Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บรรยายของหมออมรา หลง

บรรยายของหมออมรา
หลง

บรรยายโดย พญ.อมรา มลิลา
เมื่อ วันที่ 21 ตุลาคม 2530
  ณ ห้องบรรยาย 1 อาคาร 1 ชมรมพุทธธรรม รามาธิบดี
หมวด
อันดับที่            


เราทุกคนคงสงสัยกันอยู่ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นเริ่มต้นมาแต่ครั้งไหน และเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใคร ๆ ก็มักกล่าวว่า จิตเดิมแท้ของเราทุกคนเป็นพุทธะ ก็เมื่อเป็นพุทธะ รู้ตื่นอยู่แล้ว เหตุใดเราจึงยังหลงอยู่ แล้วเราหลงอะไรกัน มันเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับจิตแต่ครั้งไหน จึงทำให้เราพลาดท่าเสียที พลัดตกลงไปในห้วงเหวของความหลง แล้วทำตัวเองให้ทุกข์เดือดร้อนกันอยู่อย่างทุกวันนี้ ต่างคนต่างก็ค้นเดาคว้าหาคำตอบกันไปต่าง ๆ นานา
ถ้าจะว่ากันตามพระสูตร ตั้งแต่จำเดิมเริ่มแรกมา อัคคัญญสูตรกล่าวไว้ว่า สภาวะปกติของจักรวาล มีโลกเกิดขึ้นทรงตัวอยู่ช่วงระยะหนึ่ง แล้วก็ดับเสื่อมสลายพินาศไป แล้วก็รวมตัวบังเกิดขึ้นใหม่ วนเวียนอยู่ดังนี้ พระสูตรกล่าวถึงขณะที่กามโลกพินาศไปนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหลายบังเกิดเป็นอาภัสรพรหม ขึ้นไปอาศัยอยู่บนพรหมโลก พรหมเหล่านี้มีแสงสุกสว่างในตัว เหาะไปด้วยฤทธิ์ อาศัยปีติเป็นอาหาร
ต่อมากามโลกก็เริ่มก่อตัวบังเกิดขึ้นใหม่ ยังมืดมิดปราศจากแสงสว่าง ปราศจากสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ พื้นผิวโลกปกคลุมไปด้วยดินลักษณะพิเศษ อ่อนนุ่มคล้ายฝ้านม มีกลิ่นหอม ใช้เป็นอาหารได้ เรียกว่าง้วนดิน
อาภัสรพรหมเหาะเที่ยวเล่นไปมาด้วยฤทธิ์ เห็นโลกเพิ่งเกิดขึ้น ก็พากันแวะลงมาสำรวจดู จิตของพรหมเหล่านี้ยังไม่มีสติสมบูรณ์พอจะคุ้มกันพุทธะของตน ให้ไม่เผลอตามความหลง จนเป็นอันตรายต่อตนได้
เมื่อลงมาถึงแล้ว ทั้งที่ปกติตัวเองกินทิพย์คือปีติเป็นอาหาร พอได้กลิ่นง้วนดินหอมหวนก็เกิดความอยากลิ้มชิมดู ชิมแล้วรู้สึกอร่อย เกิดความรู้รส จึงพากันเสพง้วนดินกันด้วยความเอร็ดอร่อย
ครั้นได้ดินซึ่งเป็นธาตุหยาบเข้าไปในตัวแล้ว กายที่แต่เดิมใส มีแสงสุกสว่าง ก็เริ่มหนักและด้าน จนต่อมาพรหมเหล่านี้ไม่สามารถเหาะไปมาอย่างแต่ก่อนได้ เลยต้องอาศัยอยู่ที่พื้นดิน เริ่มก่อตั้งเป็นสังคมมนุษย์กลุ่มแรก
เมื่อเริ่มตั้งรกราก ความหลงก็ยังไม่มากมายอะไรนัก ส่วนใหญ่ยังตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในเนื้อจิต ไม่ได้ถูกกามวัตถุเข้าไปกระทบ เข้าไปกระฉอกให้แตกกิ่งก้านสาขางอกออกมา ที่แสดงออกก็เพียงในรูปหลงติดในรสของง้วนดินสภาพของมนุษย์เหล่านี้เหมือนกันหมด ไม่มีเพศหญิง เพศชาย ไม่มีความกำหนัดยินดี เพราะมีกำเนิดมาแต่พรหมครั้นอยู่ไป ๆ กิเลสในจิตใจเริ่มเจริญงอกงามขึ้น ดังคำกล่าวที่ว่า น้ำในแม่น้ำมหาสมุทรหมดทั่วทั้งจักรวาล รวมกันเข้าแล้วก็ยังไม่สามารถทำให้ความหิวกระหายของกิเลสตัณหาถึงจุดอิ่มเต็มได้
ครั้งแรกมนุษย์เหล่านี้ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งปันง้วนดินกันดี ต่อมาง้วนดินร่อยหรอหมดไป กลายเป็นสะเก็ดดินขึ้นมาแทน แล้วก็เป็นเถาดิน ผลที่สุดกลายเป็นต้นข้าว เติบโตออกรวงมาเป็นข้าวสาลีซึ่งไม่มีเปลือกหุ้มอย่างปัจจุบันนี้ เก็บมาก็ใช้กินได้เลย ไม่ต้องหุงต้มแต่ประการใด เมื่อเก็บไปกินตอนเช้า ตกเย็นรวงข้าวก็งอกงามมาทดแทนเต็มบริบูรณ์อย่างเดิม ไม่มีการพร่อง การขาดแคลน การดำรงชีวิตเป็นไปด้วยความสมบูรณ์ ปราศจากทุกข์บีบคั้นอย่างทุกวันนี้
