Header Ads

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2562

กระจกส่องใจ

ชื่อผู้เขียน  พญ อมรา มลิลา

วันที่     12  พฤศจิกายน 2534

ณ ชมรมพุทธธรรมรามาธิบดี

อันดับที่

เราคงคุ้นเคยกับกระจกกันแล้วว่า เอาไว้ส่องหน้า ทีนี้เราสงสัยว่า แล้วเราจะเอามาส่องใจเรา ได้อย่างไร? เวลาที่เรามาปฏิบัติ ครูบาอาจารย์จะบอกให้พยายามระลึกรู้ ให้เห็นความนึกคิด หรือที่เรียกว่าวาระจิตของเรา แทนที่ จะไปอยากรู้ใจคนอื่นข้างนอกให้เรามาพยายามฟ้ารู้ใจของเราเองว่า ใจของเราขยับไปทางไหนคิดนึกอะไรหรือว่าอยู่เฉยๆ ฟังดูก็ง่าย การที่จะตามรู้ความคิดของเรา แต่ ถ้าลองทำดู เราจะพบว่ามันยากแสนยากตัวเองตอนที่เริ่มไปปฏิบัติก็คิดว่า เอาละ เราจะ พยายามรู้ใจของเราว่าตั้งแตลมตาตื่นรู้ตัวขึ้นมาเราคิดอะไรบ้าง            เราจะคอยกำหนดเอาไว้เหมือนกบถายวิดีโอตัวเราเองเอาไว้ พอคํ่าลงไหว้พระสวดมนต์จะมานั่งย้อนลำดับ เหมือนกบเราเอาวิดีโอมาฉายตั้งแต่ตันย้อนดูว่าเราได้ท่าอะไรมาบ้างระหว่างที่ท่าเราก็ว่าเรารู้เราพูดเราก็รู้ว่าพูดอะไรเรารับผิดชอบสิ่งที่เราท่า เราว่าเราเป็นคนมีสติพอสวดมนต์เสร็จเริ่มระลึกตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาไปท่าโน่นไปท่านี่ เราพบว่ามันมีช่องว่าง บางทีว่างโหว่ไป เป็นชั่วโมง นึกไปออกว่าเราได้ท่าอะไรลงไปบ้าง หรือบางที สิ่งที่พูดไปเป็นเรื่องสสักสำคัญเราก็จำไม่ได้ว่าพูดอย่างไรไปแน่ เอ๊ะ...ที่นัดกับเขานี่น่ดวันพุธหรือว้นเสาร์ เพราะว่ามันมีเรื่อง ทั้งวันพุธกับวันเสาร์เอ...วันพุธหรือวันเสาร์จะเอาอย่างไรกันแน่ นี่แหละ เราจะพบว่า ใจเราเป็นอย่างนี้อยู่เสมอๆ ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะรัปฝิดชอบกับความคิดการกระท่าคำพูด ของเราไปได้เต็มเม็ดเติมหน่วยพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ''ของทุกอย่างมาแต่เหตุ'' เหตุ คืออะไร? เหตุคือการกระท่าของเรา จะเป็นการกระท่าด้วย กายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ถ้าเราต้องการควบคุมผลที่จะเกิดขึ้นให้เป็นที่พึงปรารถนาของเราเราก็ต้องรู้ชัดในเหตุที่ท่า ถ้ารู้บางไม่รู้บ้างในเหตุที่ท่า เราจะไปควบคุมผล ให้เป็นไปอย่างใจไต้อย่างไร เพราะขณะท่าไป เราก็เหมือน นักเสียงโชคทอดลูกเตาไป ลูกเตากลิ้งออกหน้าไหนก็นี่แหละ อันนั้นแหละเรารู้อย่างนี้จะไต้พยายามฝึกสติของเราให้คมไวมากขึ้นให้รู้เท่าทน ไม่เท่าทันแต่ความนึกติดอย่าง เดียว ให้เท่าทันทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเราบางคนการจะตามรู้ใจเป็นของยาก ใจเป็นนาม มอง เห็นไม่ไต้ เราจะเอากระจกมาส่องให้เห็นใจอยู่เรื่อยๆ มัน ยาก ก็เริ่มด้วยการเอากระจกอันนี้ส่องดูต้วก่อน เราลุกขึ้น นะ เราขยับนะ เราเปลี่ยนอิริยาบถนะ มันก็คุ้นเคยขึ้น เหมือนหลวงพ่อชาท่านเปรียบเทียบการดูใจกับการไปส่องสัตว์ เราไม่เคยออกไปส่องสัตว์เลยก็มืเพึ่อนมาชวนว่า ไปไปปากัน เขาจะไปต้กยังสัตว์ พวกนี้เขามืออาชีพ พอพงหญ้าไหว นิดหนึ่งเขาก็บอก กวางเสือ เรามองแล้วยังไม่เห็นอะไร หญ้าไหวก็ไม่เห็นไหวเลย เขารู้แล้วไหวอย่างนี้กวาง ไหว อย่างนี้เสือ ไหวอย่างนี้กระต่าย เราก็ต้องคอยจบสังเกต เราก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันไหวอย่างไร แต่เราก็ อ้อ ถ้าเขาว่า เสือมันก็อย่างนี้แหละนะเรียกว่าท่าสัญญาเอาไว้ในใจว่าถ้าท่านองนี้ละก็เสือนะ

เหมือนอย่างเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่รู้อะไรแล้วผู้ใหญ่ก็สอน เราก็ค่อยแยกตามแบบว่าจะเอาอะไรเป็นที่หมายของเรา ถ้า ใจกระเพื่อมอย่างนี้ก็แปลว่ามันเริ่มโกรธแล้วนะ ตอนแรก ยังจับไม่ได้ เรายังไม,รู้ หลังจากระเป็ดเปรี้ยงปร้างไปจนจบ แล้วเรามาย้อนนึก อ๋อ! ถ้ามันแกว่งอย่างนี้แล้ว ปล่อยต่อ ไปไม่ได้ ประเดี๋ยวมันระเปิดเปรี้ยงออกไป ถ้าอย่างนี้มัน โกรธนะ อย่างนี้ประเดี๋ยวเถอะจะหมดเนี้อหมดตัว แบบ เดียวกับที่เขาไปส่องลัตว์ แบบนี้เสือนะ แบบนี้กวางนะ เรา ก็ค่อยๆ คุ้นไป พอฝึกไปเรื่อย ที่ว่าไม่เห็นอะไรเลย คราวนี้ เราเริ่มคุ้นเคยขึ้น อ๋อ! ที่หญ้ามันไหวๆ ชักเห็นหลังตัว อะไรกระโดดแผลวไปในนั้น คราวนี้เห็น อ้อ! "เสือ" เพราะ เราคมไวขึ้น คุ้นเคยขึ้น ต่อไปเราก็เห็นได้อย่างที่ผู้ชำนาญ เขาบอกเราว่า นั่นกระต่าย นั่นกวาง นั่นเสือ นั่ก็เหมือนกัน การมาฟิกนี้ครั้งแรกๆ ทุกคนก็ท้อใจทั้งนั้น ตัวเอง ก็เคยท้อใจอย่างมากมาย         

เพราะในข้วัตก็คิดว่า อะไรที่ยากเราก็เคยท่า เคยผ่านมา ไม่ใช่คนเหลาะแหละหลักลอย พ่อแม่ฝึกมาก็ว่าหนักเอาเบาลั เมื่อเข้าไปอยู่ในวัดก็มืความ รู้สืกว่า อะไรที่เราท่ามันสอบตกในสายตาท่านอาจารย้ใปหมด ยกตัวอย่าง วันหนึ่งดีฉันว่าตัวเองยังไม่ได้ส่งใจไปคิดอะไร เลย นั่งอยู่เฉยๆ ท่านอาจารย์ก็บอก "แน่ะ ไปคิดอาฆาต พยาบาทเขาแล้ว'' ดิฉันก็ตอบ ''เปล่า ดิฉันไม่ได้คิดอะไร เลย'' ท่านก็สำทับ ''คนเราพออ้าปากก็เห็นไปถึงคอหอยแล้ว''

เราเริ่มด้นพูดว่าเราไม่ได้คิดอะไรเลย ท่านอาจารย์ ก็เห็นไปถึงคอหอยแล้วว่าเราก่าล้งอาฆาตเขาอยู่ ดิฉันก็นึก ในใจ อะไรกัน? ระหว่างที่กำลังสงสัยว่าท่านอาจารย์มา ปรับไหมเราเก็นเหตุ ก็มีความรู้สืกในใจเหมือนมีพรายนํ้าที่ ค่อยๆผุดจากก้นบ่อขึ้นมา ตอนนั้นยังไม่เห็นพรายขยับจาก ก้นบ่อขึ้นมา ท่านอาจารย์พูดจบไปแล้ว เราก็พิศวงสงสัย ว่าเราไม่ได้คิดอะไรเลย มันก็ผุดมาถึงผิวนั้าเราเริ่มเห็นในใจเราว่ากำลังหมั่นไส้คนที่มาท่าบุญที่วัด แล้วด้นคะเยอกับเขาท่านองที่ท่านอาจารย์ว่า คือแทนที่จะ ดูใจเรา ดูการกระท่าของเรา เรากลับท่าตัวเป็นผู้พิพากษา ศาลโลก ''โธ่เอ๋ย ท่าบุญเอาหน้า แล้วที่ท่าบาทหนึ่งมันจะ ได้สักเท่าไร จะถึงสลึงไหม" อย่างที่ท่านว่าไม่ผิดเลย ไป อาฆาตเขา ไป๗ง1ชักเขาเราก็เริ่มพิศวงว่า ใจของเราเองแท้ๆ เข้าใจว่ามีสต ระลึกรู้ อะไรกันนึ่ เราคิดไปเป็นวรรคเป็นเวรโดยไม่รู้ว่า ตัวเองคิด แต่ท่านอาจารย์เป็นใครอยู่ที่ไหน ท่านเห็นใจของ เราทะลุปรุโปร่งแล้วว่าเราคิดอะไร จนบอกให้แล้ว เราก็ยัง ไม่รู้เลยว่า ใจเรากระเพื่อมกระฉอกไปชัดเขา จนกระทั่ง

