Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา สาระของชีวิต

บทความหมออมรา
สาระของชีวิต


ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่               -
ณ                  ไม่มีบรรยาย
อันดับที่     



เรามาช่วยกันพิจารณาดูทีหรือว่า ชีวิตของเราคือ อะไรกันแน่ ดูอย่างผิวเผิน เราว่าชีวิตก็คือรูปลักษณ์ที่ เห็น ๆ กันว่าเป็นคุณก คุณข. คุณค เห็นแค่นี้ก็แสดงว่า เห็นเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะเห็นแต่บ้านเรือนของตัวเองรูปร่างที่เราเห็นประกอบกันขึ้นเป็นเนื้อตัวของเรา ทางธรรมท่านว่า เป็นธาตุประกอบของดินน้ําลมไฟ แรกๆใจของดิฉันก็ไม่อยากเชื่อหรอกว่า อะไร...เราเป็นดิน มัน จะเป็นดินไปได้อย่างไร แต่เมื่อเริ่มใส่ใจสังเกตศึกษาเรื่อง ของตัวเองมากขึ้น มากขึ้น วันไหนเราเหนื่อยมากๆ หรือ ไปทำงานโยธา ถึงตอนอาบน้ําแล้วเห็นขี้ไคลที่ออกมา ใจก็พอจะยอมรับว่า เราคงมาจากขีดินจริงๆ เพราะวิชาแพทย์ก็สอนไว้ว่า ขี้ไคลคือซากเซลล์ผิวหนังที่แก่ตายแล้วลอกหลุดออกมากับคราบสบู่และเหงื่อไคลมื่อศพเซลล์ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของร่างกาย ตาย หลุดออกมา มีลักษณะให้เห็นว่า ไม่ผิดอะไรจาก ขีดินนะ สอดคล้องกับวิชาชีววิทยาทีว่า เซลล์ประกอบ ไปด้วยธาตุที่ข้นแข็งและที่เป็นของเหลว หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือดินและน้ำนั่นเองเพราะดิน คืออะไรก็ตามที่ข้นแข็งทรงรูปอยู่ได้ ส่วนน้ํา คือสิ่งที่เลื่อนไหล เปลี่ยนรูปไปตามภาชนะที่ถูกบรรจุเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็ไหลนองไปตามพื้นผิวที่ไม่ถูก จำกัดขอบเขต เมื่อเห็นอย่างนี้ เราก็พอจะยอมรับความจริงที่ว่า เราเป็นดินเป็นน้ำได้แต่ทุกวัน้ราก็เผลอ..หนังของเราสวยอยู่นะบางที ไม่ค่อยจะสวยแล้ว ก็มีศัลยกรรมตกแต่งมาช่วยทำให้หลงอยู่ต่อไป เริ่มจะมีริ้วรอยก็ทำให้กลับตึงได้ สีผมชัก จะเปลี่ยนไป ก็มีน้ำยาย้อมให้กลับเป็นสีเดิมได้วิทยาการสมัยใหม่ล้วนแต่อำพรางเราไว้วจากการจะมารู้จักชีวติตามที่ เป็นจริง เผลอกระพริบตาเดียว ก็มีอย่างอื่นๆ มาทำให้ไขว้เขวไปรู้จักชีวิตด้วยความหลง ไปรู้จักกับเงาของชีวิต ไปเสียนี่เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็ตัองตั้งสติต่อสู้อย่างสาหัส เป็นต้นว่า มองดูผมตัวเองในกระจก โอ้โฮ ชักเริ่มหงอกหลายเส้นแล้ว เราก็เผลอ ...ไปย้อมเสียทีก็ดีนะ ถ้าสติตามมารักษาไว้ทัน ก็ได้คิดว่า "...ไม่เอา เราจะเก็บไว้อย่าง นี่แหละ เอาไว้พิจารณาเวลาอยู่ตามลำพังกับตัวเอง เราก็ว่า มันเท่ดีนะ การมีผมหงอกแสดงว่าเราเริ่มมีประสบการณ์สูง แต่พอ ไปในสังคมที่ใครๆ นิยมย้อมผมกัน แล้วถูกทักว่า “ตาย แล้ว ทําไมเธอถึงปล่อยตัวให้โทรม ล้าสมัยอย่างนี้”ราก็ได้เห็นใจของเรา วูบวาบหวั่นไหวเมื่อเริ่มต้น ดิฉันพูดถึงบ้านเรือน คือรูปร่างหนัา ตา ที่เห็นแล้วว่าเป็นดิน เป็นน้ำ ส่วนลมคือที่เราหายใจ เข้าหายใจออก รวมทั้งลมในระบบทางเดินอาหาร ไฟ คือความร้อนที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหาร ทำให้ เนื้อตัวของเรารักษาความอบอุ่นไว้ได้ ถ้าเราไม่แน่ใจว่ามี ไฟอยู่ในตัวเรา เวลาไม่สบายจะเป็นลม ลองจับตัวเองดู ว่าเย็นชีดแค่ไหน เมื่อไฟธาตุเกิดความไม่ปกติ อุณหภูมิร่างกายจะต่ำ หรือสูงจากภาวะธรรมดาถ้าเราค่อยๆ ศึกษาตัวเองอย่างนี้อีกหน่อยก็จะคุ้นเคยกับความคิดที่ว่า แต่ละคนก็คือก้อนดินน้ําลมไฟ จะเอาอะไรกันนักกันหนา ไม่อย่างนั้น ถูกใครกระทบ กระทั่งเข้า เป็นไม่ลดราวาศอก ...นี่ตัวฉัน นี่ของฉัน ถอย ออกไปเชียวนะ อย่ามารุกรานนะ เสียรังวัด ก็เกิดการ ทะเลาะเบาะแวงกันบ้างจากนั้นดิฉันก็พูดถึงใจขึ้นมา ใจตัวนี้คือตัวที่ให้ สาระกับชีวิต มีธรรมชาติเป็นธาตุรู้ เป็นพลัง แต่เจ้าของ รู้จักใจของตัวได้ยาก เพราะไม่ใช่วัตถุสิ่งของที่มองเห็นหรือจับต้องได้หลายๆ ท่านคงเคยเกิดอารมณ์ บางทีก็โกรธ แน่นในหน้าอกจนหายใจไม่ออก หรือบางทีก็ดีใจจนรู้สึก ว่า ใจฟูคับ หน้าอกพองไปหมด หรือมากยิ่งไปกว่านั้น ก็แทบจะทำให้ตัวเราลอยได้ทีเดียวแหละเมื่อไรที่เราเกิดความรู้สึกเช่นที่ว่ามานี้ให้เฝ้าสังเกต และคอยติดตามเหมือนอย่างกับเราเป็นนักสืบคอยสะกดรอยว่า คนๆ นี้จะหายเข้าไปในบ้านไหน ให้เอาสติ ความระลึกรู้ จดจ่อดูพลังความรู้สึกนี้ว่า ค่อยๆ เปลี่ยนไป
อย่างไร เมื่อสงบแล้ว เข้าไปสงบอยู่ที่ตรงไหน เราก็พอ จะกำหนดได้ว่า ใจตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บริเวณกลางๆ ทรวง อกของเรานี่เองเพราะฉะนั้นการที่เราจะมาทำความรู้จักกับใจ มารู้หาสาระของชีวิตได้ เราต้องเริ่มด้วยการมีสติหรือความระลึกรู้ เพื่ออาศัยเป็นนักสืบให้คอยติดตามเฝ้าเห็น ใจของเราว่ากระเพื่อมไปอย่างไรบ้าง เกิดความนึกคิด อะไรบ้าง เสวยอารมณ์ใดบ้างถ้าใจยังสบายๆ ดีอยู่ เรามักหามันไม่พบ เพราะ มันชอบเล่นซ่อนหากับเราอยู่เสมอแต่เรารู้จักที่อยู่ของมันแล้ว เมื่อกี้เราสะกดรอยตามจนรู้ว่าอยู่แถวๆ กลางอก ไม่ใช่ไปอยู่ปลายแขนปลายขาหรือที่ตรงไหน ก็เอาสติไป คอยจดจ้องกำหนดหามันได้เมื่อเราแยกแยะชีวิตว่า ประกอบไปด้วยส่วนที่เป็น กาย กับส่วนที่เป็นใจแล้ว ส่วนที่เป็นกาย ใครๆ ก็รู้ ทั้งนั้นว่า เป็นเหมือนกับเครื่องยนต์ สรีรยนต์เครื่องนี้ เริ่มเดินเครื่องทำงานเมือตั้งต้นมีลมหายใจ มันก็เหมือนเครื่องยนต์อื่นๆ เมื่อเครื่องเดินได้ มันก็ดับได้ เครื่อง ยนต์อันนี้แสนกลตรงที่ไม่มีใครรู้ว่า อายุไขของเครื่องยี่ห้อนี้ จะคงทำงานอยู่ไปเป็นเวลาอีกนานเท่าไร บาง เครื่องกำลังทำงานอยู่ดีๆ ถูกรถชนเปรี้ยงเดียว เครื่อง ดับไปเสียแล้วไม่มีหลักประกันอะไรที่จะบอกเตือนกันได้ ล่วงหน้าเลยมีผู้เปรียบสรีรยนต์ว่าไม่ผิดอะไรกับก้อนน้ำแข็ง เมื่อเอาก้อนนําแข็งออกจากช่องแข็ง มาตั้งไว้ในห้องนี้ถึงไม่มีใครไปแตะต้องหรือทำอะไรกับก้อนน้ำแข็งเลย มีครอบแก้วครอบรักษาไว้อย่างดี ไม่ให้ลมเป่าพัดไปถูก ต้องเลย ก้อนน้ำแข็งก็ค่อยๆ ละลายไปเอง จนกลาย สภาพเป็นน้ำไปหมดเกลี่ยง ไม่เหลืออะไรที่คงความเป็น น้ำแข็งอยู่เลยกายสรีรยนต์ของเราก็เป็นทำนองนัน เพราะเป็น ของไม่คงทนถาวร บกพร่องในตัวของตัว ไม่มีใครไปทำอะไรให้ เก็บถนอมไว้อย่างดีวิเศษ กายก็แก่ชราไปตาม เวลาที่ผ่านไปเราก็อยากแก่หรือไม่อยากแก่ ก็ล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจขิงกาลเวลา เวลาที่ผ่านไป ตึก.ติก.ติก...นั้นดึงเอาชีวิตทุกชีวิตให้แก่ไปตามเวลานาทีของโลก มีอายุเพิ่มเป็น 1 ปี 2 ปี 10 ปี 50 ปี พอเริ่มขึ้นเลขห้า ใครอย่ามาถามเชียวนะว่า อายุเท่าไร มันไม่ถูกรูหูเลยทีเดียว เชียวแหละ เพราะเราเริ่มตระหนักชัดว่า ไม่สามารถ ควบคุมบังคับความแปรเปลี่ยนได้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อะไรๆ ในโลกนี้ย่อมเป็น ไปตามสามัญลักษณะ หรือลักษณะสามประการ ไตรลักษณ์อย่าเขลาเบาปัญญาไปยึดมันถือมันสำคัญผิดว่า ก้อนร่างกายนี้เป็นของเรา เพราะถ้าเป็นของเราจริง เราบอกว่าอย่าแก่ มันก็ต้องเชื่อสิ นิปรากฏว่ามันเหมือน ก้อนน้ำแข็ง ไม่มีใครไปทําอะไรให้ มันก็ละลายไปเรื่อยๆ แสดงความเป็นอนิจจังคือไม่เที่ยง หาสาระแก่นสารไม่ได้เราบอกว่า เรายังแข็งแรงอยู่นะ ปรากฏตื่นเช้าขึ้นมา ปวดเมื่อยเนื่อตัวไปหมด เพราะเมื่อคืนฝนตก เรา เลยจับหวัดจะไปออกคําสังว่า ฉันยังหนุ่มยังสาวยังแข็งแรงวันนี้จะไปทำโน่นทำนี่ก่อน มันเกิดทรยศกบฎขึ้นมา ก็ ไม่บอกเตือนเราล่วงหน้า ดีไม่ดี ตื่นนอนปรากฏว่านําใน ช่องหูแตกสามัคคีทำงานไม่สมัครสมานประสานกัน พอลุกขึ้นก็หัวทิ่มหัวตำ โคลงศีรษะไม่ได้ ต้องนอนแอ้งแม้ง อยู่ในเตียง นี่แหละความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่เป็นของเรา ใครขึ้นไปยึดถือว่า ตูแน่ ตูสามารถบังคับทุกอย่างในโลกนี้ได้ ก็ทุกข์ลูกเดียวเท่านั้นเพราะฉะนั้น ลักษณะสามประการของอะไรๆ ใน โลก คือ ความไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ปราศจากสาระ แก่นสารเป็นตัวตนเราเขาสัตว์บุคคล เป็นอนัตตา ใครไม่ ฉลาดรอบคอบรู้จักมันตามเป็นจริงใจย่อมทุกข์เดือดร้อน เป็นทุกขังเมื่อเห็นอย่างนี้ จะได้ดูต่อไปว่า แล้วส่วนไหน ของชีวิตเล่าที่ควรเสียเวลาไปจดจ่อเพ่งเล็งใจ เป็นธาตุที่ไม่เกิดไม่ตาย เป็นพลัง ถึงสรีรยนต์ ะดับเครื่อง ลมหายใจหมดไป ร่างกายจะเน่าเบื่อยผุพัง เขาเอาไปเผาก็เป็นขี้เถ้า เขาไม่เผาก็สลายแตกกลับเป็น ดินไปดังเดิม แต่ใจไม่เน่าไม่เปี่อยไม่ผุไม่พังไปด้วยหลายท่านคงแย้งในใจว่า ดิฉันดีแต่พูดไป เอา อะไรมาเป็นพยานหลักฐานมีผลของงานวิจัยที่สนับสนุนแล้วว่า ใจเป็นนักเดินทางมาราธอน พอคลอดจากท้องแม่ มีลมหายใจขึ้นมาก็เหมือนกับเราเข้าไปห้องพักในโรงแรม คือก้อนร่างกายนี้ อะไรๆ เราก็อาศัยใช้สิ่งของที่มีอยู่ในโรงแรม ไม่ว่าจะ เป็นเครื่องอุปโภคบริโภค พอได้เวลาอันสมควร คือ หมดลมหายใจ ใจก็ออกเดินทางท่องเที่ยวหาโรงแรมอื่นต่อไปนักวิจัยในสหรัฐอเมริกาใช้วิชาสะกดจิตลึก สะกด อาสาสมัคร ให้ระลึกย้อนกลับไปสู่อดีต ถอยไกลออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งคอยถามว่า ขณะนี้คือใครจากการทดลองพบว่า อาสาสมัครเล่าถึงอดีตของตัวว่า ชื่ออย่างนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่ชื่อในปัจจุบัน เกิดเมื่อ คริสต์ศตวรรษที่ 18 บ้าง 17 บ้าง นักวิจัยบันทึกคำบอกเล่าทั้งหมดลงแถบบันทึกเสียงไว้ แล้วส่งเจ้าหน้าที่ ไปสอบหาหลักฐานตามคําบอกเล่า พบว่า เรื่องของอาสา สมัครบางคนตรงกับบุคคลในประวัติศาสตร์ มีหลักฐาน เอกสารอ้างอิงเหลืออยู่เป็นเครืองยืนยันว่า สิ่งที่อาสา สมัครเล่านเล่านั้น ได้เกิดขึ้นในอดีตจริงผลจากงานวิจัย ทำให้นักวิจัยลงความเห็นว่า จิตป็นสิ่งที่ไม่ตาย ทำงานเหมิอนคอมพิวเตอร์วิเศษที่เก็บ บันทึกอะไรทุกอย่างที่ตนผ่านพบมา เราเรียกบันทึกนี้ว่า ประจุกรรม บรรจุติดอยู่ในส่วนของจิตไร้สำนึก เมื่อถูก สะกดให้ส่วนนี้สื่อสารออกมา จึงรู้ว่ายังจดจําได้ หมายรู้ขณะที่ส่วนของจิตสำนึกจำไม่ได้แล้วมีคำอธิบายว่า ที่เราจำอดีตเหล่านี้ รวมทั้งสภาวะในมดลูก 9 เดือนก่อนคลอดไม่ได้ เป็นเพราะขณะที่เรา ผ่านช่องคลอดออกมา ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนเจ็บปวดสาหัส จนความจeเหล่านี้เลอะเลือนไปถ้าจะโทษกระบวนการคลอดว่า ทeให้เราจeอะไร ไม่ได้ ทําไมคนที่คลอดจากการผ่าตัดออกทางหน้าท้องก็ จะไม่ได้เหมือนกัน แม้แต่สิ่งที่เราทํากันอยู่ในแต่ละวัน แต่ละวัน ทุกวันนี้ เราก็จำไม่ได้ เป็นต้นว่า มีใครมาถามว่า วันนี้ ตั้งแต่เช้าลืมตาตื่นขึ้นมา คุณทำอะไรมาแล้วบ้าง ให้เขียนรายงานโดยละเอียดดิฉันว่าทุกคนคงถือปากกาค้าง เพราะเหตุการณ์ ที่ทบทวนได้จะโหว่หายไปเป็นช่วงๆ ไม่ต้องอะไรมาก เพียงแค่ถามว่า เมือกลางวันนี้กินข้าวกี่คำถึงอิ่ม เราก็จำไม่ได้ เพราะไม่เคยใส่ใจตั้งสติตามรู้การกระทําของตัวเอง ราไม่เคยฝึกใจของตัวให้มีความระลึกรู้ ตามรักษาใจให้ รับผิดชอบ จดจํารายละเอียดของแต่ละการกระทำที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวชีวิตของเราจึงเหมือนนักการพนันตลอดเวลา หา สาระแก่นสารไม่ได้ แล้วเราก็หงุดหงิดว่า ไม่ยุติธรรม ทำไมพระเจ้าจึงลำเอียง ให้เราพบแต่สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเวลาเราประกอบแต่ละเหตุลงไปด้วยกายก็ดีด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี เราไม่เคยพินิจพิเคราะห์หรือ ถี่ถ้วนกับคุณภาพของสิ่งที่กระทำเลย เหมือนเราหว่านมล็ดพันธุ์ลงไปในทิสวนแปลงหนึ่ง ที่อยู่ในความรับผิด ชอบของเรา เวลาหว่านไปเราก็ละเมอบ้าง หลับในบ้าง หรือคุยกับเพื่อนเพลินไปบ้างหยิบเอาพันธุ์ใน้นไปหว่านตรงนี้ เอาพันธุ์นี้ไปหว่านตรงนั้น สับสนปนเปไปหมดพอต้นงอกขึ้นมาไม่เป็นระเบียบ เราก็โวยวายว่า ใครมายุ่งวุ่นวายในที่ของเรา เราไม่ได้หว่านอย่างนี้สักหน่อยหนึ่ง แต่ความจริงถ้ามีใครถ่ายวิดีโอไว้ แล้วมา ฉายย้อนหลังให้ดู เราจะไม่มีทางเถียง เพราะว่าเราเอง ทำไว้ทุกขั้นตอนการจะหาสาระจากชีวิต จึงต้องเริ่มต้น ความรู้จักกับใจของตน จนเกิดความเชื่อว่า ใจเป็นนามเป็นพลัง เป็นธาตุทิไม่ตาย สามารถจำประสบการณ์ทุก อันเอาไว้ในตัว แล้วคอยจัดสรรให้ตัวเองเป็นผู้รับมรดก ของการกระทำเหล่านั้น เราจะได้เกิดความรอบคอบถี่ถ้วน ย้าถามตัวเองทุกครั้งว่า ทำอย่างไรถึงจะเลือกสรรสร้างแต่มรดกที่พึงปรารถนาให้กับตัวเองได้ เพื่อไม่ต้องผิดหวังในนอนาคตกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแต่ละเวลานาทีของชีวิตเมื่อร่างกายเป็นเพียงบ้านเรือน เราจะได้คอย เตือนตัวเองให้จัดสรรเอาเวลามาบํารุงรักษาดูแล ทำความรู้จักกับใจของตัว จะได้ประโยชน์กว่ามัวไปยึดผูก พันแต่กับร่างกาย หรือไปคับข้องขุ่นเคืองกับลูกเต้า พ่อแม่ ญาติพี่น้อง รวมทั้งใครอื่นว่า ทำไมเขาถึงไม่เป็น เหมือนเรา มีความเห็นไม่ตรงกับเรา แล้วไปเฝ้าปฏิวัติ ปฏิรูปให้เขามาเป็นมาเห็นเหมือนเราหมุนความสนใจมาที่ใจของตัวเอง สังเกตเวลามี สิ่งมากระทบว่า เรามีปฏิกริยาตอบสนองออกไปอย่างไร บ้าง ถ้าตั้งใจทําจริงจัง เราจะพบว่า เราไม่รู้จักแม้กระทั่ง ใจของตัวเอง ควบคุมบังคับก็ไม่ได้ แล้วจะไปอ้างได้ อย่างไรว่า ลูกต้องได้ดังใจของเรา เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราเหนื่อยยากทําขึ้นมา เราให้กำเนิดเขาขึ้นมาเซลล์ไข่ของแม่กับเซลล์เชื่อของพ่อเป็นวัตถุดิบให้ สร้างได้แต่ร่างกาย คือรูป บ้านเรือนที่เห็นอยู่นี้เท่านั้นแต่พลัง นาม ที่เป็นปฏิสนธิวิญญาณ หรือใจนั้น เป็น คนละส่วนคนละอัน เป็นอิสระเสรี ไม่ข้องไม่เกี่ยวกันเลยอุปมาเหมือนเรากำลังปลูกบ้าน ใจหรือปฏิสนธิวิญญาณที่มาปักหลักจับจองเอาบ้านที่เรากำลังปลูก เป็นที่อยู่อาศัยจนคลอดออกมาเป็นลูกของเรานั้น ไม่ได้มา เซ็นสัญญาขออนุญาตกับเรา หรือมาแนะนําตัวให้เรารับรู้ หากเป็นแขกจรมาจากไหนก็ไม่ทราบ เคยเป็นเพื่อนรัก เรา หรือเป็นศัตรูคู่อาฆาตเรามาก็ได้เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดมาแล้ว เขาสำแดงอาการ วิปริตให้เราเห็น เวลาพูดจากัน เราไปทางขวาเขาจะไป ทางซ้าย เราไปทางเหนือเขาจะไปทางใต้ ก็อย่าไปเกรี้ยว กราดหรือทุกข์โทมนัสน้อยใจ ตัดพ้อต่อว่าว่า เราฟูมฟัก เลี้ยงรักษามาตั้งแต่ฝ่าตีนเท่าฝาหอย แล้วทำไมถึงได้ ทรยศกบฎรักกับเราอย่างนี้ เพราะความจริงเขาเป็นใคร มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้ตกล่องปล่องชิ้นกันเลยว่า การ เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้จะต้องยอมทำตามความพอใจของเราถ้าเริ่มต้นมองชีวิตด้วยความเห็นชอบอย่างนี้ ไม่ ปล่อยให้ใจไปยึดผิดเห็นผิดแล้ว อุบัติเหตุทางใจที่จะ เกิดขึ้นเพราะความสําคัญผิดก็ลดลง เกิดความคล่องตัว ที่จะคิด พิจารณาหาทางดำเนินชีวิต ยอมรับว่า แต่ละ คนเป็นปัจเจกบุคคลที่มีอิสระเสรีทางใจ อะไรๆ ที่มา เกี่ยวข้องกัน เป็นต้นว่า เราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน มีหน้าที่ที่จะต้องทำงานด้วยกัน เราเกี่ยวพันกันด้วย ความรับผิดชอบทีต้องประสานงานกันแต่นอกเหนือไปจากหน้าที่การงานแล้ว เป็นสิทธิ ส่วนตัว จะยังเป็นเพื่อนกัน หรือไม่เป็นเพื่อนกัน ก็ไม่มี ใครมาบีบบังคับได้ถ้าแต่ละคนทำใจให้เข้าใจตรงนี้ได้ ความคล่องตัวในการทำงานจะมีมากขึ้น เพราะเรามักไปยึดผิด ไปเข้าใจว่า เมื่อเป็นเพื่อนกัน อยู่หนว่ยเดียวกัน ที่ทำงาน เดียวกัน เราจะต้องมีความคิดเห็นเหมือนกัน เหมือนกับ ต่างฝ่ายต่างเป็นชิ้นส่วนของกันและกัน มันไม่ใช่อย่างนั้นคนเราล้วนต่างจิตต่างใจกัน บางทีด้วยความตั้ง ใจดี ด้วยความรัก แต่ผิดกาลเทศะ ก็ทําให้อีกฝ่าย หนึ่งสำลักความรักเสียสะบักสะบอม จนไม่เข้าใจกัน ดังภาษิตที่ว่า ถนนสู่อเวจี สามารถปูลาดด้วยความ ปรารถนาดีถ้าใจเห็นตรงจุดนี้ ความคิดเพ่งโทษ หงุดหงิดคับข้องใส่กัน หรือเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ต้องมีฝ่ายหนึ่งถูกฝ่ายหนึ่งผิด จะลดน้อยลง ใจเริ่มมองกว้างขึ้น ...