเขาอีก แล้วก็ไปขุ่น เคือง เจ็บซํ้านํ้าใจกันอยู่อย่างนี้ อโหสิกันเถอะ ยุติ ไม่เอาแล้ว ถ้าเราคิดอย่างนี้ มันก็จะหลุดจากกันไปไม่อย่างนั้น อะไร อะไร อะไร ที่เราทำไป มันเหมือนเม็ดพันธุ วันหนึ่งจะงอกกลับคืนมาให้เรา ได้วับผลแต่ไม่เหมือนกับ วันนี้หว่านเม็ดหญ้าไปอีกอาทิตย์หนึ่งหญ้าก็ขึ้นมา วันนี้เราทำนา อีก 3 เดือนไต้ข้าว เราไม่มืสติปัญญาที่จะรู้ลึกซึ้งว่า ที่ทำ ลงไปวันนี้ เมื่อไหร่จึงจะงอกมาให้ได้วับผล
ตามคำสอนในพุทธศาสนา กรรมบางชนิด ชาตินี้ยังไม่ปรากฏต้องอีก 3 ชาติข้างหน้า จึงปรากฏ เพราะฉะนั้น เราจึงจำไม่ไต้ อย่าว่าแต่ 3 ชาติข้างหน้าเลย ถ้าดิฉันจะถามว่าเมื่อเช้านี้ คุณ กินข้าวกันกี่คำถึงอิ่ม อย่าว่าแต่คุณเลย ตัวเองก็ไม่ ได้นับเอาไว้ หรือถึงตั้งใจนับ บางทีก็ลึมไปแล้ว กี่ คำกันมันถึงอิ่มความจำของเรานึ่แย่จริงๆมันไม่เที่ยงเพราะฉะนั้น อะไร อะไรนี่ เราถึงจำกันไม่ไต้ ลับสน ปนเปไปหมด เราถึงได้พดว่า.. ใครว่าทำดีได้ดี สมัย นี้ทำชั่วได้ดีมีถมไป แล้วก็จำกันแต่สิ่งไม่ถูกอย่างนี้ เลยเชื่อกันผิดๆ ชีวิตถึงได้สับสนวุ่นวาย
เราเห็น.. เห็นหนทาง เห็นเข็มทิศ.. อย่างนี้ แล้ว จะได้มาจดจ่อดูใจของเรา มาสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ให้ใจเรารั่ว ไม่ให้ใจเรามาทำร้ายตัวเองในเวลา เข้าที่คับขัน
ดิฉันเจอเพื่อนสหธรรมิกคนหนึ่ง เป็นคนมี ฐานะตระกูลเขาเล่าให้ฟังว่า เมื่อเด็กๆ เขาเป็น
ยอดดาวร้าย เวลาเล่นกับข้าทาสบริวาร ถ้าเขาแพ้ ก็จัดแจงกำทรายซัดใส่ตาอีกฝ่ายเลย เมื่อมาปฏิบัติ ก็รีบทำบุญเป็นการใหญ่ เพื่อว่าบุญจะได้ช่วยล้าง บาป แล้วก็มีกำลังใจว่ากรรมร้ายเหล่านี้คงไม่ตาม มาถึงเขาแล้วเขาพบว่าไม่จริง เราทำอย่างไหนไร้เราต้อง ได้รับอย่างนั้น เขาเล่าว่า วันหนึ่ง มีห่อของที่รัด ด้วยยางสติ๊ก มันรัดแน่นเสียจนกระทั่งเขาแกะเท่า ไรก็แกะไม่ออก ต้องก้มลงไปดูใกล้ๆ เพื่อจะแกะให้ ถนัด มันก็ขาด ยางสติ๊กดิดเพี้ยะเข้ามาที่ลูกนัยน์ตา แบบเดียวกับที่เขากำทรายซัดใส่ตาดู่ปรปักษ์จนลืม
ตาไม่ขึ้นร้องไห้
เด็กพวกนี้ถูกพ่อแม่ปรามเอาไว้ สมัยก่อนเจ้า ขุนมูลนายทำอะไร ถือว่าถูกทั้งนั้น เด็กเหล่านี้ไม่ ได้โกรธแค้นจองเวรเขา แต่ตัวการกระทำ กายกรรม ของตัวเขานั้นแหละ เราทำกรรมอย่างไหน กรรม อย่างนั้นก็จะเป็นเงาตามตัว เป็นมรดกให้เราต้อง เสวยผล ปรากฏว่า พอยางสติ๊กดีดใส่ตา เลือดออก ตาขาวกลายเป็นสีแดงไปหมดทั้งตา รีบไปโรงพยาบาล คุณหมอบอก โชคดีนะครับที่โดนแต่ตาขาว ถ้าโดนตรงแก้วตา คุณตาบอดไปแล้ว เขาต้องนอน โรงพยาบาลเอาครอบตาครอบไว้ หยอดตา