ถลอกปอกเปิกไปหมดแล้วเรายงบอกว่า ''เปล่าเจ้าค่ะนั่งอยู่เฉยๆ "นี่แหละท่าให้ดิฉันเริ่มได้คิด เราว่าเรารู้ตัวเรา แต่ จริงๆเรายังแย่มาก มาตรวัดของเราเป็นกิโลเมตร ขณะที่ ของท่านอาจารย์วัดออกมาเป็นมิลลิเมตรหรือไมครอนเมื่อเห็นตรงจุดนั้นเราก็เริ่มจ้บสังเกตตัวเองแบบเดียวกับ เมื่อกี้นี้ที่หลวงพ่อชาเปรียบเทียบ ยังไม่ทันเห็นพงหญ้าไหว ตัว เราก็คอยเฝ็าดูที่เราว่า''เราไม่ได้ว่าอะไร''นั้น บางทีใน ใจของเราที่ยังจ้บสังเกตไม่ได้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ก็สิว่า มันกระเพื่อมหรือคลอนตัวนิดๆ มีความ1ขยับเขยือน พอเริ่มสังเกตได้อย่างนี้ อีกหน่อยก็ค่อยเห็น เห็นชัดขึ้นว่า มีอะไรก่อตัวเหมีอนพรายนํ้าที่ผุดจากก้นบ่อถ้าสติคมเราก็สามารถรู้เท่าทันและหยุดมันตรงนั้น มันก็ไม่มีเหตุไม่มีมโนกรรมที่เป็นอๆศลให้เราต้องไปรับผิดชอบ เพราะกว่าจะผุดกระจายขึ้นมาถึงผิวนํ้ามันไปขวด เขาไสัไหลถลอกปอกเปิกเรียบร้อยไปแล้ว แต่ในความรู้สืก ของเรา เราว่าเรายังไม่ได้ท่าอะไรเลย นี่อย่างไรท่านจึงได้ว่า จะตั้งใจ จะไม่ตั้งใจ ตราบเท่าที่เรายังมีอุปาทานอยู่ในใจ ใจ ของเรายังมีตัวเราอยู่ มีของเรา มีเขา มีของเขา ยึดอยู่เป็น อุปาทานขันธ์ ตั้งใจ ไม่ตั้งใจ รู้ตัว ไม่รู้ตัว พอจึตอันนี้มี การขยับสักนิดสักหน่อย ท่านถือเป็นการกระท่าหมดแล้ว

 เราต้องรับผิดชอบ เพราะมีวิบากเกิดขึ้นแล้วแต่ล้าใจนั้นเป็นใจของพระอรหันต์ ยางของอุปาทาน ถูกตากแห้งจนกระทั่งล่อนหลุดไปหมดแล้ว เหลือแต่ขันธ์ ห้าที่บริสุทธิ้ล้วนๆ ถึงใจจะกระเพื่อมก็เป็นแต่กิริยาไม่เป็น การกระท่า เพราะไม่ไดไปยึด ไม่ไดไปทิ่มตำใคร ไม่ไปดึง ดูดหรือผลักไส ออกแรงให้เสืยศูนย์กับใคร อาการที่แสดง ออกไปเป็นเพียงกิริยาที่ท่านท่า เพราะกาลเทศะนั้นจ่าเป็น จะต้องใช้เป็นลือให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าใจ อย่างเราตราบเท่าที่ยัง ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ท่านให้ระวังใจเอาไว้ เมื่อไรที่ใจของเรา กระเพื่อมจะด้วยอย่างไรก็ตาม มันมีผลเป็นวิบากให้เราต้อง รับผิดชอบทั้งนั้นเมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เราต้องรีบท่ากระจกของเราให้ สะท้อนแสงได้ในที่ๆมัวสลัวที่สุด ตรงไหนมีอะไร ให้มีสติ เป็นกระจกวิเศษที่จะช่วยเราให้ระลึกรู้ว่า นี่เรากำลังท่าอะไร อยู่ คนท่าผิดท่าชั่วจ่าเป็นจะไปกํอหนี้สิน ล้าก่อด้วยความ รู้ตัวเรายังมีทางจะชดใช้หนี้ได้แต่ล้าก่อด้วยความไม่รู้ตัวถึงจะเป็นหนี้เล็กหนี้น้อยก็ขาดทุน เพราะอะไร? เพราะเรา ไม่รู้เลยว่าสิงนี้ท่าหนี้ให้ตัวเอง แล้วเราก็เบิกบาน คิดว่าที่ ท่านนี้ทำที่สุดแล้ววันหนึ่งเขาแจ้งยอดหนี้ขึ้นมา เราก็ตาย เพราะเข้า ใจว่าไม่ได้ท่าเลย เขาชี้แจงตรงนั้นตรงโน้น ปรากฏว่าเรา

 ทำไปโดยไม่รู้ตัว คิดว่ามันเป็นของดีของงาม เป็นทุนเป็น บุญเป็นๆศลฃองเรา แต่จริงๆมันไม่ให้กลายเป็นแบงก์เก๊ ไป ทีนี้ก์เดือดร้อนสิเพราะว่าจะต้องมาแก้นิสัยนั้น และการ แก้นิสัยก็เป็นของยากเย็นที่สุด

เราคงจะจ่าได้เวลาอาจารย์สอนให้ผ่าไส้ติ่งว่า กล้าม เนื้อหน้าท้องเป็นกล้ามเนื้อเฉียงที่ประสานไขว้ก้นเป็นตะแกรง แต่ละชั้นใยของกล้ามเนื้อเรียงขวางก้นแทนที่จะไปทางเดียวก้น เวลาผ่าไส้ติ่งท่านไม่ให้เอามีดกรีดทะลุลงไ        เพราะถ้าทำอย่างนั้นแผลเป็นจะไม่แขั๊งแรง เวลาไอหรือท้องผูกจะด้น ลำไล้ให้โป่งออกมาทางแผลเป็นได้ ท่านจะให้เราค่อยแหวก ตามเส้นใยกล้ามเนื้อทีละชั้นๆ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วแผล จะแข็งแรงดี เราจ่าได้ว่า ถูกสอนมาอย่างนั้น ก็คิดว่าทุกคนคง จ่าได้อย่างเรา

เมื่อดิฉันทำงานที่โรงพยาบาลเด็ก ช่วงหนึ่งกรมการ แพทย์ส่งแพทย์ของกรมมาฝึกเป็นแพทย์เฉพาะทางเด็กที่ โรงพยาบาลเด็ก เพี่อจะได้กลับไปเป็นหมอเด็กที่โรงพยา- บาลส่วนภูมิภาคตันสังกัดของตัว ปกติที่ส่วนภูมิภาคนั้นทุก อย่างสารพันเราต้องทำให้ได้หมดเวลาอยู่เวร ความที่ไม่มี ใครคอยจํ้าจี้จํ้าไช งานทุกอย่างต้องการความรวดเร็ว แต่ ละคนก็สังสอนตัวเองมาสุดแล้วแต่สถานการณ์จะเอื้ออำนวย ปรากฏว่าแพทย์หลายคนเวลาผ่าไล้ติ่งเด็กจะกรีดมีดตัดกล้ามเนื้อลงไป จนเราร้องเสียงหลง เมื่ออรรถาธิบายให้ฟัง จนรู้เรื่องเข้าใจกันแล้วแต่เผลอเมื่อไหร่ปรากฏว่ามันก็ลง

