Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บรรยายของหมออมรา สันติภาพยังโลกให้ร่มเย็น

บรรยายของหมออมรา
สันติภาพยังโลกให้ร่มเย็น

บรรยายโดย พญ.อมรา มลิลา
เมื่อ               2529
              โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หมวด
อันดับที่            

ถ้ามีใครมาตั้งคำถาม ถามเราว่า ทำอย่างไร โลกและสรรพสิ่งทั้งหลาย จึงจะอยู่กันอย่างสงบ ร่มเย็น ผาสุก เราจะตอบว่าอย่างไร?
บางคนคงตอบว่า เราต้องเสียสละ ไม่เอารัดเอาเปรียบ อีกบางคนแย้งว่า ไม่ใช่ เราต้องเมตตากรุณา ให้อภัยต่อกันและกันต่างหาก หรืออีกบางคนก็เชื่อว่า เราต้องเคารพกฎกติกา ยุติธรรม และมีระเบียบวินัย ทุกอย่างจึงจะเรียบร้อยสงบสุขต่างคนต่างก็มีทัศนะของตน สุดแล้วแต่ประสบการณ์ใดจะเป็นสิ่งประทับฝังใจมาทุกทัศนะล้วนมีส่วนจริงด้วยกันทั้งสิ้นโลก ประกอบด้วยหมู่สัตว์ คือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย และธรรมชาติ
ธรรมชาติ ทำหน้าที่คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายให้แก่สรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลก ดุจเดียวกับเถาวัลย์และแม่เนื้อในนิทานอีสปครั้งหนึ่ง แม่เนื้อตัวหนึ่งหากินอยู่ชายป่า รู้ตัวว่านายพรานกำลังตามล่า จึงวิ่งลัดเลาะไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มเถาวัลย์ใบดกหนา นายพรานมองไม่เห็นเลยเดินผ่านไป แม่เนื้อเกิดชะล่าใจและเล็มใบเถาวัลย์กินจนโปร่งตา เมื่อนายพรานย้อนกลับมาจึงแลเห็นได้แต่ไกล สามารถยิงแม่เนื้อถึงแก่ความตายได้สำเร็จ
เราเองก็ดุจเดียวกับแม่เนื้อ อาศัยออกซิเจนจากอากาศหายใจเข้าไปฟอกโลหิตดำให้เปลี่ยนกลับเป็นโลหิตแดง หมุนเวียนหล่อเลี้ยงร่างกายให้ปกติอยู่ได้ แทนการช่วยการระวังรักษาอากาศให้บริสุทธิ์ เรากลับสร้างมลพิษ จากปล่องโรงงาน ท่อไอเสียรถ ...ฯลฯ... ทำให้อากาศเป็นพิษ ควันกรดประสานทองจากร้านทอง ที่ไม่มีการควบคุม ระเหยอิ่มตัวอยู่ในอากาศ บริเวณรอบ ๆ เมื่อผู้คนบริเวณนั้นสูดหายใจเข้าไป มิช้ามินานก็เกิดการอักเสบของเนื้อปอด แล้วกลายเป็นเยื่อพังผืด ทำให้ถุงลมพร่องคุณภาพสำหรับทำหน้าที่หายใจตามปกติ
ปัจจุบันเราจึงพบกลุ่มอาการแพ้อากาศ โรคของปอด และความเสื่อมโทรมของสุขภาพ ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ควบคุมสภาวะแวดล้อม ให้กลับบริสุทธิ์เช่นเดิม