ต่อมาเกิดมีคนเห็นแก่ตัว แทนที่ถึงเวลาจะกินจึงไปเก็บข้าวสาลีมาเท่าที่จะกิน ที่เก็บมาสะสมไว้ให้พอกินไปได้คราวละ 3-4 วัน คนอื่นเห็นเข้าก็ไม่ยอมเสียเปรียบ เก็บมากักตุนตามอย่างบ้าง ความรู้สึกเป็นตนเป็นตัว เป็นเรา เป็นเขาเริ่มเด่นชัดขึ้นเป็นสักกายทิฐิ ...เรื่องอะไรกัน เขายังเก็บไปตุนทีละ 3-4 วัน ขืนเราไม่เก็บไว้บ้าง เดี๋ยวก็ไม่มีจะกินเท่านั้นเอง
เพราะตอนนี้รวงข้าวสาลีก็เริ่มวิปริต รวงที่งอกมาใหม่เริ่มลีบ ฝ่อ บางรวงก็มีเปลือกหุ้มห่อ มีตัวมอดตัวแมลงชอนไชทำให้กินไม่ได้ผู้คนก็เริ่มวิตกกังวล หวงแหน เห็นแก่ตัว แทนที่จะคิดแก้ปัญหาด้วยสติปัญญา กลับแก้ด้วยความหลงผิด ยึดในตนในตัว ...เมื่อเขาทำได้ ฉันก็ทำได้ ต่างคนต่างก็คิดว่าตนทำดีที่สุด ด้วยการแข่งกันสะสมข้าวสาลี ใจที่ขาดสติเป็นทำนบกั้น เป็นใจรั่ว ประพฤติตัวเหมือนเด็กทารก มีอะไรมายั่วยุ ก็ปล่อยใจให้ไหลตามไปโดยไม่มีฝั่งมีฝา ไม่มีการไตร่ตรองระงับยับยั้ง
เมื่อต่างคนต่างระดมกันเก็บข้าวสาลีเพิ่มขึ้น สถานการณ์ก็ยิ่งวิกฤตหนักขึ้น ข้าวสาลียิ่งร่อยหรอ เพราะปริมาณที่เกิดใหม่ไม่ทันทดแทนส่วนที่สูญหายไป แทนที่จะได้คิดว่าเพราะความโลภกำลังฆ่าเราอยู่ กลับยิ่งนึกถึงแต่ตัวเอง แก่งแย่งกันเก็บข้าวสาลีมากยิ่งขึ้น จนต้นหักแหลกไปก็มี
รูปกายที่ทึบหยาบจนปราศจากแสงสุกสว่างในตัว เริ่มมีผิวพรรณแตกต่างกัน บางคนมีผิวสีจาง แลดูใสสะอาด บางคนด้านดำคล้ำไม่น่าดู เริ่มมีการดูถูกเหยียดหยามกัน เริ่มสังเกตความผิดแผกแตกต่างในรูปลักษณ์ของกันและกัน เกิดการหลงติดเนื้อพึงใจในความผิดแผกเหล่านี้ มีการจ้องดูกัน มีความกำหนัดเกิดขึ้น รูปร่างกายเกิดมีอวัยวะเพศหญิง เพศชายขึ้น เกิดความละอายใจในความแตกต่างของรูปร่างกายนี้ จึงเริ่มแสวงหาใบไม้มาปกปิด ผลที่สุดก็มีการร่วมสังวาส เสพเมถุนกัน
ขณะกระทำกิริยาเช่นนั้น ก็หาที่ซ่อนเร้นปกปิดจากหมู่พวก เกิดการสร้างที่มุงบัง เป็นบ้านเรือน แยกอยู่กันเป็นครอบครัวสังคมที่เคยอยู่กันอย่างพี่น้อง ไม่มีเรามีเขา สงบผาสุกก็เริ่มมีการแก่งแย่งแข่งดีกัน มีความโลภเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบกันในเรื่องการกินอยู่ กิเลสในจิตใจเริ่มแตกแขนงแผ่กิ่งก้านสาขาใหญ่โตออกไป ออกไป ความขาดแคลนข้าวสาลีทำให้มีการแย่งชิง ประทุษร้ายร่างกายกันด้วยมือบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นก๊ก เป็นเหล่า ผู้มีพลกำลังก็ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่าเพื่อความอยู่รอดก็มีการประชุมแก้ไขสถานการณ์กัน ผลที่สุดก็เลือกผู้มีพลกำลัง มีความเฉลียวฉลาด มีบุคลิกน่านับถือเลื่อมใสขึ้นเป็นผู้นำ ยกอำนาจให้จัดการปกครองแบ่งปันที่ดินเป็นของแต่ละครัวเรือน รวมทั้งปักปันแบ่งเขตแปลงข้าวสาลี แต่ละคนจะเก็บข้าวได้จากแปลงของตนเท่านั้น เกิดเป็นระบบสมมุติเทพ มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้นำดังเช่นสังคมปัจจุบัน
แต่ถึงจะมีสมมติเทพปกครอง มีกฎเกณฑ์บังคับ เพื่อความสงบร่มเย็นของประชาชน กิเลสในใจก็ยังพาให้บางคนประพฤติเป็นอันธพาล บุกรุกไปเก็บข้าวในแปลงผู้อื่น เกิดความระส่ำระสาย เดือดร้อนขึ้น
จากพระสูตรนี้จะเห็นได้ว่า ทำไมใจของเราที่เป็นพุทธะอย่างใจพระพุทธเจ้า ถึงรักษาตัวไม่รอด ทุกข์เดือดร้อนอยู่อย่างนี้ เพราะพุทธะของเราเป็นสภาวะธรรมชาติ ขาดเครื่องปกป้อง กล่าวคือยังไม่มีสติสัมปชัญญะคุ้มครอง
ถ้าเมื่อใดเรามีสติอยู่กับใจ เราเป็นอยู่ด้วยความไม่ประมาท เราไม่หลง เมื่อไรเราเผลอสติ ชีวิตของเราเป็นไปด้วยความประมาท อวิชชาความหลงที่เป็นเหมือนเมฆหมอกก็แผ่เข้ามาปกคลุมใจของเราทันที เมื่อใจถูกอวิชชาครอบคลุมแล้ว ก็เกิดความยึดผิดเห็นผิด อย่างอาภัสรพรหมที่เราได้ทราบกันแล้ว