เราอยู่ในเรือลําเดียวกัน ไม่มีใครจงใจแกล้ง หรือเจตนาร้ายหรอก เรือเกิดไปชนหินโสโครก มีรูทะลุขึ้นมา เหมือน ที่เรากำลังมีปัญหากับเรื่องงานอยู่นี่แหละ ทำอย่างไรเรา จะร่วมแรงรวมใจกันเอาเรือไปให้ถึงฝั่งจนได้ใครสามารถทางวิดน้ำก็หาภาชนะมาจัดการวิด ใครมีชันก็เอามายาอุดรูรั่วเข้า ฝีพายก็เร่งพาย คือแต่ละ คนแบ่งกันทําหน้าที่ตามความสามารถของตัว โดยไม่ ต้องไปเสียเวลาค้นหาว่าใครเป็นคนพาเรือไปชนหินโสโครก เอาตัวมาลงโทษให้ได้ระหว่างที่ก่นหาว่า ใครเอาเรือไปชนหินโสโครก น้ำก็พุ่งเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดเรือจม เมื่อเรือจมนี้ ไม่ใช่คนทำเรือทะลุจมเพียงคนเดียว เราคนดีคนถูกก็ พลอยจมไปด้วย เพราะล้วนแต่อยู่ในเรือลำเดียวกันเมื่อใจเป็นตัวให้สาระกับชีวิต ตลอดช่วงที่เรามี ชีวิตอยู่ ลมหายใจยังมีอยู่ เราควรทำอย่างไร เพราะ ส่วนใหญ่ของชีวิตตอนนี้ หน้าที่งานการคือสาระที่สำคัญ ที่สุด ทำอย่างไร เราเหนื่อยกาย เราไปทำงานทุกวันๆ ใจจึงจะสร้างเสบียง สร้างมรดกเอาไว้ให้ตัวเอง เมื่อถึง เวลาที่เนาเกษียนอายุไป หรือไม่ทำงานตรงนี้ ย้ายไปทํางานที่อื่น ย้อนระลึกนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาครั้งไร ครั้งไรก็ปีติ ชุมชื่น อิ่มเต็ม ได้กำลังของใจ ไม่หงุดหงิดขัดข้อง เราควรมีจุดมุ่งหมายอย่างไรในการทำงานของเราถ้าเราตังเป้าว่า งานคือเงิน งานคือความสําเร็จ งานคือตำแหน่งที่ก้าวหน้าขึ้นไปโดยลำดับ เราไม่สุขใจหรอกเพราะอะไรเพราะสิ่งเหล่านี้ เงินก็ดี ตำแหน่งหน้าทีที่ก้าวหน้า ลื่อนขั้นขึ้นไปก็ดี ล้วนเป็นส่วนของโลกธรรม เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อิงอาศัยคนอึนภายนอกมาตัดสิน
ถ้าคนที่มีอำนาจเป็นคนดีมีหลักเกณฑ์ เหมือนคำกล่าวในมงคลสูตรที่ว่า การอยู่ในถิ่นประเทศที่สมควร เป็นมงคลอันสูงสุด เราได้เจ้านายดีมีทศพิธราชธรรม ได้เพื่อนร่วมงานเป็นคนดี ต่างคนต่างรู้หนัาทิความรับผิดชอบ วัตถุสิ่งของลาภสักการะก็มีขึ้น ตามเหตุที่สมควรแก่เหตุแต่ถ้าเราไปอยู่ในถิ่นที่ไม่เหมาะไม่สมควร จิตใจของทาสนผู้ใหญ่เบา แกว่งไกวตามลมปากเรื่องอะไรเข้าหูก่อนก็ประทับรอยแน่นหนา จนกระทังเสียงอื่นๆ ที่ตามมาทีหลัง ไม่มีน้ำหนักจิตใจเช่นนั้นเป็นจิตใจที่อคติ เข้าครอบงำ โดยเจ้าของเองก็ไม่ทราบข้อบกพร่องของตน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ความหวังที่เราจะได้ลาภสักการะยศ สรรเสริญ สุข ย่อมไม่เป็นไปตามเหตุที่เหมาะควร สมแก่เหตุอุปมาได้กับเจ้าของนาบอกให้เราไปเลือกเม็ดพันธุ์ ข้าวดีที่สุดไปหว่านในนา เราก็ตั้งใจเลือก เอาไปหว่านแต่เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับที่นาผืนนี้ว่า เป็นนาดอน ฝน ตกเท่าไรๆ น้ำก็ไหลไปหมด ไม่เหลือขังไว้ในที่นา พันธุ์ ข้าวของเราก็งอกได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกคนหนึ่ง ซึ่งเรารู้ว่า เขาไม่ได้เลือกสรรพันธุ์ ข้าวดีเท่าเรา แต่ทีนาของเขา พอฝนตกก็มีน้ำขังอยู่พอ เหมาะ ได้แดดพอดี เมื่อผลปรากฏ นาของเขาได้ข้าว บริบูรณ์ดีกว่าเราราจะไปคังแค้น น้อยใจผลว่า ไม่ยุติธรรม อย่างนี้ก็ไม่ถูก เพราะเราไม่รู้อดีตเหตุว่า ที่นาที่เราจะไปได้ทำ คือมรดกของเราเอง สาเหตุที่เราได้นาดอน เป็น เพราะสิ่งที่เรากระทำเอาไว้ แต่เก่าก่อนจนลืมไปแล้ว ถึงวาระส่งผล จึงทําให้เรามาตกลงในนาดอนผืนนี้ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นทำเหตุซึ่งพาให้เขาได้นาดี ทั้งๆที่ปัจจุบันเหตุเขาไม่ได้มีความตั้งใจที่ประณีตดีงามเท่าเรา ความรู้ไม่รอบตามเป็นจริง จึงลวงให้เราเห็นเป็นเหมือนกับว่า เขาชุบมือเปิบ อย่าปล่อยใจของเราให้ไปเข้าใจผิด แล้วทุกข์โทมนัส ไปเพ่งโทษเขาว่า ไม่ยุติธรรม ทําไม ถึงเป็นอย่างนี้การที่เรามาทำงานนั้น เราไม่สามารถควบคุมบังคับ ผลที่เกิดขึ้นให้เป็นไปตามความตัองการได้ ถ้าทุกอย่าง เป็นไปอย่างจับวาง ชีวิตของคนก็ไม่เป็นปัญหาอย่างที่ราพบกันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าใครดีก็ประสบความสําเร็จ ใคร ชั่วก็ประสบผลที่เป็นการลงโทษ ในโลกนี้ไม่มีคนชั่วเหลือ คุกตะรางร้างแน่พลังของใจเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนทิศทางจะถูกต้อง หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งใจจะตั้งความอยากที่ถูกต้องดีงามตามทำนองคลองธรรม หรอืความอยากที่เบียดเบียนผู้อื่น หากพลังที่ตั้ง ไว้นั้นเข้มแข็งถึงระดับเดียวกัน ก็บันดาลความสำเร็จให้ เกิดขึ้นได้เหมือนๆ กัน แต่คุณภาพของความสําเร็จนั้น ไม่เหมือนกันถ้าเขากระทำสิ่งที่ไม่ดี แล้วประสบความสำเร็จ เลยไปสำคัญผิดว่า สิ่งที่ทำนั้นดีแล้ว เขาก็ทำอย่างนั้นไป เรื่อยๆ จนติดเป็นนิสัย วันหนึ่งผลของสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้บังเกิดขึ้น เขาก็จะตกใจ เสียขวัญ จนคิดหาทางออก ไม่ได้ถ้าขณะทำงาน เรามุ่งแต่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ อุปสรรคคือยาชูกำลัง มองทุกอย่างในชีวิตเป็นแบบฝึกหัด เพื่อฝึกพลังใจให้แข็งแกร่ง ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น เราพยายามหมุนหาทางออกที่ดีมีประโยชน์มาแก้ไขสถานการณ์ จนเราเกิดความมั่นใจในตัวของตัว สามารถประคับ ประคองหล่อเลี้ยงจิตใจให้ไม่ฟกชําดําเขียวเมื่อประสบ ความผิดพลาดล้มเหลวเหมือนเราไปเจอที่นาดอน ไม่ให้ผลอย่างคาด เราก็วิเคราะห์หาสาเหตุจนพบว่า ไม่ใช่ความบกพร่องของ เรา เราทำส่วนทีเป็นความรับผิดชอบเต็มที ดีทีสุดแล้ว แต่ไม่ได้เฉลียวใจจะสำรวจความเหมาะสมของที่นา เมื่อเจ้าของมอบหมายให้ไปทํา น้อมความผิดพลาดนี้มาเป็นเตือนให้เรารอบคอบในการดำรงชีวิตมากขึ้น เรียน รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ให้แจ่มแจ้ง แต่นี้ต่อไป อะไรที่จะทำให้ ผิดพลาดทำนองนี้ เราวางค่ายคูประตูหอรบให้กระชับรัดกุมเข้มแข็ง เพื่อป้องกันผลเสียหายทีจะเกิดขึ้นไม่ว่าผลของงานจะเป็นอย่างไร จิตใจของเราก็จะมีกำลัง สนุก เบิกบาน เพราะได้เก็บเกี่ยวความรู้ ประสบการณ์ ความชํานิชํานาญจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเชื่อมันในตัวของตัวถ้าเรายังพอใจที่จะอยู่ตรงนี้ เพราะงานท้าทาย ความรู้ความสามารถ ทำให้เราได้อาหารใจ เราก็ทำต่อไปถ้ามีเหตุ มีใครมาชักชวนไปที่อื่นที่เราเกิดพอใจ สนใจ เราก็ไปด้วยความสบายใจ เพราะมีความมั่นใจว่า ถึงจะ ไปอยู่ในถิ่นที่ไม่คุ้นเคย ประสบการณ์ที่ผ่านมา ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ย่อมเป็นเครื่องรับรองให้เราเชื่อฝีมือของเราได้ว่า เมื่อมีสติปัญญาอยู่กับตัว จะไปที่ไหน ก็คุ้มครองตัวรอดปลอดภัยเมื่อเป็นอย่างนี้ ใจของเราย่อมมีความผาสุก ตลอดกาล เพราะเป็นใจที่มีสาระถ้าไปประสบอุบัติเหตุเข้า ไม่ว่าความคิดอะไร จําได้หมายร้อะไ ขึ้นมาในใจ ย่อมเป็นแต่ ความจำได้หมายรู้อะไร จะแวบขึ้นมาในใจ ย่อมเป็นแต่ สิ่งที่ดีงาม ไม่ทําให้เราเกิดความสะดุ้งผวาเรามองชีวิตคนบางคนแล้วเคยแอบอิจฉาว่า ถ้าเราเป็นได้สักครึ่งหนึ่งของเขา คงบรมสุขเลย แต่พอไปเจอเขาเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤต เรากลับนึกขอบคุณ