นอกจากอากาศแล้ว แผ่นดิน แผ่นน้ำก็ทำนองเดียวกัน เราโค่นป่า ทำให้ขาดต้นไม้ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตออกซิเจน แผ่นดินที่ขาดร่มเงาของป่า เริ่มร้อนระอุ ไม่เหมาะกับการงอกงามของพืชล้มลุก ซึ่งเป็นอาหารของคนและสัตว์ แผ่นน้ำสกปรก เน่า จากน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรมท่วมล้มลงไป เป็นอันตรายต่อชีวิตของสัตว์น้ำที่เราอาศัยเป็นอาหาร และจุลินทรีย์ที่ช่วยปรับน้ำให้สะอาดความไม่รอบคอบ มักง่าย เห็นแต่จะถ่ายเดียวเหล่านี้สร้างความปั่นป่วนให้แก่สมดุลธรรมชาติ ทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว ยังผลให้ดินฟ้าอากาศวิปริตแปรปรวน เกิดข้าวยากหมากแพง ทุพภิกขภัย เมื่อผู้คนเดือดร้อน แร้นแค้น อดอยากจิตใจย่อมไร้ความสงบ หวั่นกลัว เอารัดเอาเปรียบ เพื่อความอยู่รอดของตน
สันติภาพจึงห่างไกลจากชุมชนกลุ่มนั้นผู้อนุรักษ์สันติภาพ จึงอนุรักษ์ธรรมชาติ ควบคู่กันไป
ความเขียวชอุ่มของแมกไม้ มีผลช่วยให้จิตใจสิ่งมีชีวิตร่มเย็น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน เพราะต้นไม้ไม่เคยเอารัดเอาเปรียบด่าทอใคร ต้นไม้มีแต่ “ให้” ให้ร่มเงา ให้ความชุ่มฉ่ำ ให้ดอกให้ผล ให้แม้กระทั่งชีวิตของตนเป็นอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ตลอดถึงที่อยู่อาศัยของมนุษย์เมื่อรู้จักรัก และรู้ในคุณค่าของธรรมชาติแล้ว จิตใจของเราจะเริ่มอ่อนโยน พอใจในความสงบ ไม่ก้าวร้าว ก่อวิวาทกับผู้อื่น
เด็กยุคปัจจุบัน ขาดโอกาสจะสัมผัสธรรมชาติ เพราะใช้เวลาหมดไปกับการนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ คุ้นเคยกับเสียงอึกทึกของดนตรี หรือรายการบันเทิงที่ให้แต่อารมณ์ พี่ ๆ น้อง ๆ ขัดใจกัน คับเครียดไปตามเนื้อหาของรายการ ที่มีแต่แก่งแย่งชิงอำนาจกัน ในระหว่างพี่น้อง เพื่อนร่วมสำนัก แล้วตัดสินด้วยการใช้พลกำลัง ประหัตประหารกันถ้าเปรียบจิตใจเป็นฟองน้ำ ก็ซับเอาแต่น้ำที่มีพิษมีภัยเข้าไปเต็ม เพราะการได้เห็นได้ยินได้ฟังแต่เรื่องทำนองนี้ เป็นผลให้จิตใจหยาบกร้าว เคยชินต่อการเบียดเบียน ข่มขู่ รุกรานผู้อื่น เพื่อให้ความปรารถนาของตนสัมฤทธิ์ผล โดยไม่คำนึงถึงจิตใจผู้อื่น
เด็กที่ขาดการฝึกอบรม จะขาดความยับยั้งชั่งใจ แลไม่นึกถึงหัวใจผู้อื่น ดังเช่นลูกช้างเกเร กาลครั้งหนึ่ง มีลูกช้างตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า ไม่มีผู้อบรมสั่งสอนให้ลูกช้างรู้จักวางตัวในการคบหาสมาคมกับผู้อื่น รู้การผ่อนปรน เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อไม่กระทบกระทั่งหักหาญน้ำใจผู้อื่น ลูกช้างจึงเติบโตขึ้นมาด้วยความเอาแต่ใจตัวเป็นที่ตั้งวันหนึ่งลูกช้างเดินเล่นไปตามทาง แม่นกไส้ก็บินมาขอร้องให้ไปเที่ยวทางอื่นเสีย เพราะพายุพัดรังของแม่นกซึ่งมีลูกอ่อนยังบินไม่ได้สองตัว ตกลงมาริมทางที่ลูกช้างจะผ่านไป แม่นกเกรงลูกช้างไปเหยียบถูกรังเข้า ลูกนกจะเป็นอันตรายลูกช้างกลับนึกสนุกที่จะแกล้งแม่นก จึงเดินดุ่มต่อไปจนถึงรัง แล้วเอาเท้าเหยียบลงไปโดยไม่ใยดีต่อคำร่ำร้องอ้อนวอนของแม่นก ลูกนกในรังก็แหลกตายหมดแม่นกโศกเศร้า ร่ำไห้ปานหัวใจจะแหลกตาม