ไปรูปนั้นทุกทีตัวอยางนี้สื่อให้เราเห็นถึงอิทธิพลของความเคยชัน ต่อการกระทำของเรา ท่านอาจารย์ท่านเปรียบเทียบอะไรๆ ที่เราทำในชีวิตประจ่าวันว่า "มรรคหยาบ" แม้แต่เรื่องที่ไม่มี คุณค่าสำคัญอะไรเรายังเผลอกันทุกบ่อยๆอย่างนื้ แล้วมรรค ละเอียด ซึ่งเป็นเรื่องของใจนั้น มีความเร็วไวเหลือที่จะ ประมาณได้ ยังไม่ทันกระพรีบตา มันเปรี้ยงออกไปจบเรื่อง หมดแล้ว จะทำให้รู้เท่าทันไม,เผลอได้อย่างไรถ้าเราไม่ละเอียดถี่ถ้วนเท่าทันมัน ไม่คอยเข้มงวด กวดข้นมัน หากตั้งสัจจะไว้ว่าอย่างนี้ไม่ดี จ่าจะต้องไม่ เผลอให้กระทำอย่างนื้ลงไปเป็นอันขาด คือ เปรียบสัจจะ นั้นเหมีอนเราเอาอะไรขูดลงไปในหินจนกร่อนเป็นรอยลงไป แล้วเราก็คอยขีดคอยถูของเราอยู่เรื่อยๆ ทำให้รอยกร่อนนี้ ชัดขึ้น ชัดขึ้น ถ้าไม่เด็ดขาดกับตัวเองอย่างนี้ รับรองว่าจะ แก้สิงที่เป็นความเคยชันได้ยาก ด้งค่าพูดที่ว่า "ขอให้เราผิด ครั้งแรกครั้งเดียว เพื่อเป็นครู"ผิดครั้งแรกครั้งเดียวเป็นครูถ้าจะผิดครั้งที่สอง

ยอมตายเสียดีกว่า ถ้าเราตั้งสัจจอธิษฐานของเราไว้อย่างนี้ เราพอจะแก้ไขความผิดของเราได้ แต่ถ้าผิดครั้งแรก..เข็ด

แล้ว พอแล้ว..จ่าแล้ว เราจะไม่ผิดอีกแล้ว ประเดี๋ยวบ่ายๆ เราก็เผลอผิดอย่างนั้นอีก พอผิดอีก เราบอก ''โธ่ จะเอา อะไรก็นนักหนา ก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนอย่างนี้ ทนไม่ได้ ก็เลิกคบก็นก็แล้วก็นนะ'' ถ้าเป็นอย่างนี้ ท่านอาจารย์บอก มันก็ผิดจนเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน และไม่ใช่เฉพาะชาติภพนี้ มันจะผิดอยู่อย่างนี้!ปตลอดทุกๆชาติที่เรายังมาเกิดแต่ก่อนเวลาคิดอะไร เราไมรู้จักนึกถึงลึกซึ้งอย่างนั้นหรือวันหนึ่ง ดิฉันกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า "วันนี้ ดิฉันเหนื่อยเต็มทนแล้ว พรุ่งนี้เจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยตั้งต้นก็น ใหม่"ท่านอาจารย์ก็ห้วเราะหึๆ "พรุ่งนี้..รู้หรือเปล่าว่าตัวพูด พรุ่งนี้มากี่ร้อยกี่พันชาติแล้ว นับไม,ถ้วนแล้วนะ"ดิฉัน "เอ๊ะ..อะไรก็น"ท่านอธิบาย"พรุ่งนี้ของเราน่ะ พอพรุ่งนี้มาถึงก็กลายเป็นวันนี้ แล้วใจก็ผลัดไปพรุ่งนี้อีกนั่นแหละ ฉะนั้น จึงกลายเป็นคนซึ้เกิยจฃี้คร้านผดวันประกันพรุ่งก็พรุ่งนี้อยู่อย่างนี้แหละเป็นชาติๆ เลยไม่ได้เขยื้อนไปถึงไหนหรอก แล้วจะพรุ่งนี้!ปอีกไม่รู้จบสินหรืออย่างไร? อาจารย์เหนื่อย นะ เห็นว่าเป็นคนเคยรู้จักก็นมา อาจารย์สบายแล้วก็อยาก ให้คิษย์มีความสุขอย่างที่อาจารย์มีความสุข ถ้าเราไม่วักตัว ของเราเองก็ช่วยไม่ได้"ท่านยังว่าให้เราเจ็บใจอีก แต่เมื่อไปตรองดูแล้ว มัน ก็จริงอยู่อย่างท่านว่า เพราะเวลาที่เรานึกว่า',พรุ่งนี้เถอะ" เรา ก็คิดสันๆแบบของเรา พรุ่งนี้จริงๆ แต่ล้าเอาสติคอยตาม ดูใจเราจริงจัง จะเป็นอย่างที่ท่านอาจารย์ว่าจริงๆพอถึงพรุ่งนี้แล้วก็มีเหตุอีกแล้วมันก็พรุ่งนี้ต่อไปอีก ถ้าเรามีญาณหยั่งรู้ต้อย่างที่ท่านหยั่งรู้ เราจะเห็นตัว เราด้วยความโศกสลดว่า เราก็พรุ่งนี้มาหลายภพหลายชาติ หรือหลายอสงไขยชาติอย่างที่ท่านว่าจริงๆ ไต้เห็นอย่างนี้ แล้วมันน่ากลัวจริงๆมีท่านที่ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่ง ท่านมีนิมิตเห็นอดีต ของท่านไต้ท่านเล่าว่า "จริงๆนะนึกไปแล้วมันน่าโศกสลดจริงๆ เพราะแต่ละภพแต่ละชาติของเราเหมือนชาติภพนี้ที่ว่า พอ เช้าขึ้นมาก็ลุกขึ้นขมีฃมันท่าอะไรๆพอตกคํ่าเราเหนื่อยก็นอนหลับ นั่นคิอตายไปชาติหนึ่ง พอประเดี๋ยวเราก็เช้าตื่น ลุกขึ้นมาอีก เกิดใหม่ชาติหนึ่งอีกแล้ว"ท่านว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ หากเราเป็นคนเจ้าโมโห โทโสหงุดหงิดอย่างไร แต่ละภพแต่ละชาติที่เรียงกันที่ท่าน เห็นก็จะเป็นอย่างนั้นทุกวี่ทุกวน เพราะเราไม่ไต้ระลึกรู้ ไม่ ได้ฉุกคิด เวลาที่ท่านอาจารย์บอก เราปล่อยให้เวลากลืนกิน ชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์เหมือนเป็นมดไต่ขอบกระด้งท่านบอกมันเห็นจริงเห็นจังเวียนอยู่อย่างนี้แล้วก็เบิกบาน

สำราญใจ คิดว่าเราได้ทำอะไรที่มีคุณค่าสาระเพราะเรามอง ไม่เห็นจุดตั้งด้นของเรา     เราไม่เห็นว่าเราไต่ขอบกระด้งชํ้าแล้วฟ้าอีก พระทุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ท่านมองดูเราท่านก็ สลดสังเวช มันจะวนไปถึงไหน? มันไม่เวียนหัวบ้างหรือไร? มันไม่เบื่อบ้างหรืออย่างไร? มิใยท่านจะเขี่ยก็แล้วสะกิดก็ แล้ว เราก็เบิกบานจูงมือกนเดินคุยกันไป ไม่ได้สนใจเลย พอได้มาเห็นอะไรอย่างนี้แล้วจึงฉุกคิดได้ ท่านบอก ต่อไปว่าเวลาเรามาปฏิบัติ เรามีธัมมะ เราก็เริ่มรู้ว่าตรงนี้ มันไม่ดีเราจึงจะเปลี่ยนแปลง อะไรที่เคยทำชํ้ากันทุกวันก็มี ที่เปลี่ยนได้ แต่ก็ไม่แน่อีก ชาติภพนี้เปลี่ยนดีเป็นนางฟ้า เทวดา เกิดมีอะไรมากระแทกปึ้ง ตะกอนในใจงอกงามขึ้น มาใหม่ ก็กสับไปไต่ขอบกระด้งเดิมอีกนั่นแหละ กลายเป็น นางยักษ์นางมารใหม่เหมือนเดิมเหมือนกับว่าไม่เคยได้รู้ไม่เคยได้ฝึกไม่เคยได้ปฏิบัติเลยท่านเล่าว่าวันหนึ่งท่านนั่งภาวนาอยู่ ก็เห็นเป็นชีวิต ในอดีตของตัวเองเหมือนฉายหนังดูผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาแต่ละภพชาติก็กลายเป็นกองกระดูกๆสูงขึ้นมา กอง เป็นภูเขาเล่ากา เสร็จแล้วก็แตกกระจายแผ่ออกไป แล้วก็มี เสียงใหัรู้ขึ้นมาในใจว่าที่เอามาเรียงกันนึ่ กระดูกของตัวเอง คนเดียวนะ ไม่ใช่ของคนอื่น เอามาเรียงกันคลุมหมดผิว โลกแล้ว หมดทั่วทั้งโลกนี้!ม่มืที่ว่างแล้ว ก็ยังเรียงกระดูก เก่า ๆ ของเราไม่หมดเลยท่านบอกใจมันโศกสลดเหลือเกินเหนื่อยหดหู่เหมือนความโศกเลืยใจของนางปฏาจาราเมื่อครั้งพุทธกาล เพราะว่าชั่ววันเดียวเธอสูญเสืยสามีถูกงูฉกตาย ลูกสองคน คนหนึ่งเหยี่ยวโฉบไปอีกคนหนึ่งตกลงไปในแม่นํ้ามี

หน่ำซ้ำฟ้าผ่าลงมาที่ปราสาทพ่อแม่ พี่ชายตายเรียบหมด ปฏาจาราก็โศกเศร้าเลืยใจจนกระทั่งเป็นบ้าไปพอไปถึง

พระพุทธเจ้าก็ครํ่ไครวญว่าไม่มืที่พึ่งที่อาด้ยเลย ท่านจะเป็น ที่พึ่งให็ไดีไหมท่านทรงถามกลบไปว่า ปฏาจารา จ่าไดีไหมว่า เธอ เคยเสืยนํ้าตาเพราะบุคคลเหล่านี้ปแค่ไหนในแต่ละภพละชาติ ตถาคตเห็นว่าเอานํ้าตาของทุกชาติมารวมก็นี้ มหาสมุทรใน โลกนี้รวมกันแล้วก็ยังรองริบนี้าตาของเธอไม่พอหรอก ก็ ท่านองเดียวกันกับเมื่อกี้ที่บอกว่ากระดูกของเราคลุมโลก หมดทั้งโลกแล้วก็ยังไม่พอวางได้หมด ลองคิดดูก็แล้วกัน เราเป็นนักเดินทางมาราธอนแค่ไหน มาราธอนจริงๆ แล้ว ยังไม่คิดจะเบื่อ ไม่คิดจะเลิกไม่คิดจะจบด้วย ยังหาทาง ดั้นด้นต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความสนุกสนาน เพราะอะไร?