ที่เราเป็นเรา เพราะใจของเราอิสระผาสุกกว่าเขามากมายใจของเขาเหมือนนักโทษที่ถูกจองจําไว้ด้วยความ ทุกข์กังวล หวาดผวาจากพฤติกรรมของตัวเอง ที่ยาม ปกติก็ไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ยามคับขัน เรื่องฝังใจใน ด้านไม่ดีมักสะดุดขึ้นมาปรุงแต่งผูกพันจิตใจให้ไปโศกเศร้า เสียใจ กับเหตุการณ์ที่แล้วไปแล้วว่า ถ้ารู้อย่างนี้ก็จะไม่ ทำหรอก ทำอย่างไรถึงจะแก้ไขความผิดความชั่วเหล่านั้น ได้ จะไปขอโทษ แก้ตัวชดใช้สิ่งที่ไม่ถูกต้องตามทํานอง คลองธรรมนั้นได้อย่างไรใจของคนเราคือประจุกรรม เปรียบเหมือนคอม.พิวเตอร์ที่เก็บบันทึกทุกการกระทำของตนเอาไว้ ไม่มี อะไรเลยที่เรากระทำลงไปแล้ว จะหลุดรอดไปจากการถูกบันทึกได้ ถึงแม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็นก็ตามลำดับจังหวะทีการกระทําเหล่านีจะปรากฎผลขึ้นมา ก็ไม่มีใครบอกได้ล่วงหน้า เพราะเราไม่รู้เรื่องของใจ เจนจบพอที่จะเข้าใจเรืองของกรรม หรือการกระทำของ ตนว่า จะมาปรากฏผลเมื่อไร เหมือนอย่างกับเราไม่ใช่ นักพฤกษศาสตร์ที่เชี่ยวชาญพอจะรู้ว่า เม็ดอันนี้จะหว่านลงดินนานเท่าไร กี่วัน กี่เดือน จึงงอกเป็นต้นขึ้นมาเมื่อเป็นดังนี้ เราก็เลยสับสน เพราะไปสำคัญเอาเหตุผลที่เพิ่งประกอบว่า เป็นสาเหตุของผลที่เคยกระทำไว้ ตั้งแต่ไม่รู้ก็สิบปี ได้วาระโผล่ขึ้นมาพอดี เราก็เลยเอาเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มาจับแพะชนแกะ แล้วก็ปวดหัวว่า ใครว่าทำดีแล้วได้ดีไม่เห็นจริงเลย เราเพิ่งทําดีมากับมือ แล้วดูผลทีได้รับสิ มันทําดี ได้ชั่วชัดๆ เหมือนกับเรื่องที่ที่ทำงานแห่งหนึ่ง มีเสมียรหนุ่มเจ้าสำราญมาทํางานสายเป็นประจำสาเหตุที่มาสาย เพราะกว่าจะกลับจากเที่ยวเตร่ สรวลเสเฮฮากับเพื่อนฝูงก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว ตอนเช้าจึงไม่ยอมตื่นเจ้านายเรียกมาว่ากล่าวตักเตือนจนเอือมระอาถึงขั้นให้ทำทัณฑ์บนว่า ถ้ามาสายอีก จะถูกไล่ออกโดยไม่มีการไต่สวนใดๆหลังจากทำทัณฑ์บน เขาก็มาทำงานตรงตามเวลา
ได้ประมาณ  1 อาทิย์กลางดึกคืนหนึ่งพ่อขอองเขาเกิดปวดบริเวณท้องน้อยกินยาธาตุแล้วอาการไม่ดีขึ้นเขาจึงพาพ่อไปโรงพยาบาล แพทย์เวรตรวจแล้วก็รับไว้ โรงพยาบาล จะต้องผ่าตัดคืนนั้น เพราะเป็นไส้ติ่งอักเสบเขาคอยอยู่ที่โรงพยาบาล จนพ่อออกจากห้องผ่าตัด ได้ทราบว่าพ่อปลอดภัย ต้องพักอยู่ในห้องพักฟื้นจนกว่าจะฟื้นจากยาสลบเรียบร้อย มีอาการทัวไปเป็น ปกติ จึงจะย้ายมาอยู่เตียงผู้ป่วยได้เมื่อเสร็จธุระเกี่ยวกับพ่อที่โรงพยาบาลแล้ว เขาก็รีบกลับมาทำงาน พอก้าวขึ้นตึกก็สวนกับเจ้านายพอดีเจ้านายมองหน้าเขาแล้วมองนาฬิกาข้อมือไม่ยอมฟังคํา อธิบายทีเขาพูด ยืนยันแต่ว่าผมไล่คุณออกตามทัณฑ์บนที่ทำไว้ เพราะคุณ สายไปหนึ่งชั่วโมงกับยี่สิบนาที คุณเอาเรื่องอะไรมาอ้าง ผมก็ไม่ฟังทั้งนั้นแหละ”เจ้านายฝังใจยึดอยู่กับพฤติกรรมแต่หนหลังของ เสมียน ไม่เฉลียวใจสักนิดว่า จะมีเหตุสุดวิสัยเช่นนี้เกิด ขึ้นได้ อุปาทาน ความยึดมันถือมันในใจของคน จึง เป็นรวงรังก่อให้เกิดทุกข์อย่างนี้เสมียนก็อาจเข้าใจไขว้เขวไปได้ว่า ทำดีแล้วได้ชั่ว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเหลวไหลแค่ไหนเจ้านายก็ ไม่เคยลงโทษอุกฤษฏ์ถึงขั้นนี้ ครั้งนี้เขาทำทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น แล้วเหตุใดผลจึงกลับตาลปัตรอย่างนี้ ขณะที่เรายังแข็งแรง มีเวลาสำหรับตระเตรียมเสบียงให้ตัวเองได้ ควรทําอย่างไร ถึงจะจัดสิ่งที่อยู่ใน ประจุกรรมของเราให้ปราศจากโทษ หรือจะตั้งรหัสควบ คุมได้ว่า ถึงตอนคับขัน ประจุที่ไม่ต้องการอย่าโผล่ขึ้น มานะ เอาแต่ประจุดี ที่ทำให้ใจเบิกบานป่วยการคิดอย่างนั้น เพราะไม่มีคอมพิวเตอร์ มหัศจรรย์อันไหน ที่จะสนองความต้องการของเราได้ ยิ่งเราหวั่นกลัว ไม่อยากให้สิ่งไหนเกิดขึ้นมา มันยิ่งมักจะเกิดมีผู้ปฏิบัติท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ท่านมีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง เลิกงานแล้วท่านมักแวะไปที่บ้านเพื่อนคนนี้ เสมอๆ ถึงเวลากลับ ก็ถอยหลังรถออกมากลับบนถนน หน้าบ้าน เพราะบริเวณบ้านไม่มีที่พอสำหรับกลับรถได้ ท่านทำอยู่อย่างนี้เป็นประจํานับเป็นปีๆ ก็ไม่เคยเกิดเรื่อง วันที่จะเกิดเรื่อง ลูกแมวของเพื่อนไปนอนอยู่ใต้ท้องรถตรงล้อพอดี ท่านเส็รจธุระกับเพื่อนมาขึ้นรถ ก ไม่คิดจะไปมองที่สี่ล้อรถให้เห็นกับตาว่า มีตัวอะไรไป นอนอยู่หรือเปล่า ตามธรรมดาพอติดเครื่องรถ ตัวอะไร ที่เข้าไปอยู่ใต้รถจะลุกหนีไปทั้งนั้น วันนั้นเป็นคราว เคราะห์อย่างไรไม่ทราบ พอท่านถอยรถออกมา ปรากฏว่าทับพอดีตัวลูกแมว ตายคาที่ท่านมาจากครอบครัวที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายเชื่อว่าการทำแมวตายตัวหนึ่งบาปเท่ากับทําเณรตายรูปหนึ่งความเชื่อนี้ฝังรกรากอยู่ในใจท่านด้วย ท่านจึงทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลไปให้ลูกแมว เมื่อเวลาล่วงไป เรื่องก็ค่อยลบเลือนไป จนท่านลืมสนิทว่า เคยถอยรถทับลูกแมวตายเมื่อเกษียณอายุแล้ว ท่านเริ่มฝึกทําสมาธิ ซึ่ง เรื่องที่เล่านี้เกิดขึ้นประมาณสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ทุกครั้ง ที่ทำสมาธิ ขณะที่จิตเริมสงบลงรวม ภาพล้อรถกำลังทับปรากฏขึ้นมาทุกทีท่านถามว่า ทำอย่างไร เวลาท่านจะตาย ภาพนี้จะไม่ปรากฏขึ้นมาดิฉันเรียนท่านว่า ถ้าท่านกังวลอยู่อย่างนี้ เวลา ดับขัน เจ้าแมวตัวนีจะโผล่มาเต็มจอทุกทีเลย แต่ถ้าท่านฝึกวิธีคิดเสียใหม่ อย่าไปกลัวว่า ความคิดหรือนิมิตถึงแมวจะโผล่ขึ้นมา พอนังสมาธิ มีนิมิตถึงแมวขึ้นมาอย่างนี้ เริ่มแผ่เมตตาให้แมวไป แล้วพิจารณาต่อว่า นี่อย่างไรล่ะ ถ้าเราไม่มีประสบการณ์อย่างนี้ เราก็จะไม่ซาบซึ้งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สติ เป็นธรรมที่ต้องฝึกให้มีมากยิ่งๆขึ้นไป ไม่เคยมีเลยว่าสติมากเกินไปแล้วเป็นพิษเป็นภัย มีแต่ว่า สติยิงมากเท่าไรยิ่งดีของบางอย่างมากเกินไปเป็นพิษเป็นภัย วิตามิน บางชนิดกินมากเกินไปจะสะสมเป็นพิษเป็นภัยกับตัวได้ เป็นต้นว่า วิตามินเอ จะไปเกาะสะสมที่เยื่อหุ้มกระดูก ทําให้เจ็บปวดได้ แต่สติมีมากเท่าไรไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยอย่างเรื่องลูกแมว ถ้าเราไม่ประมาทขาดสติ ก่อนจะขึ้นรถสำรวจเสียก่อนว่า ตรงล้อรถมีสิ่งแปลกปลอมอะไรหรือเปล่า ขอบคุณแมวที่มาเป็นครูสอนให้เราซึ่งในคำสอน ของพระพุทธเจ้าว่า ท่านเลิศประเสริฐจริง ไม่มีตรงไหนที่โต้แย้งคัดง้างได้ ใจก็คลายความสะดุ้งผิดแต่นี้ต่อไป เมื่อเรารอบคอบ จะเผลอทำอะไร ตามอำเภอใจ ก็มีสติระลึกรู้ได้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้แมวตายเปล่า เณรองค์หนึ่งเชียวนะ น้อมมาห้ามกันไม่ให้สิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นใจของเราก็ไม่สะดุ้งกลัว แต่กลับชื่นใจ เพราะเห็นในบุญคุณที่มันช่วยทำชีวิตของเราให้ไม่ประกอบอกุศลเหตุขึ้นใหม่ ใจก็น้อม แผ่เมตตาให้อีก อย่างนี้แมวก็ได้ดีมีสุข เราก็ได้ดีมีสุขลองทำดูเถอะ ท่านก็ไปปฏิบัติอีกสองเดือนต่อมา ได้พบกัน หน้าตาท่านยิม แย้มแจ่มใส รีบขอบคุณว่า ตอนนี้เวลานังสมาธิ จิตลง รวม สงบ ไม่มีนิมิตถึงแมวมารบกวนนี่คือวิธีชำระสิ่งที่เป็นความผิดพลาดไม่ใช่พยายามหาวิธีว่า ทำอย่างไรจึงจะเก็บกัน เรื่องไม่พึงปรารถนา ทำอย่างไรจึงจะมีรหัสสำหรับลั่นกุญแจปิดตาย ไม่ให้ความนึกคิดเหล่านั้นโผล่ขึ้นมา แต่ให้เรารับความเป็นจริง ทุกคนต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด เพราะเราเป็นปุถุชน การกระทำผิดคือวิสัยปุถุชน ให้ อภัยคือวิสัยเทพเจ้า ถ้าใครอยากเป็นมนุสเทโว โปรดขวนขวายร่าเรียนให้รู้เทคนิคของการให้อภัย แล้วจะได้เขยิบภพภูมิของใจ ตัวยังเป็นมนุษย์ก็จริง แต่ใจเป็น เทพ อิมทิพย์เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว สิ่งที่ควรคิดวางแผนในการทํางาน คือ ดึงเอาประสบการณ์ทุกอันมาเป็นครู มาเป็น แบบฝึกหัด