เมื่อเริ่มความมีตัวมีตนขึ้นมาแล้ว ก็เป็นแม่แรงใหญ่ให้ความหลงในสิ่งทั้งหลายแผ่กิ่งก้านสาขาออกไป กล่าวคือ มีตนมีตัว มีผู้หญิงผู้ชาย มีเรามีของเรา สามีของเรา ภรรยาของเรา ลูกของเรา เกิดอคติความลำเอียง ต้องเก็บงำสะสมไว้เพื่อสิ่งที่เป็นของเรา ความโลภก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น ๆ เราต้องอยู่ดีมีสุข พรรคพวกของเราก็เหมือนกัน ต้องปลอดภัยไว้ก่อน อะไรก็ตามที่จะทำให้เราและของรามีความสะดวกมั่นคงในการดำรงชีวิต เราทำทั้งนั้น
ในขณะที่ความโลภแผ่ซ่านออกไปอย่างนี้ เมื่อไรที่ความโลภถูกกระทบกระเทือน เป็นต้นว่า มีใครมาเป็นคู่แข่งทำให้สถานของเราหวั่นไหว เราก็เกิดแรงต่อต้าน เกิดเป็นโทสะโลภะโทสะ รักกับพยาบาท หรือราคะกับปฏิฆะ คือธาตุอันเดียวกันนั่นเอง แต่ว่าอันหนึ่งเป็นขั้วบวก อีกอันหนึ่งเป็นขั้วลบ ซึ่งรากเหง้าของมันมาจากความหลงตนหลงตัวถ้าไม่มีความหลงตนหลงตัวเป็นสนามแม่เหล็กดึงดูด เราก็ไม่โลภไม่โกรธ เพราะไม่เกิดอคติ ไม่รู้จะโลภจะโกรธไปทำอะไร ในเมื่อทุกอย่าง ทุกชีวิต มีค่าเสมอกัน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีตัวตนแตกต่างกันเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เรา เขา ไม่มีความเอนเอียนเข้าใครออกใคร แต่เพราะหลง เกิดมิจฉาทิฐิต่อสภาวะความเป็นจริงของชีวิตและโลกที่เกี่ยวข้อง เริ่มก่อตั้งอาณาจักรคือตัวเรา สักกายทิฐิขึ้น แบ่งแยกเราเป็นต่างหากจากโลก

ความยึดผิดนี้เป็นเงื่อนปมให้เกิดภพชาติ เกิดเวรภัยต่อกัน เอื้ออำนวยให้อวิชชากับอุปาทานมีฐานเกาะ เพราะถ้าไม่มีตัวเรา ก็ไม่มีเหตุที่จะไปเกลียดชังกัน นี่ประเทศของเรา นั่นประเทศของเรา ผลประโยชน์ขัดแย้งกัน ต้องตีกัน ใช้พลกำลังเป็นเครื่องตัดสิน เพื่อครอบครองโภคทรัพย์ของโลก ของแผ่นดินมาเป็นของของเรา
เมื่อเกิดความสำคัญมั่นหมายผิด หลงยึดในสมมติบัญญัติว่า มีสักกายทิฐิ เข้าไปยึดหมายในตัวรูปขันธ์ รูปร่างกายว่าเป็นตัวของเรา แล้วเลยต่อไปถึงนามขันธ์ เมื่อเกิดความรู้สึกสุขทุกข์ แทนที่จะเห็นว่า เวทนาเป็นของที่เกิดขึ้นแล้ว ก็แปรปรวนดับไป หลงไปยึดสุขทุกข์เป็นตัวของเรา มีสัญญาความจำได้หมายรู้ ก็เกิดอุปาทานไปยึดว่าเป็นเราไปอีก เหตุการณ์อันไหนถูกใจก็อยากจะยึด อยากจดอยากจำให้ติดอยู่กับใจยาวนานตลอดไป ทำให้จิตใจกังวลเดือดร้อน กลายเป็นเครื่องกดถ่วงใจให้หมอง มีความนึกคิดเป็นสังขารจิตขึ้น ก็ไปยึดมั่นสำคัญผิด บังคับให้คนอื่นเชื่อถือเห็นตาม เพราะหลงว่าสังขารความปรุงคิดเป็นตัวเรา ประสาทสัมผัส วิญญาณ เครื่องรับรู้ ไปรู้เห็นอะไรก็ว่าเป็นตัวเราไปทั้งหมด เกิดความสับสนวุ่นวาย
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ เมื่อใจยึดผิดเห็นผิด ว่าเป็นตัวของเราขึ้นแล้ว ทั้งรูปขันธ์ทั้งนามขันธ์ซึ่งเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ก็กลายมาเป็นเครื่องก่อทุกข์ เติมเชื้อของความหลงให้งอกงามแผ่ซ่านไปครอบครองใจ พาให้วิปริตผิดปกติ เกิดความรัก ความชัง ลำเอียงเบียดเบียนกันขึ้น เกิดความเห็นที่แตกต่างกัน ไม่เป็นธรรมต่อกัน เพราะถูกแรงดูดแรงผลักจากสักกายทิฐิไปเหนี่ยวนำ
ศีล หรือควาประพฤติชอบทางกาย วาจา ตั้งตนอยู่ในความไม่เบียดเบียน ซึ่งมีอยู่เป็นสมบัติธรรมชาติของเราตั้งแต่เริ่มแรก ครั้นใจไปมั่วสุมเชื่อตามความหลง เห็นผิดเป็นชอบ ก็เริ่มด่างพร้อย จนบางครั้งขาดทะลุไปเพราะอะไรเพราะดังกล่าวแล้ว เมื่อมีตัวของเรา ความหลงผิดก็พาให้เบียดเบียนคนอื่น เพราะเห็นว่า เรา...เราผู้นี้มีสิทธิเสรีภาพเหนือคนอื่น ทุกคนต่างหลงว่าตนพิเศษต่างจากคนอื่น เกิดความเอนเอียง ความไม่ชอบธรรมขึ้น แต่เดิมนั้น อะไร ๆ ที่มีอยู่ ง้วนดินมีอยู่ก็เป็นสมบัติของโลก ใครอยากกินก็เอาไปกินได้ ใครสามารถกินมากกินน้อย ก็กินได้แค่อิ่มหนึ่งเท่ากัน ไม่มีการสะสม ไม่มีการหวงแหนแย่งชิงกัน