พักนิ่งๆ อาทิตย์หนึ่งถึงกลับบ้านได้ กลับบ้านแล้วยังต้อง เอาครอบตาปิดเอาไว้ ห้ามดูโทรทัศน์อ่านหนังสือ พักสายตาไปอีกเดือนหนึ่งเขาบอก เดี๋ยวนี้ผมเชื่อเลยว่า อะไรที่เราทำ เอาไว้ มันหนีไม่พ้นหรอก แต่ถ้ามีบุญมีกุศลประตับ ประคอง ก็ทำให้เรามีกำลังใจบุญบาปหักกลบลบหนี้กันไม่ได้ เหมือนอย่าง กับเรารู้ว่า เรามีบาปเท่ากับ 100 บาท ก็รีบทำบุญ สะสมไว้ให้มีเท่ากับ 400 บาท ไม่ใช่ว่าบาป 100นะ เอ้า..ใช้ไป เหลืออีก 400 ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ บุญและบาปประคับประคองกันได้ ถ้าเราไม่เคยทำ บุญเลย แล้วเราทำบาปนิดเดียว เหมือนเม็ดทราย เล็กๆ พอเอาทิ้งลงนํ้า เม็ดทรายก็จมลงก้นบ่อ บาป นิดเดียวที่ไปทำมดตายคัวหนึ่ง ก็ทำให้ใจหมองจน กระที่งตกนรกได้แต่ถ้าเรามีต้นทุนบุญกุศล เปรียบเหมือนเรา มีกระดาษ พอเอาทรายเม็ดเล็กๆ วางลงไป ทราย ไม่หนักพอที่จะทำให้กระดาษจมนํ้าบุญประคับประคองให้เกิดปัญญา คิดว่าถึงเราไปเจอะเจอเรื่องร้าย เหมือนคุณคนนี้ตาเจ็บถึงแค่นี้ เราก็มีเงิน ทอง สามารถเลือกหมอให้อุ่นใจว่า เขาต้องรักษาให้ เราตาไม่บอดได้บุญก็ประคองให้เรามืกำลังใจ ที่จะยอมรับ ความยากลำบาก เพื่อชดใช้หนี้สินให้หมดขณะเดียวกันเราก็เรียนรู้ แต่นี้ต่อไป จะไม่เผลอใจไปทำ อะไรที่ไม่ดีอีกแล้ว ชีวิตก็สอนให้ใจของเราพัฒนา เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ให้เชื่อ รู้เห็น เป็นธรรมขึ้นมา
ทีนี้ถึงจะมีคนดูแลเรา หรือไม่มืคนดูแลเรา เราก็ไม่ทำชั่วอีกแล้ว เหมือนที่ดีฉันเล่าเมื่อกี้นี้ ถ้า
ไม่มีตำรวจอยู่ ทั้งๆ ที่เขาห้ามเลี้ยวขวา แต่ถนน มันว่างดี เราก็เลี้ยวออกไปเลย แบบนี้มันก็ต้องมี กฎหมาย มีตำรวจคอยเฝ็า ถ้าช่วงไหนผู้คนเป็นบ้า สังคมก็ปันป่วนไปหมด เพราะทุกคนเห็นวิปริตไปว่า มีกฎที่ไหน ก็ต้องแหกมันถ้าใจเราเป็นธรรม กฎหมายก็กลายเป็นศีลที่ พระพุทธเจ้ามัญญ้ตเอาไว้ ศีล 5 นี่ ท่านบ้ญญ้ต เอาไว้เพื่อให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข แต่ละคนมีศีล 5 ในใจ ไม่ต้องมีตำรวจ เราเป็นตำรวจคอยสับผู้ร้าย ในตัวเอง ทุกคนมีใจที่ละอายต่อความผิดความชั่ว อะไรที่ผิดศีล ถึงไม่มีคนรู้คนเห็น เรารู้เราเห็น เรา อายตัวเรา เราไม่ทำ บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุขไม่มีคนเป็นชู้ สักขโมย ปล้นจี้ ฆ่าฟันกัน ไม่ พูดโกหก ให้สับสนอลหม่าน ไม่มีขี้เหล้าขับรถชน ซ้ายชนขวา ตกลงอะไรก็ดีกันไปหมด ไม่มีความ ระแวงแคลงใจกันใจที่เกิดความระแวง เกิดความสงสัย ไม่ไว้ เนื้อเชื่อใจกัน เป็นเพราะเราไม่ไว้ใจตัวเอง