เพราะสติความระลึกรู้ที่เราจะส่องมองใจของเราและ ประเมินคุณค่าราคามันเป็นกระจกที่ไม่สะท้อนแสง

เลยทำให้เรามองแล้วไม่เห็นอะไร เห็นแต่เงา เงาที่กิเลส หลอกเอาไว้ แล้วก็หลงเชื่อตามมัน มัวแต่ชื่นชมโสมนัสอยู่ อีกท่านหนึ่ง ท่านภาวนาอยู่ มีนิมิตเห็นเป็นไก่กำลัง รื่นเริงบันเทิงใจ คุ้ยเขี่ยอาหารอยู่เป็นกลุ่มกับเพื่อน ในใจ ท่านก็รู้ฃึ้นมาว่าไก่ตัวนี้คือตัวท่านเอง สักประเดี๋ยวหนึ่งฝูง ไก่ที่กำลังรื่นเริงบันเทิงใจอยู่ก็มีไฟที่ไหนไม่รู้ลุกไหม้ติดขน

น่ากลัวมาก ความรู้สืกของท่านขณะที่ดูนิมิตเหล่านี้อยู่ ก็ นึกว่า ตายแล้ว ..ท่าไมถึงไม1รู้ตัว ท่าไมไม่ตกใจ แล้วท่าไมถึงไม่ช่วยตัวเอง ปรากฏว่ามันยังรื่นเริงจิกโน่นคุ้ยนึ่อยู่เรื่อยๆ ในใจก็ไปรู้ว่า ก็นึ่อย่างไรเล่า ไฟของกิเลสราคะที่ลุก ท่วมกายท่วมใจเราอยู่ตลอดเวลา มันน่ากลัวอย่างนี้ แต่ ตัวเราที่ปล่อยให้ใจตกเป็นทาสของมันก็ยังเพลิดเพลินอยู่ในโลกนี้ ยังตามเก็บดอกไม้ คือ เพลิดเพลินติดอยู่ใน กามคุณห้า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส โดยไม่ได้เฉลียว ใจเลยว่าภัยอันตรายอันใหญ่นี้กำลังคุกคามใจของเราอยู่ ท่านเล่าว่าเมื่อจิตถอนออกมาจากนิมิตมันสลดสำรวมและมิสติคมอยู่กับใจใจที่ประเดี๋ยวฟ้งซ่านไปคิดตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย สงบอยู่นึ่งกับปัจจุบัน คอยระลึกรู้ เตรียมพร้อมเป็นใจที่คมไว มิคุณภาพควรแก่การงานมันบรมสุขจริงๆ และท่านก็เข้าใจว่าจิตของครูบาอาจารย์ที่ ท่านเป็นวิหารธรรมนั้นอยู่กันได้อย่างนี้เอง ไม่ว่าจะอยู่ในป่า ในเขากันดารแค่ไหน เรามองแล้วเห็นว่าอย่างนี้ท่านลำบากตรากตรำแย่ เรื่องเล็กน้อย เพราะใจของท่านปีติปราโมทย์ มีความสงบผาสุก พักอยู่ในวิหารธรรมแต่อย่างว่าแหละนะ ท่านเล่าว่ารู้และชาบชึ้ง อยาก จะประคองเก็บเอาไว้ตลอดกาล แต่พอออกมาเจอเรื่องโน้น เรื่องนี้ในชีวิตประจ่าว้นเข้า ความเป็นปุถุชนคนหนาก็ชนไป ชนมา จิตอันนี้ก็เสือมสภาพไปอีก แล้วมันก็ยังไม่เป็นขึ้น มาให้ ท่านยํ้าว่านึ่แหละ มันไม่ใช่ของง่ายที่จะรักษาให้เป็น สมบัติของเราอยู่ได้ แต่เมื่อยังรักษาให้เป็นสมบัติถาวรไม่ ได้ การที่ได้พบเป็นครั้งคราวก็ให้ความมั่นใจกับเราว่า หน ทางสายนี้เป็นทางที่ถูกแล้ว ถ้าพากเพียรท่าไปเหมือนอย่าง กับเรามีเหล็กก้อนหนึ่งแล้วหมั่นเอาไปวางในสนามแม่เหล็ก บ่อยๆ มันก็จะเป็นแม่เหล็กชั่วคราว นานเข้าๆ วันหนึ่ง พลังที่สะสมอยูในสนามแม่เหล็กนานพอจนอณูของมันเกิด แรงดึงดูดชั่งกันและกันเหนียวแน่นก็กลายเป็นแม่เหล็กถาวรขึ้นมาได้ใจของเราก็เหมือนกัน ครั้งแรกเราต้องพยายามที่จะ รักษาสติเอาไว้ ต้องคอยถามต้วเอง นี่เรากำลังท่าอะไรอยู่ นี่เรากำลังคิดอะไรอยู่ เราอยู่เฉยๆ ใจเราอยู่เฉยๆ รู้อยู่ หรือว่าใจเราไปรอบปาทิมพานต์ที่ไหนแล้ว พยายาม พอรู้ ตัวก็เอากลับเข้ามา รู้ต้วก็เอากลับเข้ามาไว้ในใจอย่างเติม

ถ้าจะเปรียบเทียบร่างกายเราเป็นเหมือนกระดาษเเผ่น หนึ่ง ใจก็เหมือนกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง เอาสติเป็นเหมือน กาว เดี๋ยวนี้มืกาววิเศษที่ติดพื้นรองเท้าแล้วเอาไปห้อยฟ้าจากเพดานไม่หล่นลงมาเราพยายามท่าให้สติของเราเป็นกาววิเศษอย่างนั้นแหละแปะกายกับใจเอาไว้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ตัวอยู่ไหนใจอยู่ตรงนั้นถ้าตัวอยู่ตรงไหนใจอยู่ตรงนั้นมันจะเป็นอย่างไร เราจะไม่ไปคิดถึงอดีต เราจะไม่ไปคิดถึงอนาคต เพราะ อะไร เพราะตัวอยู่ตรงนี้ ตัวตกเป็นดาวนพเคราะห์ของ กาลเวลา เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาเป็นปัจจุบันอยู่ตรงไหน ตัว ก็อยู่กับปัจจุบันขณะอย่างนั้น สติที่คมไวจะดึงใจให้ติดอยู่ กับตัวตลอดเวลา ทำให้ใจของเราเป็นปัจจุบันจิตไปด้วยเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เหมือนพระอาทีตย์เที่ยงวัน เงาไม่มีเมื่อเงาไม่มี อดีตก็ไม่คิดถึง อนาคตก็ไม่คิดถึง สติ ทำให้เราคอยระลึกรู้ เตรียมพร้อม อะไรมากระทบเรา เรา จะได้ตอบออกไปอย่างมืเหตุผลและอย่างรอบคอบดีที่สุด เมื่อเป็นอย่างนี้ ใจก็มีกำลังตั้งมั่น มันก็จะมืเหมือนฐาน รองรับ อะไรกระทบป็บก็จะคล้ายๆถ่านไฟฉายที่เราชาร์จไฟ ไว้เต็มที่ พอเปิดสวิตข้มันก็จะส่องสว่างไปจนสุดลูกหูลูกตา ไม่มีข้อลังเลสงลัย อะไรที่เป็นข้อสงลัยเป็นปัญหา ปัญญา จะแทงทะลุหมด เราเห็นคำตอบได้ชัดเจนขึ้นแต่ถ้าเราทำสติของเราให้ผีเข้าฝีออก กายไปทาง ใจ ไปทาง มีปัญหาเกิดขึ้น โอ๊ย..ปวดหัว ติดอะไรไม่ออกแล้ว อย่ามาพูดๆเพราะว่าตลอดเวลาที่ไม่มีปัญหาใจก็ฟังซ่านติดโน่น ติดนี่ ติดนั่น พอมีปัญหาเข้าจริงๆ โอ๊ย..ปวดหัว แล้ว อย่ามาพูด ฉันติดจนกระทั่งปวดหัวแล้วนะ เอ้า..ตก ลงเก็บปัญหาเอาไว้ ไปนั่งสมาธิก่อน ..สมาธิหลุมหลบภัย สมาธิแบบนี้ท่านอาจารย์ท่านเรียก กรรมฐานหัวตอ พอมี ปัญหา หลบปับเข้าสมาธิเลย ใครจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ฉันปฏิบัติไม่ยุ่งไม่เกี่ยวแล้ว ตกลงคนที่ทำงานกับเราปวด หัวไปหมด ยิ่งถ้าเราเป็นนาย ทุกคนเข้งหมด พอมีอะไร ต้องเข้าสมาธิก่อน