แต่พออยู่กันไป อยู่กันไป ความโลภอยากในจิตใจเพราะมีเรามีเขาเป็นตัวเร่งเชื้อ ค่อยใหญ่ขึ้นจนคับจักรวาล โลกทั้งโลก ข้าวสาลีที่มีเต็มโลก เกิดเห็นว่าไม่พอแล้ว คนอื่นมาแย่งของเรากิน เดี๋ยวจะหมดจะขาดแคลนความหลงรักหวงแหนในตัวในตน เป็นรากเหง้าให้ลำเอียงเห็นแก่ตัว เบียดบังสิ่งสาธารณะที่เป็นของโลกของแผ่นดินเข้ามาเป็นของตัว แล้วไปยึดผิด ๆ อีกว่า เรามีสิทธิ์อะไรที่ขัดขวาง หรือมาทำให้เราหวั่นไหว ไม่แน่ใจในความอยู่รอดปลอดภัย จะถูกกำจัดให้สูญสิ้นไป เราต้องควบคุมโลกให้อยู่ในอำนาจ จึงจะมั่นใจ ปลอดภัย สบายใจ
สัญชาตญาณของความรักหวงแหนในชีวิต ในตัวของเรา ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เอารัดเอาเปรียบเบียดเบียนกันและกัน ยกตนข่มท่าน ไร้น้ำใจไมตรีต่อกัน ความทุกข์เดือดร้อนที่มาจากความหลงยึดผิดเห็นผิด ก็แผ่ซ่านปกคลุมโลกนี้เบียดเบียนโลกภายนอกให้ระส่ำระสายทั่วไปแล้วยังไม่พอ กลับมาเบียดเบียนตัวของตัว ด้วยหลงยึดว่า ร่างกายตนตัวเป็นของเรา พระสูตรแสดงไว้แล้วว่า ร่างกายของเราแต่เดิมใสสว่าง เพราะมีปีติเป็นอาหาร บัดนี้ขุ่นคล้ำดำด้าน เห็นประจักษ์เป็นรูปร่างขึ้นมา เพราะเหตุใด เพราะอิทธิพลของดิน ธาตุหยาบที่เราเสพเข้าไป เติมเข้าไปในเนื้อตัวของเรา เริ่มจากง้วนดิน สะเก็ดดิน เถาดินไปจนถึงข้าวสาลี ที่เราสำคัญว่าเป็นอาหารนั่นแหละ เราไปเอาดินจากพื้นโลกเข้ามาขอยืมมาก่อร่างสร้างเป็นรูปกายขึ้นมา
เราหลงใหลในรสอาหารที่เสพเข้าไป ยิ่งเสพก็ยิ่งอยากโหยหา จิตใจกังวลรุ่มร้อน หาความปีติสุขไม่ได้ สำคัญผิดว่ารูปขันธ์เป็นเรา ลุ่มหลง หวงแหน ภาคภูมิใจว่า ฉันสวยผิวพรรณงดงาม ฉันแข็งแรงเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่ยอมรับความแปรปรวน ไม่ยอมให้แก่ ให้เจ็บ ไม่รู้ว่าสามัญลักษณะของสมมติบัญญัติในโลกนี้ไม่มีอะไรคงที่ ประเดี๋ยวมืด ประเดี๋ยวสว่าง ประเดี๋ยวร้อน – หนาว ฝนตกแดดออก วนเวียนสลับกันเป็นธรรมชาติธรรมดาอยู่อย่างนี้ชั่วกัปกัลป์
เป็นความไม่เที่ยง ที่หมุนวนเกิดอยู่อย่างเที่ยงแท้แน่นอนตลอดกาล ใครพยายามจะมีอำนาจเหนือ ไปกำหนดกฎเกณฑ์แบบแผนเครื่องบังคับอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าเมื่อไรเราเผลอไปสำคัญว่า เราสามารถควบคุมธรรมชาตินี้ให้เป็นดังใจได้ เราก็ทุกข์ชัด ๆ ทุกข์อย่างไม่มีทางเถียง
ตัวเองเคยเปรียบเทียบธรรมชาติของโลกสมมติ รวมทั้งร่างกายของเราว่า เหมือนก้อนน้ำแข็งที่หยิบออกมาจากช่องแข็ง แล้ววางไว้ในห้อง ถึงไม่มีใครไปแตะต้อง น้ำแข็งก็ละลายไปเรื่อย ๆ ไม่มีทางทรงตัวอยู่เป็นก้อนน้ำแข็งได้ เพราะอุณหภูมิห้องนั้นไม่เอื้ออำนวยให้น้ำทรงสภาพเป็นน้ำแข็งอยู่ได้ เพราะฉะนั้นก็ละลายเป็นน้ำไปเรื่อย ทั้งที่ไม่มีใครไปเกี่ยวข้องร่างกายก็เหมือนกัน ความมีชีวิตของเราไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของเรา เมื่อกาลเวลาเคลื่อนไป ร่างกายก็แปรไปตามวันเวลาอายุขัย เราจะเต็มใจ พอใจแปรเปลี่ยนไป หรือไม่อยากแปร มันก็เหมือนก้อนน้ำแข็งที่หลุดออกจากช่องแข็ง เมื่อคลอดจากท้องแม่แล้ว เราจะอยากแก่หรือไม่อยาก ร่างกายซึ่งเป็นสมมติก็ตกเป็นทาสของกาลเวลา เวลาที่ผ่านไปแต่ละขณะ แต่ละขณะ แต่ละขณะ จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ร่างกาย ทำให้เกิดการเสื่อม การพร่อง แก่ชรา ไม่เป็นไปดังใจ ยิ่งเราหลงยึดในกายมากเท่าใด จิตใจก็ทุกข์เดือดร้อนเท่านั้น ถ้าพิจารณาดูจริงจัง จะเห็นว่า ไม่ใช่เราแก่เอาเมื่ออายุล่วงไปถึง 30-40 หรอก มันเริ่มแก่ตั้งแต่คลอดออกมาแล้ว