มีโอกาส ไม่ไต้ด้วยเล่ห์เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์เอาด้วย คาถา เพราะฉะนั้น พออะไรไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราหวัง.. ไอ้คนนั้นแหละมันแกล้งเรา ไอ้คนนี้แหละมันขโมยเรา.. ถ้ามีโอกาส เราขโมยเขา เรา แกล้งเขา เพราะกิเลสยุแยงว่า ทำอย่างนั้นแล้ว เรา สาแก่ใจเราก็เลยไปคิดเอาว่า คนอื่นๆ ก็เป็นอย่างเรา เพราะเราเอาตัวเราเป็นมาตรวัด ที่คนเป็นโรคจิต โรคประสาทกันทุกวัน ก็เพราะใจมีตะกอน มีแต่ ความสะดุ้งผิดของตัวเอง แล้วก็ทำเงาขึ้นหลอกตัว เอง เมื่อรู้อย่างนี้ แต่นี้ต่อไปเรานับถือตัวเรา เรา ไม่โกงใครไม่เห็นเราเห็น ใครไม่รู้เรารู้ เราอายตัวเรา เราไม่ทำ ใจก็ไม่มีตะกอนที่จะมาสะดุ้งผวา
มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น เราก็ยอมรับผิด ถ้า ไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น เราก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่เรารู้มันไม่ถูก เราเลยไม่มีโอกาสช่วยตัวเอง ไม่มีโอกาสปรับปรุง ตัวเอง ความผิดไม่ใช่สิ่งน่ากับอายไม่ทำให้เราเสีย หน้าแล้วแค้นใจ เราขอบคุณนะที่เขาสอนเขาบอก เรา ให้เราน้อมความผิดเป็นครู
ถ้าทำแล้วถูก เราก็มั่นใจว่า แต่นี้ต่อไป ความ คิดความอ่านสติปัญญาของเรา พอจะคุ้มครองตัวได้ ถ้าไปตกอยู่ในที่กันตราย เราคงคิดรักษาตัวรอดได้  มันก็ทำให้เราเกิดความมั่นใจ ต่อไปเราสามารถพึ่ง ตัวเองได้ ไม่ได้คิดจะไปพึ่ง ไปอ้างอิงใครเอาไว้ เพื่อ เขาจะได้คุ้มครองเราถ้าไปอิงอาศัยคนอื่นสิ่งอื่นอยู่ มันหมดอิสร ภาพ เพราะเราไม่รู้วันไหนเขาจะทวงว่า ..ที่ข้าคุ้ม ครองเจ้าเอาไว้ วันนี้เจ้าต้องตอบแทน ไปฆ่าไอ้คน นี้ให้ที..เราก็ซวยไปเลย เพราะว่าบุญคุณต้องชำระ เราก็เลยไม่รู้ว่า วันนี้เราจะเป็นคนดีหรือเป็นคน ร้าย เพราะเราไม่รอบคอบ เอาชีวิตเราไปอิงอาศัย คนอื่น ไปขอยืมจมูกเขาหายใจ
แต่ถ้าทำอย่างที่คุยวันมา เรามั่นใจว่าพึ่งตัว เองได้ เหมือนเสมียนจัตวา ถึงฉันเป็นเสมียนจัตวา หนทางฉันก็กว้างไกล ฉันจะเป็นเสมียนตรี เสมียน โท มันก็มีกำลังใจ ถ้าเป็นอย่างนี้ อยู่ที่ไหนๆ ใจก็มี ความสุข อยู่ที่ไหนๆ เราก็อิ่มเราก็พอ มีน้อยเราก็ ใช้น้อย มีมากเราก็ใช้มากเราไม่เผลอสติรั่วไปคิดว่า ก็เขามีเราต้องมี ทั้งๆ ที่เขามีจริง แต่เราต้องไปกู้หนี้ เสียดอกเบี้ย เคราะห์หามยามซวย ที่คิดว่า เราจะไปเสียดอกเบี้ย ได้ เกิดเป็นไส้ติ่งอักเสบ ไปผ่าตัด ค่าหมอค่าโรง พยาบาล หน้ามืดเลย ดอกเบี้ยก็ทับถมขึ้นไป