กบและแมลงวัน ซึ่งเป็นเพื่อน พากันมาเยี่ยมเยียนถามข่าวคราว ครั้นรู้ความทุกข์ของเพื่อน ก็พากันเจ็บร้อนช่วยคิดหาทางแก้แค้น ในที่สุด แมลงวันเจ้าความคิด ก็คิดออก จึงบอกแม่นกให้คอยบินตามติดลูกช้าง เมื่อใดที่ลูกช้างเผลอก็ตรงเข้าจิกนัยน์ตาให้เป็นแผลทั้งสองข้าง แล้วตนจะตามตอมให้แผลเน่า เป็นหนอน จนตาบอดหมดเมื่อตาบอดแล้ว ลูกช้างก็กระเซอะกระเซิงหาน้ำกิน ให้กบพาพรรคพวกไปส่งเสียงร้องอยู่ที่หุบเหว ลูกช้างได้ยินเสียงกบร้อง จะสำคัญว่าเป็นหนองน้ำ จึงเดินลงไปหมายกินน้ำ ไม่ทันระวัง ก็พลาดตกเหวตายสามสหายปฏิบัติตามแผนนั้น จนผลที่สุด ลูกช้างถึงแก่ความตายจริง ๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นสอนให้เห็นว่า การนึกสนุก ประพฤติตามอำเภอใจนั้น อาจนำความหายนะมาสู่ตัวเองได้อย่างเอนกอนันต์ เพราะไม่ว่าสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ย่อมมีใจที่รักสุข เกลียด ทุกข์เท่า ๆ กันทุกชีวิต ถ้าการกระทำของเราบังเอิญไปก่อทุกข์แสนสาหัสแก่เขา เขาย่อมดิ้นรน พยายามทุกวิถีทางเพื่อตอบสนองให้เรารู้ทุกข์เช่นเขาบ้าง ความไม่สงบ การจองเวร เข่นฆ่าประหัตประหารกันจึงเริ่มต้นขึ้นสันติภาพจึงต้องปลูกฝังให้มีขึ้นในใจของมนุษย์แต่ละคน แต่ละคน เป็นเบื้องแรก
เมื่อใจแต่ละดวงรู้จักยับยั้งชั่งตวง เอาใจเขามาใส่ใจเรา สิ่งใดที่คิดจะทำ ลองหมุนกลับให้ตัวเราเป็นฝ่ายรับผลเหล่านั้น เราจะพอใจหรือไม่ ถ้าไม่พอใจ โปรดอย่าดึงดื้อกระทำลงไป ยุติเสียโดยเด็ดขาด มิฉะนั้น เรานั่นแหละ จะเป็นผู้รับทุกข์รับโทษเหล่านั้นเอง
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “เราคือผู้รับมรดกแห่งการกระทำของเราเอง” หรือ “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นผลทันตา ตรงไปตรงมา คือ กระทาชายนายหนึ่ง คิดจะจับปลาในแอ่งน้ำใต้ถุนบ้านมาทอดกิน เพราะไม่มีเงินซื้ออาหาร จึงต่อไฟลงไปในน้ำ เพื่อช๊อตปลา บังเอิญตัวเองลื่นล้มลงไปในน้ำ เลยถูกกระแสไฟนั้น ช๊อตตัวเองตายอยู่ในแอ่งด้วย
หรือจะมองใกล้ตัวเข้ามาอีก ถ้าเราด่าเพื่อน เพื่อนก็ค่าตอบเรา ถ้าเราระรานชกต่อยเขา เขาย่อมชกเราตอบ เราทำเช่นไรเราย่อมได้รับผลเช่นนั้น เพื่อระงับการพิพาท โปรดสำรวมการกระทำคำพูด และความคิดของเรา ให้เป็นเมตตาเกื้อกูลต่อกันเสีย เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว หากเขายังรุกราน ก้าวร้าวอยู่อีก ก็อดใจ ให้อภัยแก่เขาเสีย