ถึงเดี๋ยวนี้ก็เถอะ ถ้าเรานั่งหรือนอน หรือจำกัดอิริยาบถให้อยู่ท่าใดท่าเดียว ท่าไหนก็ได้ที่ชอบที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป ผ่านไป อะไรเกิดขึ้น ใจที่แต่แรกชอบ พอใจอิริยาบถนั้น เริ่มเปลี่ยนเป็นเบื่อ เมื่อย กระสับกระส่าย เพราะโดยธรรมชาติรูปขันธ์นี้เป็นก้อนทุกข์ แต่ที่เราสำคัญว่าเราแข็งแรง มีความสุข สนุกสบาย ไม่เมื่อยขบ ทุกข์เดือดร้อน เพราะเราเอาอิริยาบถมาบดบังเอาไว้ ด้วยการไม่อยู่นิ่ง เดี๋ยวขยับไปทางโน้น เดี๋ยวเคลื่อนไปทางนี้
ยิ่งเด็ก ๆ ยิ่งอยู่นิ่งไม่เป็น เปลี่ยนอิริยาบถทุกเวลานาที จึงไม่เคยเมื่อย เหนื่อยเข้าก็หลับไปเลย พอมีกำลังวังชาใหม่ ก็ลุกขึ้นโลดเต้นต่อไป ครั้นอายุมากขึ้น อิริยาบถเชื่องช้าลง เพราะไขข้อเสื่อมบ้าง น้ำหนักอุ้ยอ้ายบ้าง เหล่านี้เป็นต้น ทำให้อิริยาบถที่เคยบดบังทุกข์เสื่อมประสิทธิภาพ เราก็เหนื่อย เมื่อย เจ็บ ขัดยอดตรงโน้นตรงนี้ หาความสบายไม่พบ ตัวทุกข์เริ่มปรากฏเด่นขึ้นมาให้เราเห็น เรารู้ แต่แทนที่ใจจะยอมเห็นตามสภาวะเป็นจริงว่า อ๋อ...มันเป็นเช่นนั้นเอง เรากลับไปตื่นเงา คือความหลงในใจ คิดกำแหงไปว่า ทำอย่างไรถึงจะเอาชนะความเป็นจริง ไม่ต้องเป็นอย่างนี้
การต่อสู้กับความจริง เราจะมีทางชนะได้อย่างไร ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเราวิ่งเอาศีรษะไปกระแทกกำแพงหนา ๆ เต็มแรง ด้วยหวังจะให้กำแพงแยกทางให้เราผ่านไป ไม่มีทาง ถ้าหัวเราไม่แตก คอเราก็หัก ไม่สมองเสื่อมก็เป็นอัมพาต หรือถึงตายไปเลย
นี่ก็ทำนองเดียวกัน ทุก ๆ วันลองเฝ้ามองดูเถอะ เมื่อไรที่เราทุกข์เดือดร้อน เห็นผิดยึดผิด ปล่อยให้ใจซึ่งเป็นพุทธะไปมั่วสุมกับความหลง จนกระทั่งถูกเมฆหมอกที่หนาทึบของความหลงครอบคลุมใจ จนแสงของพุทธะ แสงของปัญญาเห็นชอบไม่สามารถสาดลอดเมฆหมอกเหล่านั้น ออกมาส่องทางให้เราได้ เราเลยยิ่งหลงหนักเข้าไปอีก เหมือนเราเดินอยู่ดี ๆ มีขี้โคลนกระเซ็นมาเข้าตาเราเปรอะเปื้อนไปหมด จนลืมตาไม่ขึ้น มองอะไรไม่เห็นในชีวิตแต่ละวัน แต่ละวัน เราก็มีสภาพไม่ผิดกับคนที่ถูกขี้โคลนกระเซ็นเข้าตา จนกระทั่งมองอะไรไม่เห็น เพราะใจของเราทุกคนหลง หลงติดในสักกายทิฐิ ตราบเท่าที่เรายังไม่ได้ปฏิบัติจนใจตกกระแส เป็นโสดาบันบุคคล เราไม่สามารถแน่ใจมั่นใจได้ว่า ชีวิตจะปลอดภัย เราจะคุ้มครองใจดวงนี้ให้ท่องเที่ยวเวียนวนไปในวัฏสงสารอย่างตลอดปลอดภัยปริมาณความหลงของเราค่อยเพิ่มมากขึ้น ๆ ตามกำลังผัสสะที่กระทบ ถ้าเปรียบใจเหมือนน้ำ เมื่อเริ่มแรกน้ำของเราก็ใส เพราะตะกอนสังโยชน์ทั้งหลาย มีอวิชชาอุปาทานเป็นต้น ยังเกาะตัวเป็นแผ่นแน่นอนก้นอยู่ เราก็มีจิตใจสงบ ผ่องใส ไม่ไปเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบคนอื่น
เมื่อสักกายทิฐิที่นอนก้นอยู่ เริ่มแผ่ตัวฝังรกรากลงในรูปขันธ์ได้แน่นหน้าแล้ว เราก็สำคัญว่า นี่ก็ตัวของเรา นี่ก็ของของเรา ตอนแรกก็แค่สามีภรรยาของเรา ลูกของเรา ต่อไปก็เพื่อนของเรา ที่ทำงานของเรา ประเทศของเรา โลกของเรา จักรวาลของเรา ใจหลงใจรั่วไม่รู้จักอิ่ม จักพอ ได้อันโน้นแล้วหันไปอยากอันนี้ งอกเพิ่มไปเรื่อย
เมื่อถึงขั้นจักรวาลของเรา ลองเปรียบปูว่าความทุกข์จะมากมายทับถมจนไหลลู่แค่ไหน เพราะถ้าเราสำคัญว่า จักรวาลเป็นของเรา จะให้ทุก ๆ สิ่งในจักรวาลเป็นที่ถูกใจเราไปทั้งหมดได้อย่างไร แม้กระทั่งใจของเราเอง ในแต่ละเวลานาที ยังไม่ได้อย่างใจของตัวเลย ประเดี๋ยวเราก็เปลี่ยนใจ จะเอาอย่างโน้น จะเอาอย่างนี้ จะเอาอย่างนั้น เราเองยังขุ่นใจกับตัวเอง ขุ่นใจกับความไม่เป็นไปดังใจของตัวเอง แล้วถ้าเรายึดผิดว่า จักรวาลนี้ของเรา ก็คิดดูเถิดว่า ความขุ่นใจที่เราแบกไว้ ความเจ็บช้ำที่เราเอาใจไปเป็นเขียงรองรับความไม่ได้ดังใจที่สับลงมาจะสนั่นหวั่นไหวแค่ไหน