ให้เราได้มองเห็นใจของตนชัดเจนว่า ยังมีไม่ทุกข์เดือดร้อนจากถูกคุมขังด้วยความสะดุ้งผิดแต่หนหลังของตัวเอง ที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ใครเห็นเมื่อใจเห็นอย่างนี้ เราก็ไม่หวันไหวไปกับคำวิพากษ์ วิจารณ์ หรือคำติชมของคนอื่น จนเฉไปจากทิศทางที่ ถูกต้อง ดังเรืองของพราหมณ์ธรรมเนียมของพราหมณ์มีว่าเมื่ออายุปูนชราแล้ว เขาจะมอบมรดกให้ลูกชายหรือใครก็ตาม รับภาระ เป็นทายาทสืบทอดต่อไป แล้วตัวเองก็จาริกไปแสวงบุญ ที่แม่คงคา ประกอบพิธีล้างบาป โดยลงชำระล้างร่างกาย ในแม่นําคงคาทุกวันๆ พร้อมทั้งสวดบริกรรมสะสมบุญ กุศลเป็นเสบียงให้ตัวเอง เพื่อว่าตายไปแล้วจะได้ไปสู่ สวรรค์ เพราะพราหมณ์เชื่อกันว่า แม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์สามารถชําระล้างบาปได้พราหมณ์ผู้นี้ร่ำลาบุตรภรรยา ญาติพี่น้อง เพื่อน ฝูงแล้ว ก็ออกเดินทางจากหมู่บ้านไป หมู่บ้านที่พราหมณ์ อยู่ไม่มีแม่นําเลย พราหมณ์ก็คิดเอาว่า แม่น้ําคงคาที่ว่า ใหญ่มาก คงจะใหญ่แค่นั้นแค่นี้พอเดินทางไปพบแม่นําสายแรกก็จัดแจงปักหลักอยู่ตรงนั้น เพราะเชื่อว่าเป็นแม่น้ําคงคา ตั้งใจประกอบพิธีสวดมนต์ บริกรรม อาบน้ําชําระกายในแม่น้ําคงคาทุกวันๆเวลาล่วงไป 5 ปี วันหนึ่งมีคนเดินทางผ่านมาเอ่ยคุยถึงชื่อของแม่น้ำ พราหมณ์ได้ยินแล้วก็ฉงน จึงเข้าไปไต่ถามถึงชื่อของแม่น้ำให้กระจ่างใจ ครั้นคนเดิน ทางบอก จึงทราบว่าหาใช่แม่นําคงคา จะต้องเดินทางต่อไปอีก จนพบแม่น้ําซึ่งใหญ่กว่าแม่นํานี้หลายเท่า จึง จะใช่แม่คงคาพราหมณ์ก็ออกเดินทาง รอนแรมไปประมาณ ครึ่งเดือน จึงพบแม่น้ำกว้างใหญ่มากขวางหน้าอยู่ สำคัญว่าเป็นแม่นําคงคาแล้ว ลงมือประกอบพิธีกรรม ต่างๆ อย่างที่แล้วมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ หมดเวลาไป อีก 5 ปี เกิดมีคนมาทักว่า ไม่ใช่แม่น้ำคงคาเสียอีกแล้ว พราหมณ์ก็ใจเสีย เพราะตัวเองแก่ไปถึง 10 ปีโดยเปล่า ประโยชน์ แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาออกเดินทางต่อไปคราวนี้ยังไม่ทันไปถึงแม่น้ำ ก็ล้มเจ็บและตายเสียระหว่างทางยมทูตมารับตัวไปยมโลก พาไปสู่ห้องพิพากษา ซึ่งมียมบาลนั่งเป็นประธาน เจ้าหน้าที่อ่านประวัติของพราหมณ์ให้ยมบาลฟังว่า ประกอบความดีความชั่ว อะไรไว้บ้าง แล้วสรุปว่า ในช่วงสิบปีสุดท้ายของชีวิต พราหมณ์ได้ไปทําพิธีล้างบาปที่แม่น้ําคงคา และตั้งใจ บริกรรมจริงจังติดต่อกันทุกวัน โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ดังนั้นบุญกุศลที่เกิดจากพลีกรรมเหล่านี้ สามารถ ชำระล้างบาปที่มีอยู่ให้หมดสิ้นไปได้ จึงขอต้อนรับ พราหมณ์ไปสู่สวรรค์พราหมณ์ประท้วงว่า เขาไปยังไม่ถึงแม่คงคาก็ ตายเสียก่อนยมบาลย้อนถามว่า เมื่อท่านรู้ว่า แม่น้ำเหล่านั้น ไม่ใช่แม่น้ำคงคา ถ้าท่านได้ไปจนถึงแม่คงคาจริง ท่านจะ บริกรรม ทําพิธีลอยบาปเคร่งครัดจริงจังกว่าที่ได้กระทํา มาแล้วตลอดสิบปีไหม?พราหมณ์ตอบว่า ไม่สามารถทำให้ดีกว่าเดิมได้ เพราะตลอดเวลาสิบปี เชื่อสนิทใจว่า แม่น้ำสองสายนั้น คือแม่น้ำคงคาได้ทุ่มเททำทุกอย่างดีที่สุด ถึงไปพบที่ได้แม่คงคาตัวจริง ก็ทำได้เท่าๆ กับที่ได้ทำไปแล้วนั้นแหละ ยมบาลจึงอธิบายว่า นั้นแหละ ใจของท่านถึงแม่ น้ำคงคาแล้ว เพราะฉะนั้นบุญกุศลที่ท่านกระทำ จึงเป็นของแท้ของจริง พาใจให้เข้าถึงสวรรค์สมบัติถ้าเรายกอุทาหรณ์เรื่องนี้มาเป็นหลักเวลาทำงาน อะไรที่เราทำทุกอัน เราทำด้วยความตั้งใจเต็มที่ ด้วย ความบริสุทธิ์ใจ ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น แล้วเราย้อนนึกว่า เราจะทำอย่างไรถ้ามีโอกาสแก้ตัวใหม่ เราก็บอก ตัวเองอย่างไม่ลังเลว่า ก็ทำเท่าที่ทำไปแล้วนั้นแหละทำไปแล้ว เกิดผิดพลาดอย่างนี้ เราก็ยินดีรับเป็นบทเรียน เพื่อให้รู้ว่า ที่สำคัญว่า ตัวเองเก่งแล้ว จริงๆ นั้นยังมีอวิชชาปิดบังอยู่ ยังรู้ไม่รอบเราก็ขอบคุณที่มีการผิดพลาดเกิดขึ้น ให้เราได้รู้ได้ฝึกหาวิธีแก้ไข ไม่อย่างนั้น เราเป็นฝีอยู่ก็ไม่รู้ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ฝีแตกขึ้นมาแล้วหนองเข้ากระแส โลหิต เราแย่ ขอบคุณที่เรื่องนี้เกิดขึ้นให้เราได้รู้ ไปกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นถ้าทำงานด้วยความคิดอย่างนี้ ทุกคนย่อมมีความสุข ไม่ว่างานการจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จะถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรก็ตามครั้งหนึ่ง มีคุณหมอท่านหนึ่ง ถูกเลือกให้มารับ งานบริหาร เมื่อทำไป ท่านเกิดความกลัดกลุ้มว่า ท่านตั้งใจทุ่มเทเวลาทำงาน จนภรรยาจะฟ้องหย่าอยู่แล้ว เพราะแต่ก่อนนั้น ก็ยังพอมีเวลาได้พูดคุยกัน ครั้นมา เป็นผู้บริหารด้วย มีแต่.....งานยังไม่เสร็จ...ไม่เสร็จ อยู่ร่ำไปท่านก็ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ท่านตั้งใจทำ ทุกอย่างสุดสติกำลังความสามารถ ทำไมผลถึงไม่เป็น ดังหวัง เมื่อไรถึงจะบังเกิดผลอย่างที่ต้องการเสียทีหลวงพ่ออธิบายว่า สิ่งที่คุณหมอกระทำ เปรียบ เหมือนกับการเอาเม็ดมะม่วงพันธุ์ดีมา ตั้งใจปลูก ดูแล อย่างดี จนมะม่วงงอกเป็นต้นแข็งแรง แต่ยังไม่ออกลูก หน้าทีของคุณหมอออกลูกมะม่วง หรือหน้าที่ต้นมะม่วง ที่จะออกลูกมะม่วงกันเล่าคุณหมอก็ได้คิดว่า ต้นมะม่วงมีหน้าที่ออกลูกหน้าที่ที่เราจะกระทำ คือ มุ่งประกอบเหตุทุก ๆ อันให้ดีสุดสติกำลังความสามารถ เรามีหน้าที่กระทำได้แต่เหตุ ก็ทำไป เมื่อถึงเวลาอันสมควรที่ต้นมะม่วงจะ ออกลูก มันก็ออกลูกเอง มะม่วงคนอื่นอาจเป็นกิ่งตอนก็ออกลูกเร็ว ของเราเป็นชนิดจากเม็ด ก็นานปีหน่อย เราไม่ต้องตกอกตกใจ เป็นทุกข์เป็นร้อน ไม่กังวลไปแย่งหน้าที่ของต้นมะม่วงหน้าที่ใครหน้าที่มัน เมื่อหน้าที่ของเราคือประกอบเหตุที่เป็นกุศล ก็ตั้งใจทำสิ่งที่เราเห็นว่าดีที่สุด จากน้ำใสใจบริสุทธิ์ ถ้าเกิดเหตุเสียหายร้ายแรงขึ้น แล้วเรา สามารถหมุนวันเวลากลับไปได้ เราจะเปลี่ยนใจทำอีกอย่างไหม? เมื่อทบทวนถามตัวเองแล้ว ก็พบว่า เราคงทำอย่างที่ได้กระทำไปแล้ว เพราะไม่ได้แอบเบียดบังผลประโยชน์อะไรเอาไว้ แต่ที่เกิดผิดพลาดเสียหายขึ้นมานั้น เป็นเพราะอวิชชา ความไม่รู้ของเรา ...เราก็เต็มใจน้อมเอาความผิดเป็นครู สอนให้เกิดวิชชา มองโลกตามเป็นจริงได้กว้างไกลขึ้นถ้าทำทุกสิ่งด้วยจิตใจที่สำนึก ระลึกรู้อย่างนี้ งาน การของเราจะเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตใจให้ชุ่มชื่นผาสุก ได้ตลอดทุกกาลทุกสมัย ทั้งขณะปัจจุบันที่กำลังทำ กิจกรรมนั้นๆ อยู่ ทั้งในกาลอนาคต เมื่อหวนระลึกนึกถึงเรื่องเหล่านั้นขึ้นมานอกจากนั้น แต่ละประสบการณ์ที่ผ่านพบมา จะ ฝังติดในใจเป็นเหมือนบัตรเครดิต เป็นเสบียงฝากสะสม อยู่ในธนาคารใจเมื่อจิตเป็นธาตุที่ไม่ตาย ถ้าร่างกายหรือบ้านหลัง นี้เจ็บไข้ได้ป่วย แก่เฒ่าลง เปรียบเหมือนบ้านถูกปลวก กัดกินจนพรุน ตากแดดตากลมจนร้าวรัว สุดจะซ่อมแซมก็ตายไปตามอายุขัย หรือประสบอุบัติเหตุ เหมือนเกิดไฟไหม้ขึ้นมา บันรอนลมหายใจให้จําต้องหมดไป เจ้าของบ้านคือจิตที่ไม่รู้จักตาย ก็ออกเดินทางท่องเที่ยวต่อไป แล้วก็ไปปักหลักสร้างอัตภาพร่างกาย คือบ้านเรือนใหม่ขึ้นมาพักพิงประสบการณ์ ความชำนิชำนาญต่างๆ ที่รู้เห็น ผ่านพบมา จนฝังติดอยู่ในจิตใจ ก็ยังคงอยู่ ไม่เน่า เบือยสูญหายไปกับร่างกาย ทำให้เมื่อเราไปเริ่มชีวิตใหม่ ไปพบเห็นอะไรทํานองนี้ จึงสามารถเรียนรู้ และทําสิ่ง เหล่านั้นได้อย่างคล่องแคล่วง่ายดาย ที่เรียกว่า มีพรสวรรค์ติดตัวมา เช่น โมสาร์ท จับไวโอลินขึ้นมา ก็สีเป็น เพลงอย่างไพเราะเพราะพรึงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นความบังเอิญ แต่เป็นชั่วโมงบินที่จิตใจของผู้นั้นได้สะสม ฝึกฝนอบรมตนมา หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า สะสมบารมีม เช่น เรามีลูกหลายคน แต่ละคนก็ปลุกปันมากับมือเหมือนๆ กัน ทำไมคนหนึ่งถึงแหกคอกออกไป ถ้า เป็นอย่างนี้ อย่าไปโทษลูกหรือโทษตัวเองว่า เอาใจใส่ ลูกไม่พอ เคียวเข็ญยังไม่พอเหตุเพราะทุนรอนเก่าของลูกมีมาไม่เท่ากัน ลูก คนอื่นมีสมบัติเก่าสะสมในจิตใจมาก่อนแล้ว พอเราบอก เราสะกิดเข้านิดเข้าหน่อย ก็จําความเก่าได้ แต่เจ้าตัวนี้ไม่ทราบหนีมาจากที่ไหน ไม่เคยเห็นไม่เคยทําอะไรอย่าง นีมาก่อนเลย จึงแย่สาหัสเหมือนอย่างกับว่า เราได้ไม้ซุงทั้งต้นมา จะมาไส ให้เป็นแผ่นกระดานปูพิน เราก็ต้องถากเปลือกออกก่อน แล้วเลือยให้เป็นแผ่น ค่อยๆ ตะไบเอาส่วนที่เป็นปุ่มป่า ทิ้งไป จนเรียบพอจะเอากบไสได้ ส่วนลูกคนอื่นๆ นั้น เขาเลือยสำเร็จรูปเป็นไม้กระดานมาแล้ว เพียงแต่ยังไม่ ได้ไสกบเท่านั้น มันก็ง่ายไปหมดถ้าเข้าใจอย่างนี้ เราจะได้ไม่ไปหงุดหงิดขัดข้องว่าเทียบเราเองเป็นบรรทัดฐาน มันน่าจะได้ผลเรียบร้อยแล้ว ทำไมลูกน้องคนนี้จึงทำยังไม่ได้เรื่องสักที มันน่าฆ่าให้ ตายเสียดีไหม?