เหตุไรจึงให้อภัยแก่เขาเพราะถ้าเราเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ว่า การกระทำเช่นนั้นของเขาเป็นการสร้างทุกข์ไว้ต้อนรับตัวของเขาอย่างไรบ้างแล้ว เราคงสงสารเขาเกินกว่าจะคิดไปซ้ำเติม ดังเช่นกรณีกระทาชายนายที่ช๊อตปลา หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นกับตนเอง
วันหนึ่ง ถูกยุงกัด ปฏิกิริยาแรกคือจะไล่ยุง แต่เกิดฉุกคิดว่าที่ยุงมากัดเราเป็นเพราะความหิว ยุงไม่รู้ดอกว่าเราเจ็บ และมันก็ไม่ได้แกล้งเรา ธรรมชาติของยุงอาศัยเลือดเป็นอาหาร มันจึงต้องแสวงหาเลือด เพื่อดับความหิวกระหายเท่านั้นเองคิดได้ดังนี้แล้ว ก็เลยนั่งมองมันดูดเลือดเฉยอยู่ ลำตัวของมันค่อยเป่งพองออกเป็นสีเลือด จนใสเหมือนกระดาษแก้วบางที่เกือบจะปริ ในที่สุด มันตั้งท่าจะบินผละไป แต่ปริมาณเลือดที่ดูดเข้าไป คงเกินอัตรา เพราะพอออกบินก็ตกมากระแทกพื้น เหมือนเฮลิคอปเตอร์ที่บรรทุกของหนักจนยกตัวเองขึ้นไม่สำเร็จ ผลจากการกระแทก ทำให้ตัวของมันแตกตายอยู่ตรงนั้นเอง
ใจที่จดจ่อตามดูพฤติกรรมของยุง เกิดความสลดสังเวชขึ้นเห็นจริงตามคำตรัสของพระพุทธองค์ที่ว่า แม้เราจะอภัยให้เขาแล้ว จิตเราไม่ไปติดตามเพ่งโทษเขา เขาก็ยังต้องรับผลแห่งการกระทำของเขาอยู่นั่นเอง เปรียบเหมือนเราวิ่งเข้าไปกระแทกกำแพง แม้กำแพงจะไม่ล้มมาทับเรา แต่แรงที่เรากระแทกตัวเข้าไปเอง ก็อาจทำให้ศีรษะแตก คอหักได้ถ้าเมื่อครู่นี้ เรายั้งมือไว้ไม่ทัน ไล่แรงจนไปโดนมันตายเราก็ไปก่อเวรกับมันโดยใช่เหตุ เพราะถึงเราไม่ทำอะไร มันก็ฆ่าตัวของมันเองด้วยความตะกละในชั่วขณะต่อมา
ถ้าอบรมใจให้รู้เท่าทันความเป็นจริง ยั้งการกระทำ คำพูดที่จะไปก่อเวรก่อภัยกับผู้อื่นได้ทันท่วงที เช่นนี้ทุกครั้งไป จิตใจของเราย่อมอ่อนโยน สงบ ร่มเย็น ไม่คิดเบียดเบียน หรือมุ่งร้ายทำลายใคร
ไม่ใช่อ่อนแอ หรือ ไร้ศักดิ์ศรี แต่สงบ รู้ชัดแจ้งถึงผลในภายภาคหน้าที่ติดตามมา จึงไม่เสี่ยงที่จะเอาตัวเองไปตกอยู่ในภยันตรายที่หมดหนทางแก้ไข แม้ใครจะวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างไรๆ ก็ไม่หวั่นไหวคลอนแคลนตามไป
ใจที่เห็นชัดเช่นนี้ คือที่ดินที่อุดมด้วยปุ๋ยและน้ำสำหรับสันติภาพจะเจริญงอกงาม แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นร่มเงาให้โลกร่มเย็นเป็นสุขสืบไป
พิมพ์โดย   ปภัสสร  มีพงษ์
แหล่งที่มา   http://web.krisdika.go.th/buddha/18_puengton.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top