คนยิ่งใหญ่มากเท่าไร ยิ่งหลงตนหลงตัวมากเท่าไร เป็นผู้บริหารที่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จมากเท่าไร ถึงบ้า ถึงประสาทมากเท่านั้น เพราะทนไม่ไหวที่สิ่งโน้นสิ่งนี้ไม่เป็นไปอย่างใจ ลองสังเกตดู คนบางคนก่อนที่จะเป็นผู้บริหารใหญ่ ๆ ก็ยังพูดกันรู้เรื่อง ยังฟังคนอื่นพูดเป็น แต่พอถูกความหลงครอบงำไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ฟังใครพูดไม่ได้ พอใครขยับปาก รีบห้าม …อย่าพูด อย่าพูด เราผูกขาดการพูดคนเดียว แล้วก็พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ไม่รู้จักจบพูดไปแล้วก็ไม่มีสติจะคิดหรอกว่า การพูดอย่างนั้นเป็นการบีบคั้น จนคนฟังประสาทหวาดผวาไปแค่ไหน มีสองอย่าง ถ้าเขาไม่ฮึดฮัด ลุกขึ้นชกเรา ก็ได้แต่ตาเหม่อซึมจนพูดไม่ออก เพราะพอจะพูด ก็ถูกสกัดเอาไว้ …อย่าพูด อย่าพูด ทุกครั้งจะถูกเบรคไว้ จนกระทั่งกลายเป็นอัตโนมัติ พออ้าปากจะพูด ก็พูดไม่ออก เพราะสมองถูกกดเก็บเอาไว้ จนกระทั่งปรุงคิดไม่ไหว แต่ข้างในใจอึดอัด คับข้อง จนแห้งผาก แตกเป็นผุยผงไปหมด
การปล่อยให้ความหลงมาลากจูงใจเราไป เป็นพิษเป็นภัยกับตัวเอง แล้วยังกระเซ็นพิษภัยนั้นออกไปทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนไปหมดอย่างนี้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ ทุกข์เหลือเกิน ท่านจึงพยายามค้นหาให้ได้ว่า ทุกข์นั้นมาจากอะไร ในที่สุดก็จับรากเหง้าได้ว่า มาจากความหลงผิด ยึดมั่นถือรั้น จนกระทั่งรูปขันธ์ซึ่งเป็นสภาวะธรรมชาติ กลายมาเป็นอุปาทานขันธ์ ตัวตนของเรา เป็นฐานบัญชาการของอวิชชา อุปาทาน
ท่านพยายามค้นหาต่อไปว่า ทำอย่างไรถึงจะระเบิดฐานบัญชาการ คือ ความหลงอันนี้ให้แตกกระจายออกไปได้ เมื่อทรงค้นพบ ท่านก็ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า
ระยะทางของวัฏสงสารนั้นหาประมาณมิได้ ทำอย่างไรเราจะคุ้มครองตัวได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ให้ไม่เผลอใจหลงกระเซอะกระเซิงไปจนตกอบายภูมิ ทุคติ ซึ่งมีแต่ความทุกข์ยากลำบากจนพึ่งตัวเองไม่ได้ พระพุทะองค์ทรงสอนให้ทลายสักกายทิฐิให้สิ้นซากไปเสียท่านไม่ทรงสอนให้เราไปตัดโลภ ตัดโกรธ ตัดหลง ตัดอะไรต่อมิอะไรอื่น ๆ อยู่ เพราะถ้าเรามัวไปหาตัดแต่รากฝอย ๆ กิ่งฝอย ๆ พวกนั้นอยู่ โคตรหลงเหง้าหลงไม่กระเทือน มันเลยเล่นซ่อนหาเอาเถิดกับเราอยู่เรื่อย จนเราเกิดสับสนไม่รู้ว่าตรงไหนเงา ตรงไหนตัวจริง
ให้เราตั้งสติเพ่งมองให้เห็นตัวตนของเรา ให้เห็นความยึดมั่นสำคัญผิดว่า มีตนมีตัวในรูปร่างกายอันนี้ เมื่อเห็นแล้วก็เอาสติ เอาปัญญาเข้าไปพิจารณาฟาดฟัน จนกระทั่งสักกายทิฐิหลุดไป
ยังมีเวลาอีก 5 นาที ใครมีคำถาม เรียนเชิญค่ะ
ถาม : ศรัทธาจะพาให้เราหลงผิดเป็นชอบได้หรือไม่
ตอบ : คำว่าศรัทธา หมายความถึง ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล ในสิ่งที่เป็นคุณงามความดี เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ สิ่งที่พาเราให้ปลอดภัย แต่ถ้าเราเชื่อตามอะไรด้วยความหลง เราเรียกว่า งมงาย ไม่เรียกศรัทธา และเรียกคนที่เชื่ออย่างนั้นว่าเป็นคนงมงาย

ถ้าเราเรียกใครว่าเป็นคนมีศรัทธา แปลว่า ผู้นั้นเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วไดชั่ว เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า กล่าวคือ เชื่อในพระรัตนตรัย ในหลักเกณฑ์ที่เป็นเหตุผล เป็นสิ่งที่จูงเราไปสู่ความมั่นคงในชีวิตที่เราจะมีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ เพราะคำว่า ศรัทธา เป็นองค์ของคุณธรรม เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเชื่อนั้นเป็นองค์ของอกุศล เราเรียกงมงาย