ถ้าคิดอย่างนี้ ใจเราเขม็งเครียด ดีไม่ดีโรคกระเพาะถามหา หรือไม่อย่างนัน ความดันเลือดสูง อายุก็ปูนนีแล้ว เส้นเลือดเราก็ไม่ต่างไปจากสายยางที่คน งานลากข้ามพื้นซีเมนต์ตากแดดตากฝนใช้งานอยู่ทุกวันจนสึกกรอบ แทบหาความยืดหยุ่นไม่ได้แล้วเมื่อความดันขึ้นสูงพรวดพราด เส้นเลือดก็แตก โดยง่ายดาย ถ้าถึงตาย เป็นอันเกมกันไป แต่ถ้าตายก็ไม่ตาย หายก็ไม่หาย นอนกระดุกกระดิกไม่ได้ พรหมลูกฟัก ใครเห็นก็วิพากษ์วิจารณ์ ไม่รู้ตัวแล้วแหละป็นอัมพาตพูดไม่ได้แต่ความจริง ใจยังรู้ ยังรับผัสสะทุกสิ่งทุกอย่างได้เหมือนเดิม ไม่ได้เป็นอัมพาตไปกับร่างกาย ลองตรองมันจะทุกข์เดือดร้อนแค่ไหน ได้แต่รับรู้ แต่ไม่มีสิทธิ์ตอบโต้ อยากพูด อยากอธิบาย พยายามตะโกนจนสุดแรงเกิดเสียงก็ไม่ลอดผ่านลําคอออกมา ถ้าเป็น กับตัวเรา จะทุกข์เดือดร้อน แสนสาหัสสักเพียงไหนเมื่อดิฉันเริ่มทํางานใหม่ๆ ได้คนไข้รายหนึ่ง อายุ 8 ปี ติดอยู่ในบ้านที่ถูกไฟไหม้ กว่าจะช่วยออกมาได้ก็ แทบจะไหม้หมดไปทั้งตัวแล้ว เมื่อมาถึงโรงพยาบาลคน ใช้ไม่รู้สึกตัว ผิวหนังที่ไม่ไหม้พองถลอกปอกเปิก เห็นจะเหลือแต่ที่บริเวณหน้าผากเท่านั้น พิศดูแล้วก็คิดว่าพอ จะใช้ให้เลือด ให้น้ำเหลือง น้ำเกลือและยาทางเส้นไหวคนไข้กระสับกระส่าย ศีรษะส่ายไปมาอยู่ตลอด เวลา ดิฉันบอกกับคุณพยาบาลที่ช่วยอยู่ ให้จับศีรษะคนไข้ให้นิ่ง เพื่อจะได้แทงสายน้ำเกลือได้ พร้อมทั้งขู่เธอว่าถ้าศีรษะไม่อยู่นิ่ง ดิฉันแทงพลาดแล้วละก็ คนไข้ตายแน่ เพราะไม่รู้จะหาเส้นที่ตรงไหนได้อีกพูดจบ ดิฉันก็เริ่มสะดุดใจ เพราะศีรษะคนไข้ที่ไม่ เคยอยู่นิงเลย หยุดทันที และหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นตลอด เวลาที่ดิฉันแทงสายน้ำเกลือ คุณพยาบาลแทบไม่ต้องจับเขาเลยตั้งแต่นั้นมา ถึงอาการของเขาจะบ่งบอกว่า ไม่ รู้สึกตัว ดิฉันจะให้การรักษาพยาบาลอะไร ก็จะพูด อธิบายกับพยาบาลดังๆ และพบว่า เขาให้ความร่วมมือ ทุกครั้งเราก็ดูแลประคับประคองเขาไว้ที่หน่วยไอซียู่ในภาวะ ไม่รู้สึกตัวอย่างนี้อยู่ประมาณเกือบเดือน จากนั้นเขาก็ ค่อยฟีนตัวขึ้นโดยลำดับ จนออกจากไอซียู มาพักฟืนที่หอผู้ป่วย เพื่อปลูกผิวหนัง ผ่าตัดยืดเอ็น ทําศัลยกรรม
ตกแต่งให้เขาสามารถช่วยตัวเองได้ใกล้เคียงกับสภาวะปกติ มากที่สุดระหว่างเวลาเหล่านี้ เขาก็คุ้นเคยกับพวกเราจนพูดคุย เล่าถึงความรู้สึกนึกคิดของเขาให้ฟัง เยี่ยมอาการวันหนึ่งเกิดคุยพาดพิงไปถึงตอนที่เขาเข้ามาโรง พยาบาล เขาเลยเล่าว่า เขาได้ยินที่ดิฉันขู่คุณพยาบาล ชัดเจน เขาจึงตะโกนตอบสุดเสียงว่า ผมได้ยินนะครับ ผมเป็นเด็กดี จะไม่สันหัว ไม่กระดุกกระดิกหัวเลย แต่ไม่มีเสียงออกมา เพราะเนื้อตัวผมทุกส่วนหนักอึ้งเหมือนกลายเป็นแท่งตะกัวไปหมดเรื่องนีเป็นประสบการณ์อันแรกเกี่ยวกับคนไข้หนัก ตอนนั้นดิฉันยังไม่ทราบว่า กายกับจิตเป็นคนละส่วน คนละอันกัน จึงเริมฉงนว่า ความรู้ในตำราแพทย์ เป็นเอกสารอ้างอิงที่เชื่อถือได้แค่ไหน เพราะตำราเล่มไหนๆ ก็สอนว่า คนไข้โคม่า คือไม่รู้สึกตัว ม่านตาขยายกว้าง ไม่รับรู้ผัสสะ ไม่มีปฏิกริยาสะท้อนใดๆ ตอบสนอง แล้ว เหตุไฉนคนไข้จึงรู้ได้ถี่ถ้วนอย่างนี้ไม่แต่เท่านั้น เขายังเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตอนอื่นๆ ได้ตรงตามความเป็นจริงที่ได้เกิดขึ้น จะว่าเป็นความบังเอิญก็ไม่ได้ เพราะเขารู้ถูกต้อง เพียงแต่ ร่างกายทรยศรวมหัวกันปฏิวัติ ไม่ปฏิบัติตามใจของเขาเมื่อค่อยฟื้นตัว มีกำลังขึ้น ร่างกายซึ่งเปรียบ เสมือนเครื่องมือเริมคล่องตัว จึงแสดงอาการต่างๆ ให้เราเห็นว่า คนไข้เริ่มรู้สึกตัวแล้ว พูดโต้ตอบกันรู้เรื่องแล้ว เรืองของกายจึงถูกจำกัดควบคุมอยู่ด้วยสมมติ บัญญัติ แต่ความรู้ของใจ เป็นคนละส่วนละอันกัน ยังไม่มีเครื่องมืออะไรจะเข้าไปส่องบันทึกออกมาให้เรารู้เห็นเข้าใจได้อีกรายหนึ่ง เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ขณะกำลังลงสนามแข่งขันกีฬากันอยู่ เขาเกิด ปวดท้องกระทันหัน จนเป็นลมหมดสติไปในสนามฟุตบอล ต้องเอาส่งโรงพยาบาล คุณหมอตรวจแล้ว วินิจฉัยว่าไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ต้องผ่าตัดทันทีหนุ่มนายนี้เล่าให้ฟังว่า ขณะเล่นฟุตบอลอยู่ ใจก็ จดจ่ออยู่กับทีม ไม่ได้วอกแวกไปคิดถึงเรื่องอะไร เมื่อ รถพยาบาลมารับ เขาก็นั่งไปกับรถ คนงานเอาเปลมารับเมื่อถึงโรงพยาบาล เขาก็ลงจากรถ เดินตามไปด้วย แต่ช่วงที่เข้าห้องตรวจ เขาจำไม่ได้ มาจําได้อีกครั้งเมื่อเห็น พ่อท่าทางรีบร้อน ตกอกตกใจ เดินไปดูที่เปลเข็น เขาก็ ไปสะกิดเรียกพ่อ แต่พ่อไม่พูดด้วย ไม่มีใครพูดกับเขาสักคน เขาเข้าห้องผ่าตัดไปก็ไม่เห็นใครห้าม พยายามถามใครๆ ว่าเขาเป็นอะไร ก็ไม่มีใครตอบ จนพยาบาล เข็นเตียงเขาออกมาจากห้องผ่าตัด เขาจึงเห็นตัวเองนอน สลบอยู่บนเตียง เลยตกใจว่า ทําไมตัวเองมีสองตัว หรือ เราตายแล้วช่วงที่ตกใจนี่แหละ ความรู้สึกของเขาก็ดับวูบไป มารู้ตัวใหม่อีกทีเอาตอนฟื้นจากยาสลบปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ขณะจิตลงรวมเป็นสมาธิ แยกกายแยกจิตออกจากกันหลักฐานเหล่านี้ช่วยยืนยันให้เห็นว่า ใจกับกายไม่ ได้ผูกติดกันอยู่ อย่างที่เราไปยึดมันสำคัญผิด ต่างอัน ต่างอยู่ ใจเปรียบเหมือนตัวเราที่กําลังนังอยู่ในห้อง คือ ร่างกายตัวนี้ หากมีใครมาตาม หรือเรามีกิจจําเป็นจะ ออกไปข้างนอก เราก็เดินออกประตูไปอย่างสบายๆ ไม่ มีความยุ่งยากในการจะออกไป ใจไม่เจ็บปวดรวดร้าว สลบไสลไปกับร่างกายที่แปรปรวนไปตามสภาพธรรมชาติของธาตุขันธ์เมื่อรู้เรื่องกาย เรื่องใจของตัวเองอย่างนี้แล้ว เรา จะจัดวิธีการครองชีวิตของตัวเองอย่างไรให้เกิดสาระสูงสุดเราก็เห็นจากอุทาหรณ์ต่างๆ แล้วว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับทิศทางของความคิด ถ้าเราคิดไม่ชอบ ไปตั้งเป้าเอาไว้ ผิด ไปหวังที่ผลว่า ทำอะไรแล้ว ผลจะต้องได้เป็นลาภ สักการะ อิสริยยศ คำแซ่ซ้องสรรเสริญ ความสุขสมหวังถ้าคิดเช่นนั้น เราขาดทุน เพราะถ้าผลไม่เป็นไปอย่างใจ เราหมดกำลัง เป็นเหตุให้ผู้คนโจมตีได้ว่า ก็เธอเป็นอย่างนี้ บทจะดีก็ดีเหลือใจ แต่บทจะฟุบแฟบก็ไม่มีใครเปรียบ แล้วจะให้เขาไว้วางใจ เลื่อนขั้น มอบหมายความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นให้ได้อย่างไรกันแต่เราไม่เห็นอย่างนั้น ที่เราไม่มีแรงทําดีต่อไป เป็นเพราะว่า เราทําจนหมดกําลังแล้ว ผลก็ไม่ได้อย่างที่หวังสักที เราจึงพลอยหมดกำลังใจไปด้วยถ้าเปลี่ยนทิศทางคิดเสียใหม่ว่า ขณะทำอะไร เรา สนุกกับสิ่งที่ทำ เราได้เรียนรู้ ได้ทักษะ แล้วทักษะที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นอริยทรัพย์สะสมเป็นเสบียงอยู่ในธนาคารใจ ให้เราพึ่งพิงตัวเองได้ ไม่ว่าเราอยู่สารทิศใด ถึงถูกปิดตา ไม่มีตำรับตำรา เราก็สามารถแก้ไขปัญหาที่ขวางหน้าได้สำเร็จ เพราะความจัดเจนที่เก็บสะสมมาทุกวีวัน เป็นสมบัติ ที่แท้จริงอยู่ในตัวของเราแล้ว ความสนุก ความอิมเต็มที่เกิดขึ้นในใจแต่ละวัน แต่ละวัน จะเป็นเสมือนอาหารและที่พักให้แก่ใจ เหมือนความคิดชอบเหล่านี้เป็นต้นไม้ที่งอกงาม เจริญเติบโต แผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงาให้แก่จิตใจของตัวเองที่หันหน้ามาพึ่งพิง ทําให้ใจมีฐานที่หนักแน่นมันคง เกิด ความเชื่อเลือมใสในศักยภาพของตนถ้าผลที่เกิดตามมาดี เป็นอิฏฐารมณ์ ก็คือเป็น กำไรต่างหากถ้าเราฝึกวางจิตใจไว้อย่างนี้ พลังในการประกอบ การงานและครองชีวิต จะคงเส้นคงวาสมาเสมอ ประคับ ประคองเราให้ไม่หวันไหววูบวาบไปตามโลกธรรม คือผลจะต้องใจ หรือขัดเคืองใจ เราก็หล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้ร่มเย็นเป็นสุขอยู่ได้ เพราะรู้ เข้าใจเท่าทันโลกแล้วถ้าเราครองชีวิตของเราเชนนี้ ก็เท่ากับว่าเราฝึกฝนสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างฐานให้จิตใจของเรามีสุขภาพแข็งแรง มีพลกําลังตังมัน ไม่ปล่อยใจให้เป็นทาสของผู้คน