การไม่มีสติปัญญาเป็นเข็มทิศส่องทางให้เฟ้น เที่ยงแท้ ให้เฟ้นตามเป็นจริงนี่ ชีวิตของเราเสี่ยงภัย อันตรายกระพริบตาที มีแต่ปัญหา แล้วก็เครียดทำให้ตัวเองเป็นโรคนามรูป แผลในกระเพาะ ความ ตันเลือดสูง หอบหืด ภูมืแพ้ ค่าหมอค่ายาก็ดุร้าย ทารุณ เราสร้างแต่หนี้ให้ตัวเอง
แต่ถ้าคิดเป็น คิดถูกแล้ว ชีวิตมีแต่จะคลี่ คลาย เรายากจนอดมื้อกินมื้อแต่เราเก็บหอมรอมริบ อะไรทำได้เราทำเอง ใครเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ว่า เรา เราไม่อาย เพราะเราบริสุทธสุจริต มองคนได้ เต็มตา ใครจะท้าทายว่าเราจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ ไหน ก็วางไว้บนบ่าของเรานี่แหละ เราไม่ได้ไปขอ ทานใครกินนี่นาถ้าฝึกใจของเราให้มืกำลังเข้มแข็ง มีภูมีคุ้ม กนอย่างนี้ วันหนึ่งเราก็จะก่อร่างสร้างตัวได้ เราก็จะ มีความสุข ลูกเต้าเห็นเราดีอย่างนี้ เขาก็ประพฤติ ตาม เพราะได้เฟ้นประจักษ์เป็นตัวอย่างแล้ว
แต่ทุกวันนี้ ตัวอย่างที่เป็นของจริงอย่างนี้ไม่ใคร่มีเหมือนครอบครัวหนึ่ง แม่สอนลกว่า ต้องเป็น
คนพูดจริง อย่าโกหกเป็นอันขาด สอนจนกระทั่งลูก ตกปากรับคำแล้ว ปรากฏโทรศัพท์ดังขึ้น สาวใช้ก็มา บอก คุณคะ โทรศัพท์จากคุณแจ๋วค่ะ แม่ป้องปาก.. ไปบอกคุณแจ๋วว่าฉันไม่อยู่ตกลงลูกก็ ..อ้อ แต่นี้ต่อไป ถ้าแม่เฟ้น เราไม่ โกหก แต่ถ้าแม่ไม่เห็น โกหกได้ เพราะว่าแม่ก็อยู่ แต่แม่บอกสาวใช้ไปบอกคุณแจ๋วว่า.. ฉันไม่อยู่.. แม่เองสอนอย่างแต่ทำอีกอย่าง เมื่อเป็นอย่างนี้ คำ สอนก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วเราก็สรุปว่า ลูกสมัยนี้ว่ายากสอนยากแต่ลืมทบทวนว่า เราสอนอะไรเขา
ปากเราสอนอย่างหนึ่ง แต่การกระทำของเราสอน อีกอย่างหนึ่ง เราเองเป็นคนทำให้เขาสับสน
จุดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ คือฐานของชีวิตเรา คืออิฐแต่ละแผ่น แต่ละแผ่น แต่ละแผ่น ที่จะทำชีวิต เราให้แน่นหนามั่นคง หรือไห้เหมือนไปสร้างบ้านอยู่ บนตลิ่งทราย นํ้าซัดมาทีหนึ่งตลิ่งก็ถูกเซาะ วันดี คืนดีบ้านทั้งหลังเลยเซลงไปในนํ้า พังหายไป
เราถึงพบว่า ชีวิตคนบางทีก็โรจน้รุ่ง จนเรา ร้สึกอิจฉาว่า เขาอยู่ไปจนตายก็คงใช้ไม่หมด วันดี คืนดี อ้าว.. เขาล้มละลายไปเสียแล้ว หรือประสบ อุบัติเหตุ เป็นบ้า เป็นอะไรไปเสียแล้ว หรือดีไม่ดีก็ ถูกยิงตายไป คือ ไม่อยู่จนแก่ ทุกอย่างผันผวนเสีย จนกระทั่ง นี่มันอะไรกัน ความจริงหรือความฝัน