ถาม : การที่เราเชื่อพระรัตนตรัยว่าเป็นหลัก เป็นที่พึ่ง จะมีโอกาสเป็นความหลงได้หรือไม่
ตอบ : ตราบเท่าที่จิตของคุณยังไม่ใช่จิตของพระอรหันต์ อะไร ๆ ก็มีความหลงแทรกอยู่ทั้งนั้น สิ่งที่เราพูดกันว่า เป็นปัญญา ก็ยังไม่ใช่ปัญญาตัวแท้
ถ้าพูดกันในแง่ปรมัตถ์ จิตของปุถุชนไม่ว่าจะเป็นสัมมาทิฐิแค่ไหน ก็ยังมีอวิชชา ความหลงแฝงอยู่ แต่ในขั้นตอนของการพัฒนา ถ้าเราไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่ลงมือทำ คล้ายกับเมื่อรู้ภาคทฤษฎีแล้ว เรารู้แต่ปริยัติ เมื่อไม่ลงมือปฏิบัติ ทุกอย่างก็ทรงตัวอยู่อย่างนั้น
ใจเราเป็นธรรมชาติที่ถูกอวิชชาและอุปาทานเข้าครอบงำ พาให้เราปรุงคิด เกิดสังขารจิตไปเรื่อย อย่างที่คุณปรุงคิดถามดิฉันว่า การที่เราเชื่อพระรัตนตรัยว่าเป็นหลัก เป็นที่พึ่ง จะเป็นความหลงได้ไหม หรือเป็นแต่ศรัทธาตลอดไปหากไม่ลงมือปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ให้กระจ่างแก่ใจ การเชื่อในพระรัตนตรัยก็เรียกว่าเป็นความหลง เพราะเชื่อแต่ปาก ยามคับขันก็ไม่สามารถหมุนเอาออกมาใช้เป็นที่พึ่งได้ แต่ถ้าเราเชื่อว่าพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แล้วเอาเหตุผลมาถามตัวเองว่า จะเป็นที่พึ่งของเราได้อย่างไร …อ๋อ รัตนตรัย คือแก้ว 3 ดวง พุทธะ ธัมมะ สังฆะ
พุทธะคืออะไร คือจิตของเราเอง ที่เป็นตัวรู้ ตื่น เบิกบาน ฉะนั้นทุก ๆ ขณะ เราต้องพยายามทำจิตดวงนี้ให้ประกอบกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมใด ๆ ด้วย ความรู้ ตื่น เบิกบาน แล้วก็จดจ่อ ตั้งใจ ลงมือปฏิบัติ
ธัมมะคืออะไร คือเหตุผล ความมีสติปัญญารักษาใจ ให้ไตร่ตรองพิจารณาปัญหาเฉพาะหน้าจนรู้ เห็น ตามเป็นจริง เป็นสัมมาทิฐิ เป็นธรรมชาติ ดังที่ได้เรียนให้ทราบแล้วว่า ตู้พระไตรปิฎก คือ ธัมมะ อยู่ในใจของเรานี่เอง
สังฆะคือตัวเราผู้กำลังปฏิบัติอยู่ ผู้สงบ ผู้ระงับบาป เราคอยเอาสติกำหนดอารมณ์ที่เกิดขึ้น ส่งให้ปัญญาพิจารณาไตรตรอง ค้นหาคำตอบ รักษาใจให้เป็นพุทธะ จดจ่อคอยฟังธัมมะในใจของตน ปฏิบัติอยู่อย่างนี้โดยสม่ำเสมอ จนได้ผลเป็นความสงบของใจ เป็นการแก้ปัญญาได้ถูกต้อง เมื่อนั้นคุณก็จะรู้ขึ้นในใจของคุณว่า สิ่งที่เชื่อถือนั้นเป็นความหลงหรือเป็นศรัทธา
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็โยงกลับไปถึงเรื่องกาลามสูตรเมื่อวันก่อนที่คุณสงสัยถามไปแล้ว และได้คำตอบว่า อย่าได้เชื่อโดยฟังตามกันมา โดยถือสืบ ๆ กันมา โดยเล่าลือโดยอ้างตำรา หรือโดยการใช้วิชาตรรกวิทยา เพราะอย่างนี้จึงเป็นอย่างนี้ หรือเพราะอนุมาน หรือเพราะไปคิดตรองเอาเอง แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติพิสูจน์ให้เห็นได้ หรือเพราะมองดู แล้วท่าทางน่าเชื่อถือ หรือเพราะนับถือว่าคนที่พดคำนี้เป็นครูของเรา
การที่พระพุทธเจ้าตรัสกาลามสูตรก็มีเหตุมาว่า นิคมที่ชนชาวกาลามะอาศัยอยู่นี้ เป็นนิยมที่พวกสมณชีพราหมณ์ทั้งหลาย เจ้าสำนักทั้งหลาย ผ่านไปผ่านมามาก ผู้คนในนิคมนี้แต่ละคนก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ เมื่อเจ้าสำนักไหนไปถึงก็ลงมือสอนลัทธิของตัว ยกตนข่มท่าน ทับถมความเชื่อของคนโน้นว่าไม่ดี อย่าไปเชื่อตาม อีกคนหนึ่งมาถึงก็มายกตนข่มท่าน ที่คนนี้ ๆ พูดก็ไม่ดี ไม่ถูก ชาวกาลามะก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ปั่นป่วน สงสัยไปหมด จึงไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ใครพูดเท็จใครพูดจริง เอาหลักตรงไหนเป็นเครื่องตัดสิน