ถ้าเราไม่คอยดูใจ คอยดสติของเราเอาไว้ เราปฏิบัติ ก็จริง แต่ทิศทางของการปฏิบัติฉันเฉไปแล้วก็เข้าใจว่ายังอยู่ ที่จุดศูนย์กลาง ถ้าเฉออกไปหนึ่งองศา ดูก็ไม่ไกลเท่าไหร่ หรอก แต่ถ้าหนึ่งองศาที่เฉนี้รัศมีเป็นไม่มีประมาณ ระยะ ทางที่เขยื้อนไปบนส่วนโค้งของเส้นรอบวงจะไกลสุดลูกหู ลูกตาแค่ไหน ก็ไปคนละทวีปคนละประเทศเลย หากันไม่ เจอแล้ว ตกขอบกระด้งไปแล้วถ้าเข้าใจมองอย่างนี้ นิดหนึ่งก็ไม่ได้ หน่อยหนึ่งก็ ไม่ได้สำหรับการปฏิบัติธรรม ท่านอาจารย์เคยพูดเสมอว่า "กุฎีในรัดไม่ได้มีไวีให้ลูกติษย์ลูกหามานอนพักตากอากาศ คนที่เขาบริจาคทรัพย์สร้างเขายังมีภาระรัดตัวมาปฏิบัติไม่ได้ เขาก็หวังว่าใครที่ปลีกตัวมาใช้สถานที่ของเขาภาวนาแล้ว จิตใจสงบ แผ่เมตตาไปถึงเขาก็เหมือนเซ็นเซ็คให้ส่วนกุศล แก่เขา แล้วดูสิ เรามาท่าเล่นๆอย่างนี้ เซ็นเซ็คเด้งทุกวัน ไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ" ท่านขู่เอาไว้อย่างนี้ "คนอื่นๆที่เขา ภาวนาดีกว่าเรามีตั้งเยอะตั้งแยะ อาจารย์จะให้เข้ามาอยู่ก็ เกรงใจ เพราะว่ารับเราเข้ามาอยู่เลียแล้ว"เหมือนอย่างนิทานอิสปเรื่องม้าอารีที่สงสารวัว ให้วัว เข้ามาหลบฝนในโรงม้าของมัน วัวก็เข้าไปอาละวาดจนกระทั่งม้าต้องออกไปตากฝนตากแดดอยู่ช้างนอก ท่านอาจารย์ ขู่ว่าเราเลียหายหมด ทีนี้พอตัวเองจะเถลไถลก็นึก..ตายแล้ว เดี๋ยวเซ็คเด้ง เมื่อบังคับตัวเองมากๆ เข้าก็เครียด ช่วงของ การฝึกสติเข้มนี้อย่าคิดว่าเป็นงานเบาสบาย เพราะใจเขม็ง เครียดจนเหนื่อยหอบหัวใจจะวาย       ดิฉันเปรียบเทียบให้ท่านอาจารย์ฟ้งว่า"ดิฉันเหนื่อยเหมือนกบท่านอาจารย์บังคับ ให้แบกกระสอบข้าวสารที่เดียวแปดกระสอบนะ" ดิฉัน'รู้ลีก อย่างนั้นจริงๆท่านอาจารย์ตอบว่า "ก็แบกไปซ็ ถ้าเผื่อไปยังไม่ถึง ที่อยากจะยีนเถลไถลม้นก็หนักมากขึ้น"ท่านก็รู้'ว่าการทำอย่างนี้เป็นความเหนื่อยยากแต่ถ้าเราท่า"มรรค"ไปให้

ตลอดจนกระทั่งเป็นอัตโนมัติของเรา ทีนี้ก็เบาสบายเพราะ กลายมาเป็น"ผล"แล้ว ท่านอาจารย์บอกว่า "เบื้องแรกนี้เรา ต้องเป็นผู้รักษาสติ แต่ต่อไปสติจะมาเป็นผู้รักษาเรา เพราะถูกฝึกจนอยู่ตัวเป็นอัตโนมัติของเราแล้ว" แต่เรามองไปไฝ ถึงตรงนั้น เราก็โวยวายโพยพายไป ตามนิสัยไอ้ลูกช่างบ่น ของเรา หวังจะให้ท่านบอกว่า "พอ" มันเครียดท่านก็ไม่ อนุญาตให้พักสักทีวันหนึ่งเรามากินนํ้าร้อนนํ้าชากันเพื่อนก็เล่าถึงหลวงปูฝัน "นี่นะ หลวงปูฝันกว่าท่านจะได้พุทโธอยู่กับใจ ของท่านตั้ง 15 ปีแน่ะ" ฟังให้ดีนะ "กว่าท่านจะได้พุทโธ อยู่กับใจท่าน" ไม่ได้หมายความอย่างเราที่แปลว่าเมื่อไหร่ ที่บริกรรมแล้วใจของเราอยู่กับ พุทโธไมชดส่ายไปไหนแบบเด็กอนุบาลเพิ่งจะปัน กไก่ เป็น ค่าว่า "พุทโธอยู่กับ ใจของหลวงปูฝัน" แปลว่า "พุทโธ" รักษาใจของหลวงปูฝัน เป็นอัตโนมัติแล้วตอนนั้นเราเอากิเลสฟัง ใจเราก็เบิกบาน โอ้โฮ..มือโปรขนาดหลวงปูตั้ง 15 ปี แล้วท่านอาจารย์จะมาเอาอะไร กับเราแค่ 3 เดือน พอไปอาบนํ้าก็รื่นเริงบันเทิงใจ ตอนนี้ เราอยู่ในห้องนํ้าจะท่าสติหลวมไปบ้าง จะหายใจตามสบายๆ ให้เต็มปอดบ้างก็จะเป็นไรไป หลวงปูฝืนยังตั้ง 15 ปีน่ะ มีความรู้สืกเหมือนเด็กที่ถูกบ้งคับแล้วสามารถหาช่องเล็ด ลอดหนีออกไปได้ ที่ไหนได้ อาบนั้ายังไม่ทันเสร็จเสียงข้างนอกโวยวาย ''คุณหมอหายไปไหน? เร็วๆเข้า..ท่านอา จารย์ละก็ จะลงศาลาก็ไม่บอกก่อน''ปกติถ้าท่านจะมาที่ศาลาครัวท่านจะบอกเราล่วงหน้า เพื่อเราจะได้รีบท่าอะไรๆในครัวให้เสร็จแล้วมีเวลาไปอาบน้ำเตรียมตัวมาฟังท่าน ท่านมักจะมาประมาณทุ่มหนึ่ง แต่วันนี้ท่านไม่ได้บอกเอาไว้และเราก็ไม่ได้คิดว่าท่านจะลงมา พอได้ยินอย่างนั้นดิฉันก็นึกในใจ ''น่ากล้วจะเป็นความชน ของเราเสียแล้ว ที่ไปคิดว่าจะหายใจให้สบายเสียหน่อย'' ก็ สะด้งรู้ผิดรีบจะมาช่วยคุณแม่ชีเอากาไปกรองน้ำสำหรับท่านดื่ม ปูอาสนะ พอดิฉันผ่านท่านจะไปเอากาน้า ท่าน ก็ถามว่า "รู้แล้วใช่ไหม'' ดิฉันก้มลงกราบแล้วตอบ "เจ้าค่ะ" พอได้ยิน "เจ้าค่ะ" ท่านก็ส่งเสียงบอกคุณแม่ชี"เฮ้อ..ผู้หญิง ชักช้าน่ารำคาญ ปล่อยให้อาจารย์ยินคอยจนขาแข็ง อาจารย์เปลี่ยนใจแล้ว ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างหากินเอา เองก็แล้วก้น อาจารย์ก็จะไปภาวนาที่กุฎิอาจารย์ละ"ดิฉันใจหายวาบเราซนในห้องน้าประเดื่ยวเดียวท่านต้องลำบากลงมาเพื่อตีเรา รอจนพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ แสดงให้ เห็นว่า เรื่องของการปฏิบัติ เวลานาทีมีความหมายมาก รู้ เดี๋ยวนั้นก็เอาเดี๋ยวนั้น ชัดก้นเดี๋ยวนั้นให้เห็นตรงตามเป็น จริง ถ้าปล่อยให้มีร่องมีรอยงอกเป็นรากออกมาแล้ว มัน จะชัดเกลาสำบาก อันนี้เป็นลี่งที่จ่าเป็นอย่างยิ่งสำหรับการปฏิบัติ ถ้าใครก็ตามมองเห็นความผิดความบกพร่องของ ตัวเองแล้วอย่าผดวันประกันพรุ่ง อย่าไถลว่า "เออ รู้แล้ว น่า.. แต่ประเดี๋ยวก่อนเถอะ รอพรุ่งนี้ก็ยงไหว" เราอาจจะ ตายไปตั้งแต่ยังไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ได้     หรือถ้าเราไม่ตายไปก็จะ