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า อะไรในโลกนี้ อย่า ไปยึดมั่นสำคัญผิด มันเกิดได้ มันก็คับได้ ตั้งอยู่ แล้วก็แปรเปลี่ยนไปได้ เป็นอนิจจัง ไม่มีสาระแก่น สาร เรากำลังแข็งแรงหนุ่มแน่น ก็อาจจะหัวใจวาย ตายไปได้ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นคัวเป็นตนของเรา ให้เราไปยึดมั่นสำคัญผิด มันเป็นอนัตตา ถ้าใครไป ยึดเอาไว้ก็ทุกข์ชัดๆเราเปรียบเทียบชีวิตเหมีอนก้อนนํ้าแข็ง เมื่อ เอาออกมาจากซ่องแข็ง ใส่ครอบแก้วเอาไว้อย่างดี ไม่ให้อะไรเข้าไปกระทบกระเทือนได้ ตั้งเอาไว้ใน ห้องแอร์อย่างนี้ ใครอย่ามาถูกอย่ามาแตะนะ แต่ อุณหภูมิที่ไม่ตํ่าถึงจุดเยือกแข็ง ก็ทำให้ก้อนนํ้าแข็ง ค่อยๆ ละลาย.. ละลายกลายเป็นนํ้าไปเราว่า.. เราอยู่ดีมีสุข งานการไม่ทำให้เกิน กำลัง เราก็แก่ ไม่อยากแก่มันก็แก่ เพราะมันเป็น ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ที่เกิดมาแล้วก็แก่ทุกเวลา นาที แต่ช่วงแรกที่แก่นี่เราพอใจ เพราะไปเห็นว่ามันโตขึ้น ขยายตัวขึ้น แท้ที่จริงมันก็เหมือนมะเร็งมันโตขึ้น เราพอใจ ครั้นถึงจุดหนึ่ง มันเริ่ม คล้อยหดเล็กลง เราต่อสู้ ผมหงอกหรือ หายามา ย้อม แก่ไม่ได้ จะต้องทำให้แข็งแรงเอาไว้ เพราะ เราไม่รู้ความเป็นอนตตาของชีวิตอันนี้ เราถึงทุกข์ ถ้าเราเข้าใจ เรามีเข็มทิศ มีปัญญาเทินตามเป็นจริง พออะไรเกิดขึ้น.. ก็มันเป็นไตรลักษณ์ มันเปลี่ยน แปลง มันไม่มีสาระแก่นสาร ใจอย่าไปยึดผิดเทิน ผิด จะทุกข์โดยใช่เหตุเราจะเอาใจไปวางเป็นเชียง ให้อะไรที่เกิดขึ้น มาลับเราทำไม เก็บใจเราไว้กับตัวของเรา เราจะได้ มีความสุข ธัมมะเป็นเครื่องช่วยประคับประคองให้ ใจเกิดความรู้ ไม่ใช่กดเก็บ ..เขามีได้มีไป อย่าถึง ทิตูบ้าง.. ถ้ากดเก็บอย่างนี้ วันหนึ่งที่มันระเบิดขึ้น มา คราวนี้ยุ่งยากมาก ต้องไปหาจิตแพทย์ธัมมะไม่สอนให้กดเก็บ แต่สอนให้เทินเข้าไป ถึงสาเหตุ ถึงรากเหง้า แล้วยอมรับตามความเป็น จริง ใจจึงเกิดความเบาสบาย เกิดความเป็นปกติ เห็นตามนี้ เราจะได้เอาธัมมะมาเป็นฐานรองรับใจ เอาไว้ มีสฃเราก็ไม่สติแตก สขจนกระทั่งเป็นบ้า
ตายไป เหมือนเรื่องที่เณรเล่า ไม่ทราบเรื่องจริงหรือ เรื่องนิทานเณรเล่าว่า มืคนไข้คนหนึ่งเป็นโรคหัวใจ ต้อง ไปหาหมอเป็นประจำ วันหนึ่งลูกพาคนไข้ไปหาคุณ หมอ แล้วบอก คุณหมอครับ ช่วยบอกแม่ผมทีเถอะ ล้อตเตอรื่ที่แม่ผมซื้อไว้ถูกรางวัลที่หนึ่ง ถ้าผมบอก เดี๋ยวแม่จะดีใจจนหัวใจวาย คุณหมอก็รับทราบเจรจากับคุณแม่ถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่องนั้นไป จน กระทั่งคุณแม่ชักเพลิน ก็ถามว่า เออ.. ถ้าคุณแม่ถูก ล้อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง คุณแม่จะทำยังไงครับ