รอบข้าง มิเช่นนั้น เขาชมเชยเราก็เบิกบาน ทั้งๆ ที่เรื่องก็อย่างเดียวกัน แต่เขาไม่ชื่นชม เราก็กระสับกระส่าย ขาดความแน่ใจว่า ที่ทําลงไปนั้นดีหรือไม่ดี ถ้าเป็นเช่นนี เราก็ดูแล เลี้ยงใจตัวเองให้มีความสุขตามสมควรไม่ได้เพราะเราต้องคอยพึงคนรอบข้างว่า เขาจะให้ประกาศนียบัตรรับรองเราว่าอย่างไรพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ใจที่ยังอิงอาศัยอยู่กับโลก ธรรมอย่างนี้ เป็นใจที่หาความสุขได้ยากลําบาก เพราะ เราไม่รู้ว่าผู้คนรอบข้างเราเป็นคนดีหรือไม่ดีถ้าเขาเป็นคนเอาพรรคเอาพวก มีอคติ เราไม่ใช่ พรรคพวกเขาทั้งๆที่เราทำดี ทำอย่างเดียวกันเมื่อวานนีเขาชมเชยเรา แต่วันนี้ไม่ถูกกิเลสเสียแล้ว เขาเลย กระทึบเราเสียจมธรณี ใจเราก็ชอกช้ำสาหัส เพราะไปยึดอยู่กับถ้อยคำ อากัปกริยาของเขา ด้วยความซื่อบริสุทธิ์ เราก็สับสน ฉงนฉงายว่า เมื่อวันวานทำอย่างนี เขาว่าดีวันนี้ เราทำสูตรเดิมเปียบ เขากลับว่าไม่ดีเสียแล้ว ใจ เลยกวัดไกวไหวหวัน สับสน กังวล จนไม่รู้จะตัดสินใจ วางตัววางใจอย่างไรถูกแต่ถ้าเราค่อยๆ พินิจพิจารณาว่า เรื่องอะไรก็ตาม หากเรามีเหตุผลที่สมควรให้กับตัวเองแล้ว ขณะทํา ไป ใจของเราจะสบาย ไม่มีความสะดุ้งกลัวว่า ใครจะมา เห็นที่ผิดที่บกพร่องแล้วตําหนิได้ เราทำแล้ว เขาชมเชย ก็ดีไป เขาไม่ชมก็ช่างเขา เพราะอย่างที่ทราบกันแล้วว่า เมื่อถึงเวลาอันควรมะม่วงย่อมออกลูกเอง ออกลูกแล้ว คนพาลยังไม่ยอมรับว่าเป็นลูกมะม่วงก็ช่าง เขาเป็นไรไป คนที่เห็นเหตุการณ์ก็รู้เองว่า เขาเป็นคน เช่นไร เราไม่ต้องไปใส่ใจหรือคั่งแค้นเขาสำหรับตัวเราเอง ระหว่างที่ยังไม่มีลูกมะม่วง ก็ไม่ต้องหวันไหวเดือดร้อนไปตามลมปากของเขา เพราะ เรารู้อยู่ว่าเป็นคนปลูกมะม่วงกับมือตัวเอง มันจะเป็น มะม่วงหมัน ไม่ออกลูกก็ให้รู้กันไป จะได้ลงประกาศ หนังสือพิมพ์ให้รู้กันทั่วโลกเลยว่า ยังมีมะม่วงอยู่อีกพันธุ์หนึ่ง มันไม่ออกลูกนะ กฎแห่งกรรมของพระพุทธเจ้า มีบทยกเว้นเฉพาะกาลถ้าเราคอยฝึกตัวให้หมุนทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มาเป็น ฐานรองรับใจให้หนักแน่นได้ ชีวิตย่อมผาสุกพลังของใจเป็นส่วนสำคัญทีจะหล่อเลียงให้เรามี ศรัทธาในสิ่งที่กระทํา มีความเชือมันพากเพียรพยายามทำเรือยไป จนกระทั่งมีผลเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องรู้ทิศทางด้วย เพราะทิศทางที่ชอบคือมรรค พาให้ใจของ เราสุข ขณะที่ทิศทางผิดเป็นสมุทัยให้ใจทุกข์ถ้าเราเผลอ ไปทิศทางผิด อย่างเป็นต้นว่า เรารู้ ทั้งรู้ว่า สิ่งที่ทํานั้นดี แต่ถ้าคนเขาไม่ชม เราก็ไม่มีกำลัง จะคิดหาแยบคายอุบาย มารักษาใจให้หนักแน่น คอย เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ กลับปล่อยใจให้ปรุงคิดติดตาม นิวรณ์ จนเกิดความเดือดร้อน กระสับกระส่าย แสดงว่าใจขาดภูมิคุ้มกัน อยู่ในโลกอย่างทุกข์เดือดร้อนการแพทย์ปัจจุบัน ไม่รอจนเด็กเป็นโรคโปลิโอแล้วจึงรักษา เพราะเด็กจะเหลือความพิการติดตัวไปพอเด็กเกิดมา เรารีบให้วัคซีนป้องกันโปลิโอ เพื่อกระตุ้น ร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันเลยใจของเราก็เหมือนกัน ต้องขวนขวายหาภูมิคุ้มกันให้ตัวเองด้วยการซ้อมหาทิศทางให้เกิดความคิดชอบเหตุการณ์อย่างเดียวกัน เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเดียวกัน ถ้าคิดไม่เป็น ตัวเองทุกข์เดือดร้อนเมื่อดิฉันไปกราบหลวงปู่ขาวเป็นครั้งแรก ท่าน เล่าให้ฟังว่า ท่านโชคดี มีภรรยาเป็นนางแก้ว จึงได้เป็นอิสระจากครอบครัว มาบวชร่มเย็นเป็นสุขอย่างนี้ ดิฉัน ก็วาดภาพเอาว่า ภรรยาของท่านคงศรัทธาเลื่อมใสใน พุทธศาสนา ยินดีเต็มใจเสียสละสามีถวายเป็นพุทธบูชา ทําเอาดิฉันชื่นชมบูชาว่า ช่างเป็นผู้หญิงใจงดงามอะไร อย่างนี้จนหลวงปู่มรณภาพ ได้มาอ่านประวัติของท่าน จากหนังสืออนุสรณ์ จึงทราบเรื่องจริงว่า ท่านออกบวช เพราะเมียมีชู้ ความเจ็บแค้นเมื่อแรกทราบนั้น ทำให้ท่าน คิดจะฆ่าทิ้งเสียทั้งคู่ แต่ก็ฉุกคิดได้ว่า ถ้าฆ่าเขาให้ตาย สมใจแล้ว ท่านเองจะได้อะไรที่พึงใจเป็นเครื่องตอบแทนบ้าง มีแต่มหันตโทษ มหันตทุกข์ล้วนๆ ไม่มีประมาณเท่านั้น เมียเขาลุอำนาจแห่งราคะตัณหาไปตามประสาหญิง ที่ไม่มีเขตแดน แต่ท่านที่เข้าใจว่าตัวเป็นฝ่ายถูกฝ่ายดี กว่าเขา ก็จะลุอํานาจไปตามโทสะ ความอาฆาตมาดร้าย และทำลายเขาให้ตายสมใจนั้น ในคนทั้งสอง คือ เมีย ผู้นอกใจ กับ ตัวท่านผู้ฆ่าเมียและชายชู้ให้ตายพร้อมกัน ในขณะเดียว จะจัดว่าใครเลวกว่าใครเมื่อเกิดปัญญาเห็นชอบ ฉุกคิดได้เช่นนั้น ท่าน รู้สึกเหมือนกับว่าครูอาจารย์ที่เคารพนับถือมานั่งสั่งสอนอยู่เฉพาะหน้า จนใจที่เป็นเหมือนกองเพลิงใหญ่ซึ่งส่งเปลว  เต็มที่ พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งที่กีดขวางให้เป็นผุยผงชั่ว ประเดี่ยวใจนั้น ได้สงบเย็นลงอย่างผิดธรรมดา เกิด ความสลดสังเวชในเหตุการณ์ที่เมียนอกใจ พร้อมทั้ง สงสารเขาสุดหัวใจ ที่สร้างทุกข์สร้างโทษให้ตัวเองด้วย ความเห็นผิด ขณะเดียวกันใจก็อ่อนโยนเกิดความให้อภัย เต็มในดวงใจนี่แหละ ทิศทางที่เราจะต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ ก่อนตัดสินใจกระทำการใดๆ ลงไป เพราะเป็นสาระตัว สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่สักแต่ว่า ให้ใจมีกำลัง ลงรวมเป็น สมาธิ แต่ไม่รู้ว่าสมาธิอะไร โมหสมาธิ หรือ มิจฉาสมาธิ เราต้องระมัดระวังให้แน่ใจ สิ่งที่ทำนั้นเป็นสัมมาสมาธิ คือเป็นความแน่วนิงของใจที่ประกอบไปด้วยสัมมาสติ และสัมมาทิฐิเมื่อทำแล้ว ระลึกนึกขึ้นเดียวนั้น ใจก็เป็นสุข นึกถึงต่อไปในกาลข้างหน้า ก็ปีติมีกำลังเชื่อมัน เมื่อวันเวลาล่วงเลยไปแล้ว ย้อนระลึกนึกถึงครั้งไรก็ยังคงมี ความสุขอยู่เต็มบริบูรณ์ ไม่หายหกตกหล่นไปตามกาล เวลาที่ผ่านไป เพราะสิงที่ถูกต้องดีงามเป็นบุญเป็นกุศลนั้นแสวงหามรรคให้พบนะ อริยมรรค คือ ทางอันประเสริฐ นำเราไปสู่ความสิ้นทุกข์ อีกคำหนึ่งว่า หลีกวัฏฏะเสีย อย่าไปหลงวนอยู่ในสังสารวัฏฏ์เลย วัฏฏะ แปลว่า วงกลม การเวียนไป หมุนไป ซ้าแล้วซ้าอีกจริงๆ แล้ว อย่าไปนึกว่า ฉันไม่ไปหรอกวัฏฏะ ฉันจะอยู่แต่บนมรรค ถ้าเรามัวหาว่า ตรงไหนวัฏฏะ ตรงไหนมรรค เราหลงแล้ว วงกลมคืออะไร วงกลมก็คือเส้นตรงที่เราเอาปลายหัวปลายท้ายไปผูกเข้าไว้ด้วยกันเมื่อไรที่เราเอาความยึดมันถือมัน คือ อุปาทาน มาผูกเอาไว้ ว่าต้องเป็นอย่างนั้นๆ อย่างที่หลวงปู่คิด ครั้งแรกว่า ปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องฆ่าทั้งเมียทั้งชู้ให้ตายไป พร้อมกัน ความยึดนั้นหมุนใจให้วนติดอยู่ในวัฏฏะของ ความอาฆาตแค้นจองเวร จนมองไม่เห็นความจริง ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็ไหม้กรอบเกรียมด้วยความทุกข์ครั้นได้คิดหลวงปู่หมุนเหตุร้ายให้เป็นหินลับปัญญาจนเกิดความเห็นตามเป็นจริง น้อมจิตให้เป็นอภัยทาน เวรภัยหมดสิ้นเป็นอโหสิกรรม ความรุ่มร้อนเปลี่ยนเป็น เมตตา แทนการผูกใจเจ็บแค้น กล่าวโทษอีกฝ่าย ท่าน เห็นเขาเป็นนางแก้ว มีบุญคุณต่อท่าน เพราะสอนให้ท่านเห็นซึ้งถึงทุกข์โทษของชีวิตผัวเมีย จนเบื่อหน่ายไม่ คิดอาลัยหวนกลับไปอีก มุ่งหน้าออกบวช ปฏิบัติขัดเกลาขันธสันดานจนบริสุทธิ์หลุดพ้นจากวงล้อมของกิเลสไปได้เหตุการณ์เดียวกัน เราเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่ อบรมบ่มสอนจิตใจตัวเองได้ดังเช่นที่หลวงปู่ได้กระทำมาแล้ว ถ้าตอบสนองแบบแรก ใจถูกกิเลสครอบครอง มีแต่ ความทุกข์ และทุกข์ และทุกข์ เหยียบย้าจนแหลกลาญ ไปหมด ส่วนแบบหลัง ใจถึงธรรม ผาสุกร่มเย็น มีแต่ คุณทังต่อตน และต่อโลกอย่างอเนกอนันต์วัฏฏะและมรรคนั้น อยู่ที่เดียวกัน คือในใจของ แต่ละบุคคล ถ้าใจยึดอยู่ด้วยอุปาทาน หนทางก็วกวนเป็นวัฏวน ถ้าฉุกคิดได้ ปล่อยวางความยืด มีสติตาม ระลึกรู้การกระทำ คำพูด ความคิดของตน ปมที่ผูกไว้ ก็หลุดออก วัฏวนคลี่เป็นเส้นตรงของมรรค กลับไป กลับมาอยู่เช่นนี้ จนกว่าสติของเราจะฉับไว รู้เท่าทันกล มายาของกิเลส สามารถปิดกันความหลงผิดได้ทันท่วงทีถ้าเราคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ได้เท่าทันในทุกๆ ขณะของ การดำรงชีวิต ความตายจะมาถึงเวลาไหน ที่ใด เราก็ไม่ สะดุ้ง หวันกลัว หรือเสียดายอาลัยชีวิต เพราะเรามีความพร้อม มีความแน่ใจมั่นใจว่า เสบียงของเราเป็นของแท้ ของมีค่า เซ็คที่เราจ่ายไปแต่ละใบ เป็นเซ็คที่ ใช้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่เช็คเด้งที่จะมีผลให้เราเกิดทุกข์เดือดร้อนว่า แล้วเราจะเอาตัวให้รอดไปได้อย่างไร หรือถ้า ชีวิตถูกทดสอบ ใจก็ไม่ทุกข์เดือดร้อนหวันคลอนไปดังเช่นเรื่องของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้สร้างเชตวัน มหาวิหารถวายพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งสร้างโรงทานสี่มุม เมือง เพื่อสงเคราะห์คนยากจนเข็ญใจ อนาถบิณฑิก เศรษฐีถึงพร้อมด้วยอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา มีความ เชื่อเลือมใสในคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อฟังแล้วก็นำมาประพฤติปฏิบัติจนสำเร็จเป็นอริยบุคคลเบืองต้น คือ เป็นพระโสดาบันช่วงหนึ่ง บุพกรรมตามมาบันรอน ทำให้ข้าวของ ที่ส่งไปค้าขายทางบกถูกโจรปล้นหมดเกลี้ยง ที่เก็บไว้ใน โกดังก็ถูกไฟไหม้ ไปทางทะเล สำเภาก็ถูกพายุใหญ่จนเรืออับปาง ฐานะทีเคยมังคังก็กลับยากจน กระทั่งจะซื้อข้าวมาหุงกิน ก็ต้องเลือกซือแต่ปลายข้าวผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ท่านเศรษฐีว่า คงทํา อะไรไม่ดี เพราะถ้าทําดีจริง บุญกุศลต้องคุ้มครองให้ร่ารวยบริบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่มาทุกข์เดือดร้อนอย่างนี้ท่านเศรษฐีก็ไม่หวันไหว ขนาดต้องซื้อปลายข้าว มาเป็นอาหารเลียงครอบครัวและบริวาร ก็ยังซื้อหาปลาย ข้าวชั้นดีกว่าที่ตัวเองบริโภคมาใส่บาตรพระพุทธเจ้าและ สาวกดังทีเคยปฏิบัติมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจงเส็ดจมาหามท่านเศรษฐีว่า ท่านและเหล่าสาวกบิณฑบาตพอขบฉัน ขอท่านเศรษฐี อย่าเป็นห่วง เก็บง่าทรัพย์ไว้เลี้ยงดูครอบครัวเถิดท่านเศรษฐีทูลขอโอกาสพระพุทธเจ้าให้ได้ทำบุญต่อไป เพื่อความสุขใจของท่าน เพราะท่านระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นดุจพ่อแม่ที่เคารพสูงสุด เมื่อตัวเองมีอะไร กินอะไร ก็อยากให้พ่อแม่ได้กินด้วย แม้โภชนะเหล่านั้น จะไม่ประณีตเพราะความขัดสน แต่ก็ประณีตเท่าที่จะทำพระพุทธเจ้าได้ฟังเหตุผลดังนั้น ก็ประทานพร อนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงทำบุญสืบต่อไปอย่างสม่าเสมอ จิตใจของท่านและครอบครัวก็ไม่หวันไหวไปกับความ แปรปรวนของทรัพย์สมบัติตัวอย่างนี้ สนับสนุนให้เราเห็นว่า การทำดีก็ให้ ผลเป็นความผาสุกอิมเอิบของจิตใจ เกิดสติปัญญาสุขุม ลุ่มลึกขึ้น แต่ผลทางวัตถุที่เป็นรูปธรรมนั้นไม่เกี่ยวข้องเป็นคนละส่วนละอันกันแม้พระโมคคัลลาน์ ซึ่งเป็นอัครมหาสาวกเบื้องซ้าย เป็นพระอรหันต์จิตใจบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสแล้ว ยังถูกเหล่าโจรที่พวกเดียรถีย์ว่าจ้างมา ทุบตีจนกระดูก แหลกเหลวถึงแก่ความตายวิบากเหล่านี้เป็นผลของบุพกรรมแต่เก่าก่อนที่เพิ่ง ติดตามมาทันให้ผลเราจะได้ไม่ไปเข้าใจไขว้เขวว่า เมื่อประพฤติดีแล้ว คุณความดีนั้นจะต้องบันดาลให้ชีวิตประสบแต่อิฏฐารมณ์ ถ้าใจเห็นตามเป็นจริงว่า อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตคือ มรดกที่เราเองได้ทําเอาไว้ใจก็จะน้อมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสงบเสงียม ไม่ไปผูกเวรภัยกับเขา แล้วค่อยตั้ง สติ คิดหาทางแก้ไขเหตุการณ์ทิเกิดขึ้นให้ลุล่วงไปด้วยดี เท่าทีสติปัญญาความสามารถมีอยู่ ในแต่ละขณะอันนี้แหละ คือการรักษาใจให้เสรีอยู่ตลอดเวลาไม่อย่างนั้นใจเราติดข้องอยู่กับสิ่งรอบตัว เดียวก็ไปตก อยู่ในกรงขังคนโน้นด้วยความเสน่หา เดียวก็มาตกใน กรงขังคนนี้ด้วยความอาฆาตพยาบาท เดือดร้อนทังคู่ ไม่ว่าจะอยู่ในกรงทองหรือกรงเหล็ก สภาพความเป็น จริงก็คือกรงเหมือนกันเมื่อเห็นทิศทางที่ถูกต้องแล้ว ใจก็สบาย หากคน ที่อยู่กับเรามีธรรมในใจ ก็ยิ่งเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ทำให้ทุกอย่างเบาสบาย ไร้ปัญหาไปโดยลำดับวัตถุสิ่งของในโลกล้วนแต่เป็นรูปธรรม ถึงจะ กอบโกยมาได้เท่าไรๆ พอหมดลมหายใจแล้ว สิ่งของ เหล่านี้ก็ยังกองอยู่บนแผ่นดิน หาได้ติดตามจิตใจของ เราไปด้วย ส่วนใจเป็นนามธรรม ก็ไปสู่ที่อยู่ของนาม เสบียงที่จะเอาติดจิตใจไปได้ก็คือบุญกุศลหรือบาปอกุศล ซึ่งเปรียบเหมือนบัตรเครดิตดี หรือบัตรเก็เราจะเลือกใช้ชีวิตสะสมบัตรเครดิตที่ดี มีคุณค่าแก่จิตใจ หรือจะเอาบัตรเก้ ก็เป็นเรื่องของเรา เป็น สิทธิเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล ถ้าเราเป็นคนปลอม เรา ก็เจอแต่อะไรปลอมๆ ไปทั้งหมด ทำให้เราปวดเศียรเวียนเกล้า ไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะคุ้มครองตัวเองได้ ดีไม่ดีก็แย่ลงไปอีก ไม่มีใครทำเรา แต่เราทำตัวของตัวเสีย ปันป่วนไปหมด โรคประสาทรุกราน โรคกระเพาะถามหา โรคหัวใจจับจองถ้าเป็นอย่างนี้ ต่อให้มีเงินล้นฟ้าก็หาความสุขไม่เพราะความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ถ้าเรามีทั้งโรคกายโรคใจแล้ว ต่อให้มีวัตถุสิ่งของเท่าไรๆ ก็ไม่ สามารถช่วยให้ใจสุขขึ้นมาได้เราจะได้ไปพินิจพิเคราะห์ชีวิตของตนว่า จะใช้เวลานาทีที่ยังมีอยู่ทำอย่างไร ให้ตัวเองหลุดจากวัฏฏะไป สู่สายทางตรงของมรรคได้ เพื่อจะได้มีความผาสุกของใจใครไม่ชม ถ้าเราชมตัวเราเองได้ ใจก็เป็นสุขแล้ว อย่ามัวไปยึดห่วงอยู่กับประกาศนียบัตรที่คนอื่นจะให้เราเพราะถ้าเขาให้ประกาศนียบัตรว่า เราเป็นคนดี แต่เรารู้ ตัวของเราว่า ยังไม่ดีเท่านั้น เราก็ขาดทุน เพราะไปหลง อยู่กับเงา ครันถึงเวลาที่จะต้องพิสูจน์ความสามารถของ ตัวเอง เราก็ทำไม่ได้ กลายเป็นโมฆบุคคล ใจเป็นทุกข์ เดือดร้อนเปล่าๆถ้าเราขวนขวายใช้เวลาที่มีอยู่ ศึกษาให้รู้จัก ใจของตัวเอง แล้วปรับปรุงแก้ไขสิ่งบกพร่องให้พอเหมาะฝึกสร้างวิธีคิดให้เมตตาการุณย์ เป็นธรรม เอื้อ อำานวยประโยชน์ทั้งต่อตนและต่อโลกได้ ชีวิตนั้นย่อมมีคุณค่าสาระ ผาสุกร่มเย็น เป็นอิสระ สมความมุ่งมาด ปรารถนา


พิมพ์โดย     ปภัสสร  มีพงษ์
แหล่งที่มา    http://web.krisdika.go.th/buddha/27_sara.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top