ติดเป็นนิสัยรู้เดี๋ยวนี้ต้องเลิกเดี๋ยวนี้ ต้องแก้ไขเดี๋ยวนี้อย่างที่ท่านอาจารย์ต้องจีวรปลิวรีบลงมาเพื่อดุเราว่า "รู้แล้ว ใช่ไหม"อันนี้แหละที่ท่าให้ดิฉันจำฝังใจ แล้วก็มีผลให้ชื่นใจ จริงๆ อะไรก็ตามที่รู้แล้วเราห้กใจได้เดี๋ยวนั้น แลดูเหมือน ยากในครั้งแรก แต่มันดี หักแล้วหมดสินกันเลย เหมือน อย่างกับเราเห็นสระนํ้าที่มักตบชวาเต็ม แลดูเป็นงานยุ่งยาก มาก แต่ถ้าเรานึก ..เอาละ เท่าไรเท่ากัน เราจะโกยออกให้ หมด ความจริงมักตบชวานี่โกยง่าย รากก็สะอาด พอเอา ขึ้นหมดแล้วนํ้าจะใสสะอาดทันที        หมดก็เป็นอันหมดกันแต่ถ้าเรานึกว่า กิเลสเราเหมือนแหน อย่านึกนะว่างานเล็ก งานน้อย ช้อนไปเถอะ ช้อนเท่าไหร่ไม่มีหมดหรอก ช้อน เสร็จก็ติดหสังตะแกรง พอจุ่มลงไปช้อนใหม่ มันก็กสับลง ไปในนี้าอีก ช้อนอยู่อย่างนั้นแหละ ช้อนตลอดชีริตก็ช้อน ไม่หมดเพราะฉะนั้นที่เราคิดว่า เรื่องขึ้ผง กิเลสของเราล้วน

 น่ารักน่าเอ็นดู เปรียบเหมือนเราช้อนแหน เราจะเสียท่ามัน ยิ่งช้อนยิ่งเพิ่มมากขึ้นๆ ถ้าเราตัดใจว่า เอาเลย ฝักตบชวา ก็ฝักตบชวา น่าเกลียดน่าช้งแค่ไหนก็เอากัน จะเผด็จกัน ให้หมดไป แล้วมันก็หมดไปจริงๆ

ถ้าเราปลูกฝังนิสัยนี้ได้แล้ว มันง่าย พออะไรกระทบ เรารู้ปีบ กำหนดสติ กิเลสก็เหมือนเงา ยังไม่ทันที่เราจะไป ทำอะไร มีสติตามรู้ไตร่ตตรองจนเกิดปัญญา มันก็หายไป หมด เพราะกิเลสนี่จริงๆแล้วไม่มืตัวไม่มีตน อย่าหลงไปว่า พอเราเห็นกิเลสแล้ว จะเหนื่อยอีกสักแค่ไหน ต้องไปหา มืดพร้า หาธนู หาหลาว หาอะไรมาเพี่อที่จะไปรบพุ่งกับมัน ไม่จริงหรอก พอเรารู้กิเลสว่าคืออวิชชาเรามีวิชชาเกิด

ขึ้นแล้ว รู้ปั๊บแสงสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็หายไป กิเลสก็ อยูในใจ ความรู้ก็อยูในใจในใจของเราที่เดียวจะมีทั้งสองอย่างครอบครอง พร้อมๆกันไม่ได้ ต้องเอาอันใดยันหนึ่ง พอเราเปิดไฟปั๊บ ห้องนี้สว่างเพราะความสว่างก็คือความมืดที่น้อยที่สุดความมืดก็คือความสว่างที่น้อยที่สุด เราจะมองแบบไหนล่ะ ถ้ามองอย่างนี้ความรู้กับความไม่รู้ก็อันเดียวกันนั่นแหละ ชั่วแต่ว่ารู้ด้วยความมืสติเท่าทันหรีอรู้ด้วยความมืสติหลวมๆ รั่วๆ ถ้าเราไม่ยอมรับว่าไม่มีสติ เราบอกฉันก็มืสติอยู่แต่ มันหลวมๆ ไปหน่อยเท่านั้นเองแหละ ตอนหลวมๆนี่แหละปรากฏว่าเงาทั้งหลายก็ท่าเป็นผีเข้ามาหลอกล่อเราเห็นอย่างนี้เราจะได้มีกำลังใจที่จะปรับกระจกของเราให้มันล่อง ในแง่มุมที่จะทนเห็นใจของตัวเองว่ามันกระเพื่อม หวั่นไหว รู้สืกกระตุกอย่างไรเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพธรรมดาอย่างไรบ้าง

แรกๆเราจะรู้สึกอย่างที่ดิฉันเรียนให้ทราบว่าเหมือน แบกกระสอบข้าวสารแปดกระสอบพร้อมกัน หัวใจจะวาย ทำไปๆมันเริ่มเห็น ผลที่ได้ทำให้เราไม่ต้องไปเสียเวลาแก้ไข ที่ผิดที่บกพร่อง เกิดเป็นความชื่นใจจนกระทั่งเราอยากจะ รักษาสติเอาไว้เอง เริ่มแรกเราต้องบีบบังตับ ต้องกัดฟ้น ทนท่าไป โทษซ้ายปายขวางอแงร้องหาความเห็นใจไปเรื่อย แต่ท่าไปถึงช่วงหนึ่งแล้วมันเกิดความอยากขึ้นในใจถึงท่านอาจารย์ไม่มาดูเรา ท่านอนุญาตว่า ถ้าอยากนอนก็นอนช้า เราก็ไม่นอน เพราะใจอันนี้ถูกฝึกจนกระทั่งอยู่ตัวแล้วตอนแรก ดิฉันประท้วงมันเหนื่อย มันง่วง มัน อยากนอน เพราะตัวเองฝึกตัวเองไว้ ไม่นอนเลยทั้งคืน อยู่ได้แต่พอถึงตอนเข้ามืดประมาณตีสีตีห้าต้องขอนอนสักนิดหนึ่งอย่างเวลามีคนไข้หนักๆพยาบาลจะรู้กันเลย

เพราะถึงตอนนี้ดิฉันเหมือนคนถูกสาป พูดจาอะไรกันก็ไม่ รู้เริ่องทั้งนั้น ทั้งๆที่สีมตาอยู่ก็สามารถหลับในได้ แต่ถ้าได้ งีบสักนิดหนึ่งเพียงสิบห้านาทีก็พอที่จะมาทำงานต่อได้

ครั้งไปอยู่ที่วัด ไม่มีไฟฟ้า ชาววัดจะนอนแต่หัวคํ่าและตื่น ประมาณตีสอง ตีสาม ตีสี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อากาศสบาย เงียบสงัด ไม่มีเสียงรบกวน เอื้ออ่านวยใหัภาวนาได้ดีจริตนิสัยของดิฉันเหมือนจบปลาให้ขึ้นมาอยู่บนบก มันทารุณโหดร้ายเหลือเกินตอนที่เขาให้นอนเราก็นอนไม่ได้ เวลาที่เขาตื่นกันก็เป็นเวลาที่เราชอบอยากจะนอนเหลือเกิน และความที่ดิฉันบ้าบวมอยากอ่านหนังสือ  พอพระจันทร์สว่างๆเดือนหงาย ดิฉันก็เอาหนังสือไปนั่งอ่านกลางทางจงกรม เพราะว่ามันสว่างจนกระทั่งอ่านได้ ผู้คนก็จะว่าดิฉันบ้าตาย อ่านแล้ววิญญาณนักอ่านเก่าสิง อ่านแล้ววางไม่ได้ด้องอ่าน ให้จบในคืนนั้น นั่งอ่านอยู่ในทางจงกรมนั่นแหละ พอถึง เวลาเขาลุกขึ้นภาวนาก็ถึงเวลาเราเข้านอน ถึงเวลาที่เขาจะ เข้าไปช่วยกันในครัวเราก็ร้สืกเป็นตุ๊กตาล้มลุก    รู้สิบครั้งแรกๆ นี่ลำบากยากเข็ญเหลือเกินท่านอาจารย์สอนว่า "ล้าเมื่อไหร่มีความรู้สิกอยากนอน ต้องไปเดินจงกรมจนกระทั่งรู้สีกสตคมกริบแล้วพอสติคมกริบจึงลงไปนอนได้ เมื่อมีความรู้สืกตื่นต้วทั่วพร้อมไม่ ง่วงเหงาหาวนอนนั่นแหละจึงนอน" ดิฉันก็นึก "ท่านอาจารย์ อะไรจะปานนั้นการปฏิบัติธรรมนี่ต้องเอาหัวเดินต่างตื่นหรืออย่างไรกัน" ท่านอธิบายต่อ "จะได้ฝึกนอนด้วยความ มีสติ ไม่อย่างนั้นเรานอนด้วยกิเลส ยิ่งนอนเท่าไหร่ก็ยิ่งหิว นอนเท่าไหร่ไม่อิ่ม"เมื่อไหร่ดิฉันจะโกง มีความรูสืถว่า มันไม่ไหวแล้ว ซอคลานไปนอนเถอะ จะรู้สีกเหมือนถูกไฟช้อต จ่าเป็นต้อง ลงมาเดินจนกระทั่งสติอยู่กับใจดีแล้วจึงไปนอนได้ แรกๆ ดิฉันก็นึกเถียงในใจ "แล้วตามันสว่างจนอย่างนี้นอนที่ไหน มันจะหลับ" แต่ปรากฏว่าหลับเรียบร้อย เพราะร่างกายเป็น สมมติ ย่อมพร่องไปตามสุขภาพ เมื่อเหนื่อยเมื่อยล้าก็ต้อง ลงเหยียดนอน ต้องพักผ่อน เริ่มนอนเป็นด้วยความมีสติ มันดีมีคุณภาพ พอลงนอน ท่านให้กำหนดลมไปเรื่อยๆ จะหลับตรงไหนก็ให้มันหลับไป เรากำหนดลัก  2-3 ลม เข้าออกก็หลับ และหลับไปอย่างมีคุณภาพเมื่อรู้สึกตัวท่านห้ามพลิกซ้ายย้ายขวาแล้วหลับต่อ ให้ลุกลงทางจงกรมเลย ท่านส่งไปอยู่กฏิที่ไม่มีบันได จะซัก ให้อ้างว่าเดี๋ยวตกบันไดไม่ได้รู้สึกตัวเมื่อไรให้ออกไปลง