คุณแม่ตอบ โอ๊ย.. พ่อหมอก็มืบุญคุณกับฉัน มาก ถ้าพ่อหมอไม่ดูแลฉันอย่างดีนึ่ ฉันคงตายไป นานแล้ว ถ้าฉันถูกล้อตเตอรื่รางวัลที่หนึ่ง 12 ล้าน 6 ล้านฉันยกให้พ่อหมอเป็นค่าตอบแทนปรากฏว่าคุณหมอข้อคตายไปเลย แต่คุณแม่ ไม่ตายถ้าใจเราไม่มีฐานรองรับ ดีใจมากก็ตายตกลง 6 ล้านเปล่าประโยชน์ คนไข้เลยได้ 12 ล้าน ครบถ้วนเราต้องหาภูมิตุ้มกันให้ใจเรา ไว้ใช้เป็นหลัก ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อให้โรคนามรูปไม่ เกิดขึ้น แล้วกิระมัดระวังรักษาตัวให้ไม่ตกตาไปเป็น เห็นหรือไปเป็นอะไรที่คุ้มครองตัวเองไม่ได้ เผลอๆ ไปเป็นปูนา ลูกเอาไปดองเป็นปูเค็มเสียก็ไม่รู้ ไม่เอา หรอกถ้าเราคอยมองดูใจของเรา มันจะเห็นจริงอย่าง นี้ ระหว่างที่ใจคิดอะไรออกไป ถ้าเป็นความคิดที่ ดีที่สร้างสรรค์ จะมีกำลงเหมือนปรมาณูเพื่อสันติ พลังนี้จะโน้มน้าวสังคมรอบๆ ให้ร่มเย็นเป็นสุข พืชพันธุ์ธัญญาหารให้อุดมสมบูรณ์ ฝนฟ้าให้ตกถูก ต้องตามฤดูกาลถ้าเราปฏิบติจริงลัง ละเอียดเข้าไปแค่ไหน ผลของมันก็ละเอียดลึกซึ้งตามไปแค่นั้น สังคมกิร่ม เย็นเป็นสุข เป็นสังคมที่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัย อย่างมีสุขภาพจิตแข็งแรง เป็นสุข ปีติอิ่มเอิบ กาย ก็สงบร่มเย็นไม่มีโรคภัยไข้เจ็บถ้าเราคิดผิดว่า สังคมสมัยนี้ ใครขืนมัวแต่ เป็นธรรมอยู่ ก็สูญพันธุ์ เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ต้องนํ้าขึ้นให้ริบตัก มีโอกาส มือยาวสาวได้สาวเอา เพราะคิดอย่างนั้น เราจึงทุกข์เดือดร้อน อย่างที่ เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ แล้วดีไม่ดืกิจะทุกข์เดือดร้อนจนกระทั่งเราเองไม่มีโลกจะอยู่อาศัย ถ้ายังไม่ตาย ถึงตอนนั้น เราก็ต้องตาย เพราะอะไร เพราะเราตัดไม้ทำลายป่า ออกซิเจนก็ไม่มีจะหายใจเหมือนยับนิทานอีสป ที่แม่เนื้อหลบนายพรานเข้าไปช่อนในพุ่มเถาวัลย์ นายพรานมองไม่ เห็น ก็เดินเลยไป แม่เนื้อชะล่าใจว่านายพรานไปแล้ว ก็เล็มใบเถาวัลย์กินอย่างอร่อยปาก เหมือนเราอยู่ยับ ธรรมชาติแวดล้อม นึกอยากจะทำอะไรให้อากาศ เป็นพิษ ดินเป็นพิษ นั้าเป็นพิษ เราก็ทำตามอำเภอ ใจนายพรานหวนกลับมา คราวนื้เถาวัลย์โปร่ง เห็นแม่เนื้อเป็นเป้านิ่ง ก็ยิงได้สบายเราก็เหมือนกัน หลังจากที่ทำจนอากาศเป็นพิษไปหมด เราก็ ไม่มีอากาศจะหายใจ ถึงจะเอาหน้ากากมาใส่ ก็ไม่รู้ จะเอาอากาศบริสุทธิ้ที่ไหนหายใจเข้าไป เราก็แย่ ดิน ก็เป็นพิษ ทำให้พืชพินธุธัญญาหารที่จะมาเป็นอาหาร ขาดแคลน นั้าก็เป็นพิษ สัตว์นั้าที่เป็นอาหารอยู่เราจะทำยังไง เท่ากับเราฆ่าตัวตายโดยไม่รู้ ตัว ในที่สุดเราย่อมอยู่ไม่ได้
เพราะธรรมชาติทรง ความยุติธรรมอยู่เสมอ เรานึกว่าเราเก่ง เราดึงเอา ธรรมชาติมาใช้อย่างล้างผลาญ กันหนึ่งเราก็ต้อง ชดใช้ด้วยชีวิตของเรา เอาร่างกายเป็นปุ๋ยคืนความอุดมสมบูรณ์ให้ธรรมชาติแล้วเราก็มาเริ่มกัฏจักรกัน เหมือนสมัยที่โลก ตั้งต้นใหม่ เป็นสะเก็ดดาวร้อนหลุดมาจากดวงอาทิตย์ พอค่อยเย็นเช้า สารอินทรีย์เกิดความพอเหมาะพอดี เกิดเป็นอมีบาขึ้นมา ทางชาดกก็พูดถึงกำเนิดของโลกเอาไว้ว่า โลกเป็นสะเก็ดดาวหลุดออกมา ตอน แรกก็เดือดเหมือนอย่างกับไอจากภูเขาไฟที่เดือด พ่นออกมา พอเริ่มเย็น ก็เหมือนเราเคี่ยวซุปให้ข้น จนจะแข็งตัวในชาดกกล่าวว่า มีพรหมที่กินปีติเป็นอาหาร ตัวใสเป็นแสงสว่างเรียกอากัสรพรหม อาภสราแปล ว่าสว่าง สุกใสพรหมพวกนี้มืแสงในตัว เหาะมาถึง ได้กลิ่นหอมของตินที่กำกังอุ่นๆ เรียกว่า ง้วนดิน ก็เกิดอุตริ ปกติพรหมพวกนี้กินปีติเป็นอาหาร อยาก จะลองชิมง้วนดินว่า รสชาติเป็นยังไง ก็พากันมา
แคะง้วนดินกินเมื่อกินดินเข้าไป ตัวซึ่งใสเบาเหาะได้ก็ค่อยๆ ทึบหนักขึ้นจนเหาะไม่ได้ เลยมาเป็นต้นกำเนิดของ มนุษย์ เมื่อเป็นพรหม ไม่มีเพศหญิงเพศชาย แต่ พอกินดินเข้าไปแล้ว ตัวมีสีเปลี่ยนไป บางคนก็ยัง ขาวอยู่ บางคนก็ดำคลา ผิวพรรณเริ่มแตกต่างกัน ต่างก็จ้องมองกัน เกิดความกำหนัดขึ้น
จิตใจไม่มีสดิรักษาเพียงพอ เริ่มด้นจากเป็น พรหมดีๆ หลงในกลิ่นในรส เห็นแก่ปากแก่ท้อง จน กระทั่งเหาะไม่ได้ เปลี่ยนจากพรหมมาเป็นคน ตอน แรกที่เป็นคนก็ยังไม่ต้องเดือดร้อน นึกอยากก็มีกิน ได้ทันที
ต่อมาง้วนดินก็เปลี่ยนไปโดยลำตับจนกลาย เป็นด้นข้าว เติบโตออกรวงมาเป็นข้าวสาลีที่ไม่ต้อง หุงต้ม ไม่มีเปลือกหุ้ม เก็บมาก็กินได้ทั่งเม็ดเลย เก็บ ไปกินเข้า ตกเย็นก็ออกรวงมาเต็มอย่างเดิม เก็บ เย็น รุ่งขึ้นเข้าก็เต็มอย่างเดิมเริ่มต้นมาเป็นคนแล้ว เกิดจ้องมองกันไปมอง กันมา มีความกำหนัดเกิดขึ้น ร่างกายเกิดอวัยวะเพศเกิดความละอายในความแตกต่างของรูปร่าง
กาย แสวงหาใบไม้มาปกปิด หาที่มุงที่บังทำเป็น บ้านเรือน เสพสังวาสเกิดเป็นครอบครัวขึ้นมา
ต่อมาก็เห็นแก่ตัว โลภ.. ต้องไปเก็บข้าว หิว เช้าก็ไปกินเข้า เย็นก็ไปกินเย็น อย่ากระนั้นเลย ก็มี บางคนเก็บมาตุนเอาไว้ 2-3 วัน คนอื่น.. ไอ้นี่เล่น ตุน 2-3 รัน เดี๋ยวเราไปไม่มีเหลือ ทุกคนต่างก็เก็บ มาตุนหมด
ข้าวสาลีที่เคยอุดมสมบูรณ์ เก็บเข้าเย็นก็เต็ม เก็บเย็นเข้าก็เต็ม ก็เริ่มวิปริต บางเม็ดเริ่มแกร็น