ทางจงกรมเลย หน้าก็ย้งไม่ต้องล้าง เพราะนั่งล้างหน้าอาจ จะเผลอนั่งหลับอีก ลงทางจงกรมเลย เริ่มแรกก็ประท้วง '‘โอ๊ย จริงๆเลยนะ'' แต่ต่อไปๆ ก็เริ่มคุ้นเคยเป็นนิลัย พอแล้วสติมากำกับให้ลงทางจงกรม ใจก็ตื่นท้นทีไม่มีช่วงที่ จะสะลมสะลือ ใจไม่รั่วไหลไปนึกถึงอดีตบ้าง อนาคตบ้างช่วงที่มักเผลอคือช่วงตื่นนอนก่อนที่สติจะมาสวบคุมรักษาอย่างนี้ ถ้ากระจกของเรายังตามไม่ท้นส่องใจ

อะไรที่เป็นตะกอนค้างคาอยู่ในใจและเราคมไม่ทันตอนกลางคืนชำระบัญชีแล้วก็ว่าตูแน่แล้วไม่มีอะไรเหลือค้างชำระ เฝ็าให้ดี ตอนตื่นนอนนี่แหละ ถ้ารู้ไม่รีบทุ่งหลาว ลงทางจงกรม ตอนนี้แหละ อะไรๆที่ค้างอยู่และเมื่อคืนนี้หาไม่เจอมันจะทุ่งขึ้นมากระพือฟัดใจของเราให้ปรุงเป็นอารมณ์ติดฟันไป อย่างถ้บว่าวติดลมบนแล้วกระตุกไม่อยู่ เชือกขาดเลยได้เห็นอย่างนี้บ่อยๆมันก็ตามทันและรู้ด้วยว่าถ้าเราไม่รักษาตัวเรา ไม่ป้องกันให้ดี ปล่อยให้เกิดโรคแล้วมัน พิการทุพพลภาพ และเหนื่อยยาก กว่าจะดึงกล้บมาเข้าที่ได้ ใหม่ก็สะบักสะบอมเจียนตาย แต่ถ้าเราระวังพอรู้ตัวสติเข้า มาเรียบร้อยรั้วไม่มีช่องโหว่ ทุกอย่างเรียบร้อยอยู่ในโอวาท เหมือนกับเราเป็นนางฟ้านางเทวดา นี่แหละ ถ้าเมื่อไรเรา ได้เห็นมติของใจเราที่ทั้งบวม ทั้งบ้า ทั้งดี ทั้งเฉยๆไม่ดีไม่ เลว ก็ท่าให้เราต่อยๆปล่อยวางความยึดถือในตัวเราว่าตูแน่ ใครอย่ามาว่าเชียวนะ ทั้งๆที่บางทีเราก็ไม่รู้ตัวเรา แต่มัน ฝังรกรากอยู่ในจิตไร้สำนึกพอมีอะไรมาชนก็กระเพื่อมออกมาให้เราเห็นว่า ฤทธเราถึงขั้นนี้เชียวนะ สติที่ คมไวขึ้นก็จะต่อยๆรู้ขึ้นมาอย่างนี้เมื่อรู้ขึ้นมาอย่างนี้แล้วก็ยังมีทางแพร่งอีก รู้แล้วเรา ไม่ปล่อยความยึด กิเลสก็ตลบหล้งเข้ามาอีก เพราะ "รู้''อันนี้กลายเป็นอุปกิเลสไปอีก รู้ตัวทั่วพร้อมคมไว แต่ว่า ด้วยแรงของอุปาทาน พอรู้ตัวก็ต้องกำหนด จะเข้าสมาธิ ไหได้เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มันก็แฉกออกไปใน ทางที่ผิดอีกแล้ว เป็นโมหสมาธิ เป็นมิจฉาสมาธิ แต่ถ้ารู้ อย่างนี้แล้วเราระลึกได้ว่าจริงๆ แล้ว พุทธะ ผู้รู้ ตื่น เบิกบานนี้รู้อย่างไร มันรู้ตามความเป็นจริง ท่าเหมือนกับว่า มันเป็นเครื่องรายงานที่คอยเฝ็าสังเกตสิงที่เกิดขึ้นเพราะถ้าอังมีผู้กระทำอยู่ ก็อังมีตัวเราเราปฏิบัติเพื่อจะเป็นเพื่อนผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราปฏิบัติเพื่อจะไม่มืสักกายทิฐิไม่มีตะปูที่มาตรึงเราไว้กับภพชาติ ถ้าเอาผู้รู้อันนี้ไปประตับให้เราคมกริบ อวิชชา คือความผ่องใสอย่างยิ่ง 'ฉันรู้' เราตกกลับไปในอวยกิเลส อีกแล้ว แต่ถ้าเราคอยระมัดระวังสติให้เป็นสัมมาสติ ไม่ต้องไปอวดอ้างกับใคร ไม่ต้องไปยกตนข่มท่าน ตอน กำลังท่าก็ไม่รู้ว่ายกตนข่มท่าน คิดเพียงว่า เวลาปฏิบัติก็ ด้องมีสภาหนูสภาแมว จะต้องมาปรึกษาหารือกัน เดี๋ยว เขาจะว่าเราเพ้อไป ต้องตรวจสอบกันเอาไว้ แต่จริงๆไม่ใช่ จะอวดว่าของเรามันเฉียบแค่ไหน ใสแค่ไหนถ้าเกิดความอยากพูดอย่างที่ท่านอาจารย์สอนอยากนอนต้องไม่นอน อยากพูดต้องไม่พูด แล้วดูชิ'ว่า'ไจ เต้นขลุกฃลักๆไปแค่ไหน ถ้ามันอังเป็นปกติ ถึงไม่พูดก็ไม่

เป็นไร ใช้ได้ แปลว่า ''รู้" อันนี้เป็นธาตุรู้ เป็นพุทธะ เรา ก็ปฏิบัติต่อไปๆให้เป็นความคล่องตัว ให้เป็นอัตโนมัติขึ้นแต่ถ้า ''รู้" แล้วมันด้นไปหมด อยากจะไปสอนคน โน้น อยากจะไปบอกคนนี้ คนนั้นไม่ได้เรื่อง ถ้าอย่างนี้ทั้ง เอาซิปติดปาก ทั้งเอาโซ่ล่ามมือล่ามเท้าไว้ อย่าให้มีโอกาส ไปข้องแวะกับผู้ใด ท่านอาจารย์ลังว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต้องเข้า ไปอยู่ในปาให้ลึกที่สุดไม่ต้องเจอผู้เจอคนแล้วก็อย่าเผลอไปพูดกับต้นไม้ด้วย ท่านบอกถ้าเราฝึกอย่างนี้จึงจะ เห็นผลของทุกอย่างมาแต่เหตุถ้าเราประกอบเหตุที่เป็นของแท้ ผลก็เป็นของแท้ ใจของเราเบาสบาย ใจของเราก็มีสติรักษา มีปัญญาแนะสอน อะไรมากระทบก็จะเกิดแยบคายอุบาย ท่าใหใจมองทุกอย่างในแง่สร้างสรรค์ มองทุกอย่างในแง่ที่ อะไรจะเป็นคุณเป็นประโยชน์ทั้งกับตัวเราและผู้เกี่ยวข้องให้ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นต้นว่าแต่ก่อนนั้น มือะไรมา กระทบปับสังเกตดู เราจะนึกในทางร้ายไว้ก่อน เพราะว่า เป็นข้าทาสของอวิชชามาตั้งแต่ก่อนเราเกิด        เพราะฉะนั้นอะไรที่ฝึกเราเอาไว้จนกระทั่งเป็นอัตโนมัติของเรา ย่อมต้อง เป็นอกุศลเป็นกิเลสทั้งสิ้นมีอะไรหายไปน่ากลัวคนนั้นมาขโมยของเราไป นี่น่ากลัวคนนี้มาแกล้งเราคือเราคอยจะเพ่งโทษ ระแวง

มองคนในแง่ร้ายเข้าไว้ ใจของเราคือก้อนบาป ไม่มีอะไรที่ เป็นบุญเป็นกุศลเลย แต่เมื่อมาฝ็กให้สติอันนี้เป็นสัมมาสติ เข้าทิศทางที่ถูกต้อง ก็ทำให้เราอยู่ในมรรค จะทำอะไรก็ เป็นมรรคทั้งนั้น เมื่อเป็นมรรคแล้วผลย,อมเป็นการคลาย ทุกข์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดออกมา เหตุผลก็ดี ปัญญาก็ดี เริ่มเป็นฝ่ายกุศลสิ่งที่เป็นธัมมะทำให้ใจของเราค่อยเบาสบายขึ้นเรื่อยๆ เราอาจจะทำอะไรที่เหมือนเราโง่ เซ่อ แต่ว่าจริงๆแล้วเรา ไม่ได้ทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก่อนมาปฏิบัติคนบางคนแลดูเหมือนมีใจใสสะอาด แต่ก็ใสแบบประภัสสรคือจิตเดิมแท้ของเราเป็นจิตประภัสสรแต่อังไม่ใช่จิตบริสุทธิ้ กล่าวคือใสเหมือนนํ้าที่เอา มาตั้งทิ้งไว้จนกระทั่งตะกอนนอนก้นเลยเห็นข้างบนใสจิตเด็กเกิดใหม่อังไม่สำแดงความโมโหหงุดหงิดเพราะอังไม่มี อะไรไปเร้า หรือจิตของเราเมื่ออังไม่เจอวิกฤตของชีวิตก็อัง ใส อังเป็นกุศลอยู่เพราะไม่มีอะไรมาเร้าให้อาสวานุสัย

กระเพื่อมขึ้นมาออกฤทธเต็มที่ แต่ก็เป็นสักยภาพซ่อนเร้น อยู่ข้างใน ถ้าไม่ระมัดระวังตรงนี้ เราจะไปคิดว่าการที่เราไม่ ไปนินทาว่าใคร เราทำบุญสุนทาน มีใจอารีอารอบ แปลว่า เราดีแล้ว อังไม่พอ เราต้องเอาตัวของเราไปพิสูจนั้เปฟ้าดู เวลาเข้าที่ด้บข้นเวลายากไร้ขาดแคลนไม่ได้มีเหลือเฟืออย่างที่มีเดี๋ยวนี้ แล้วใจของเราจะยังดีอยู่อย่างที่เคยดีขณะ นี้ไหม ถ้าถึงคราววิกฤตแล้วเรายังรักษาความดีไวได้ อันนี้ จิตของเราจึงบริสุทธิ์จากความชั่วร้ายแล้วถ้าไฝ่ได้ทดสอบจนกระทั่งแนใจมั่นใจ อย่าเพิ่งไปหลง มันแคใสเพราะตะกอนนอนถ้นเท่านั้นแหละ ท่านจึงว่าเมื่อ ปฏิบัติไปจนรู้สืกว่าไม่มีกิจที่จะกระทำอีกแล้ว ให้เอาตัวของ เราออกมาตั้งกลางปะร่า            ของอันไหนที่แตกอนเราไม่เอาเราไฝ่แตะต้อง ใครให้มาเราให้คนอื่นไป     ตอนนี้เราต้องลองเอามาใช้แล้วดูว่า ขณะเอามาใช้นั้นเกิดความคิดความอยาก ความหวงแหนขึ้นมาไหม คือเราเอาตัวเราเช้าไป ทดสอบท่ามกลางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสใหม่ แต่สติ จะต้องเป็นกระจกที่คมกริบคอยส่องตามรู้ให้เท่าทันและไม่ โกงเช้าช้างตัวเอง ไม่ใช้ทำนองเด็กกินช้าวจานหนึ่งไม่อื่มขออีกจานโอ๊ย ลูกใครนะพ่อแม่ไม่สอน ตะกละจริงเชียว.. แต่ถ้าเราผู้ใหญ่ขออีกจานหนึ่ง..วันนี้เจริญอาหารถ้าสติเป็นแบบนี้ ปฏิบัติแล้วรับรองลงอวยกิเลสไป เริยบร้อย ไฝมีทางแก้ใขพัฒนาตัวเอง แต่ถ้าเราเอาสันมีด ถากคนอื่นเอาคมมีดถากตัวเอง สิง่ที่ได้มาจึงจะเที่ยงธรรม เมื่อเอาตัวเราเข้าไปพิสูจน์ว่าถึงจะไปอยู่ท่ามกลางโลกธรรม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเย้ายวนแค่ไหน สติยังทำให้เราเห็นว่า เราไม่อยากอีกแล้ว เพราะอิ่ม รู้ สิ้นสงสัยหมดแล้ว ท่าอย่างไรเราก็ไม่หลงเห็นผิดเป็นชอบ ไปอีกแล้วถ้าเป็นอย่างนี้เราก็จะเบาสบายและแนใจว่าเลี้ยงตัวเอง ได้ อริยทรัพย์ที่เป็นเสบยงนี้เป็นของแท้ จะไปที่ไหนก็ไม่กลัว แม้จะไม่รู้จักก็มีความแน่ใจมั่นใจว่าสิ่งที่ได้จนเป็น อริยทรัพย์อยู่ในใจเพียงพอจะคุ้มครองให้เราไม่อับจน ไป ที่ไหนก็รักษาตัวรอดได้ทั้งนั้นที่สุดของการปฏิบัติคืออย่างนี้ เราไม่ไปยกตนข่มท่าน เราเสิยสละอนุเคราะห์เกื้อกูลทุกอย่างเท่าที่จะท่าได้เพราะเป็นความเสมอภาค เป็นเพื่อนร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้ท่าด้วยความหลงรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วมานึกเสียดาย หริอเสียใจเมื่อภายหลังแต่เราท่าด้วยความรู้เท่าทันว่าทุกสิ่งเป็นสมบัติของโลก ทุกๆชริตมีสิทธื้ในส่วนแบ่งของมัน เพราะฉะนั้นเราไม่โกงตัวเอง ไม่โกงผู้อึ่น ใครจะรู้ใครจะ เห็นหรือไม่เราก็ท่าไปตามเนี้อผ้าใครรักษาไวได้เราก็อนุโมทนา ใครรักษาไม่ได้เราก็เมตตาสงสาร เราช่วยแล้ว ไม่มึอะไรดีขึ้นเราก็อุเบกขา รอคอยจังหวะที่เขาจะฉกใจได้ คด ตื่นขึ้นมาเมื่อไรค่อยเริ่มตันกันใหม่ ไม่ใช่ว่า พอเขา นุกได้คืดเราก็ว่าเขาให้เจ็บชํ้านํ้าใจ "นี่บอกแล้วๆใช่ไหม ล้า ส่อกัน1ตั้งแต่ปีที่แล้ว เดือนที่แล้วม้นก็ไม่ทรุดโทรมถึงแค่นี้" ล้าอย่างนี้ก็ไม่เรียกว่าหวังดี แต่เอากิเลสไปเหยียบเขาไปขยี้เขาจนกระทั่งแหลกเละนี่แหละสติของเราต้องให้เท่าทันและคอยพิพากษา พิจารณาตัวเองอยู่อย่างนี้เรี่อยๆ  ถ้าเห็นเท่าทันและรู้ตามความเป็นจริง ไม่ใต้มีตัวเราเป็นผู้รู้     ไม่ได้ไปหลงไปภาคภูมิ ไปสำคัญผิดยึดหมายในความรู้อันนั้นมีอะไรท่าไปตามเหตุปัจจัย มีอะไรที่เราเอื้ออ่านวยความสะดวกความสบาย เป็นประโยชน์กับใครได้เราก็เอื้ออำนวยไป อะไรที่กาลเทศะ ยังไม่เหมาะเราก็งดเว้นไว้ก่อน แล้วก็ดูให้พอเหมาะพอดีชีวิตของเราก็จะเป็นชีวิตที่น่าความร่มเย็นเป็นสุขมาทุกคนที่ได้สัมผัสกระจกส่องใจหรือสติ คือทางสายเอก สายเดียวที่จะพาเราไปส่ความพ้นทุกข์เราอย่าไปติดว่าตอนนี้ยังไม่มีเวลาไปวัด เรายังท่าเต็มที่ไม่ไต้ เพราะฉะนั้น ช่างผันก่อนเถอะ อย่าลืมว่า .. ช่างผันก่อนเถอะ .. คือ การฝึกนิสัยชุ่ยๆ ชั่วๆ เอาไว้ ครั้นถึงเวลาที่เราจะท่าเราก็ แก่จนกระทั่งไม่ไหวแล้วพระอาทิตย์คล้อยจนจะตกแล้วไว้พรุ่งนี้เถิด.. ไว้ชาติหน้าเถิด.. ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็ขาดทุน ไปเรื่อยหวังว่าสิงที่ยกมาสนทนาสู่กันฟังในวันนี้ คงเป็นข้อ คิดสะกิดใจให้ท่านเกิดความขวนขวายจะฝึกฝนสติไว้เป็น กระจกที่มีประสิทธิภาพสำหริบส่องใจของตน ก็ขอฝากไว้ แค่นี้



พิมพ์โดยปภัสสรมีพงษ์

แหล่งที่มาhttp://web.krisdika.go.th/buddha/31_mirror.pdf


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top