หรือมีเป็นเปลือกห่อทุ้ม ผู้คนทะเลาะทุบตีแย่งชิงกัน เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายทั่วไป ในที่สุดก็ประชุม สันว่า ต้องคัดเลือกใครที่มีกำสังแข็งแรงยกขึ้นเป็น หัวหน้า เกิดระบบ สมมุติเทพ เป็นพระเจ้าแผ่นติน มีอำนาจ เพื่อปกครองอาณาจักรให้สงบร่มเย็นมันเริ่มต้นจากความบริบูรณ์ อยู่ดีกินดี อุดมสมบูรณ์พูนสุข แต่ใจที่ไม่รู้ธรรม ไม่เป็นธรรม ก่อ ปัญหาขึ้นมา จนในที่สุดก็มาเป็นโลกที่เราอย่กันทุกวันนี้
ถ้าปล่อยให้ความรู้ไม่เท่าทันความเป็นจริง ลากจูงใจของเราไป ทำร้ายตัวเราไปเรื่อย ๆ โลกนี้ก็
คงพังเหมือนอย่างที่เราเรียนประวิดิศาสตร์ แล้วพบว่าพังไปเป็นยุคๆ นั่นแหละ แล้วเราก็ต้องเอาร่าง กายของเราไปใส่เป็นป๋ย จนกระทั่งดินกลับฝื้นคืนดี กลับมัผู้คนอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาใหม่เรื่องนี้ไม่ไกล เกินจริง เราพบว่า ตอนนี้มีโรค เอดส์คุกคามอีก 4-5 ปีข้างหน้า พลโลกจะร่อยหรอ เหลือไม่ถึง 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของ ประชากรเดี๋ยวนี้ ถึงตอนนั้น ใจที่เคยคะนอง ใจที่ บอกทำชั่วได้ดีมีถมไป คงเห็นธรรม เห็นสัจธรรม ขึ้นมา แล้วกลับมาเป็นโลกยุคที่มืความสงบ มี ความเที่ยงธรรม เป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุขรู้อย่างนี้ เราอย่าคอยจนกระทั่งกลายเป็น เหยื่อของเอดส์หรือโรคอะไรไป เราป้องกัน เรามี ชีวิตอยู่อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้เป็นอยู่ด้วย ความไม่ประมาทจะดีกว่าการป้องกัน ช่วยให้โอกาสที่จะเกิดการสุญเสีย หรือเราจะมาเสียใจเมื่อ ภายหลังน้อยลง แล้วเราก็ได้กำไร คือทำให้ใจมี ทิศทางและมีกำลังถูกต้อง จะได้ดำเนินชีวิตอย่าง ปลอดภัยเหลือเวลาอยู่ 5  นาที มีข้อสงสัย จะถาม อะไรไหมคะถ้าไม่ถาม ดิฉันจะสรุปเอาเองว่า ทั้งหมดที่ คุยให้ฟัง พวกคุณยอมรับ แล้วจะนำไปใช้ให้เป็น ประโยชน์ เป็นแนวทางดำเนินชีวิตถ้าเอาไปไตร่ตรองพิจารณา ก็จะยิ่งเห้นประโยชน์ซัดขึ้นก่อนที่ตัวเองจะมาแกอบรมใจ ก็คิดอย่างคน ที่โง่แล้วนึกว่าตัวฉลาด แบบคนสมัยใหม่ที่หลงว่าตูรู้ ตูเป็นนักวิทยาศาสตร์ ครั้นมาเรียนรู้ มาแกไป แก ไป จึงรู้ว่า อันที่จริงแล้ว เรายังโง่เซ่อกับเรื่องของ ใจมาก ยิ่งแกไปเท่าไรก็ยิ่งเห้นตามเป็นจริงยิ่งขึ้น เท่านั้น จึงได้เอามาเล่าสู่กันฟังหวังว่า 3 ชั่วโมงนี้คงเป็นประโยชน์กับชีวิต ในภายภาคหน้าของคุณ ก่อให้เกิดธรรมประตับ ประคอง เป็นฐานใจที่แน่นหนา พาชีวิตให้ผาสุก ร่มเย็น ประสบในสิ่งที่ชอบประกอบด้วยธรรม
พิมพ์โดย      ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา    http://web.krisdika.go.th/buddha/45_tamma_life.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top