พระพุทธเจ้าจึงตรัสกาลามสูตรให้ฟัง ว่าอย่าได้ไปเชื่อเพียงแค่ฟัง…ฟัง แต่ให้นำมาพิสูจน์ด้วยการลงมือปฏิบัติเมื่อท่านตรัสหลัก 10 ข้อนั้นแล้ว ก็ทรงสอนต่อไปว่า เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศลหรือเป็นกุศล มีโทษหรือมีคุณ ทำแล้ววิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ ปฏิบัติแล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือเป็นไปเพื่อความทุกข์ เมื่อนั้นเราจึงจะเชื่อ เราจึงจะยึดว่าอันไหนจะเป็นหลัก ที่เราควรประพฤติปฏิบัติตามท่านทรงสอนให้รู้ว่า การปฏิบัติพุทธศาสนานั้น เมื่อเรามาพูดมาฟังกันแล้ว เพราะใจคนเรามีความหลงแทรกอยู่เป็นเจ้าเรือน ก็ต้องเริ่มเปิดใจออกด้วยศรัทธาเป็นเบื้องแรก เพราะเรายังพึ่งตัวเองไม่ได้ จึงต้องเชื่อเลื่อมใส ศรัทธาในท่านผู้รู้ ผู้เป็นบัณฑิตเอาไว้เป็นเข็มทิศนำทาง
ศรัทธาอันนี้ถึงเราจะเลือกว่าเป็นสัมมาทิฐิอย่างไร ๆ ก็ไม่มีทางเป็นความเห็นชอบเต็มร้อยละ 100 ยังต้องเอามาวิจารณ์วิจัยทดลองปฏิบัติไป ปฏิบัติไป ค่อยเรียนรู้ไปจากผลของการลงมือปฏิบัติว่า ผิดถูกแค่ไหน แล้วปรับปรุงไปเรื่อย ๆ จนรู้เห็นเป็นขึ้นในใจ ประจักษ์แจ้ง เกิดเป็นปฏิเวธ
คราวนี้ความเชื่อของเราก็ไม่คลอนแคลน ศรัทธา ซึ่งแต่เดิมอาศัยบุคคลเป็นหลัก ก็เปลี่ยนมารู้เห็นเป็นขึ้นในใจ กลายเป็นอจลศรัทธา คือความเชื่อแน่วแน่ในผลที่เกิดขึ้นสัมผัสในจิตในใจ ลงรากฝังตัวเป็นศรัทธาแท้ ที่จะเป็นกำลังให้การปฏิบัติดำเนินต่อเนื่องกันไปด้วยด้วยเสมอต้นเสมอปลาย
ทำนองเดียวกับที่พระสารีบุตรทูลตอบพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระองค์มิได้ถือไปตามคำสั่งสอนที่ได้ฟัง เพราะเลื่อมใสศรัทธาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า หากนำมาทดลองประพฤติปฏิบัติจนข้าพระองค์ทราบแล้ว เห็นแล้ว รู้ชัดแล้ว ทำให้ประจักษ์แจ้งแล้ว พิสูจน์แล้ว คือ ได้ปฏิบัติจนกระทั่งรู้เห็นเป็นขึ้นในใจของข้าพระองค์แล้ว จึงเชื่อเลื่อมใสโดยไม่คลางแคลงสงสัย
ศรัทธาที่กล่าวนี้ เรียกอจลศรัทธา เป็นพื้นฐานของกำลังในพละ 5 ที่ส่งเสริมให้ใจของเราเกิดความพากเพียร ปฏิบัติต่อเนื่องกันไปได้เรื่อย ๆ ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ เหนื่อยก็ทำ ไม่เหนื่อยก็ทำ คือทำอยู่สม่ำเสมอ เหมือนกับเป็นลมหายใจเข้าออกของจิตใจ
ถาม : การที่เราเชื่อว่า การมาฝึกพัฒนาตนครั้งนี้ เราควรแต่งตัวสีดำ สีขาว สีน้ำเงิน หรือต้องนุ่งซิ่น เป็นการหลงหรือไม่ เพราะเมื่อเราออกไปจากวัด กลับไปทำงานตามปกติ เราก็ต้องแต่งตัวให้ถูกกาลเทศะ ไม่สามารถจะไปทำให้เหมือนอยู่วัดได้
ตอบ : เพราะเราอยู่ในโลกสมมติ ในโลกสมมติก็มีสมมติบัญญัติ คือธรรมเนียมประเพณี หรือความงดงามเป็นระเบียบเรียบร้อย แบบเดียวกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่มีกิเลสแล้ว ท่านจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ผู้หญิง จิตใจของท่านก็ไม่เป็นกิเลสขึ้นมา แต่ทำไมท่านถึงมีวินัยบัญญัติว่า พระสงฆ์ต้องมีข้อวัตร มีวินัย สำรวมระวังไม่ถูกต้องมาตุคาม
นี่ก็เหมือนกัน เราก็มีข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ในสถานที่ที่เรียกว่าวัด ใจที่ยังเถื่อนคึกคะนอง ที่สติยังตามไม่ทัน ก็ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก ช่วยควบคุม การได้เห็นผู้คนแต่งตัวเรียบร้อยเป็นระเบียบนุ่งผ้าถุงสีเข้ม ใส่เสื้อขาวหรือสีสะอาดตา จะช่วยให้ใจของเราที่กำลังคิดฟุ้งซ่านเตลิดไป เกิดการสำรวมระวังหดตัวเข้ามาอยู่ภายในหรือการมาอยู่ในที่ ๆ สงบวิเวก เป็นธรรมชาติอย่างนี้ เราจะทำอะไรโฉ่งฉ่างโครมครามอย่างเคย ก็เกิดความละอาย เกรงตัวเองจะกลายเป็นสิ่งรบกวน ผิดแปลกธรรมชาติไป เกิดความสงบภายนอกจึงมีส่วนน้อมจิตใจให้เกิดความระมัดระวัง รักษากายวาจาให้สงบสำรวม การที่เรามานุ่งผ้าซิ่น แต่งตัวอย่างนี้ ถือเป็นการอาศัยรูปแบบภายนอกมาเตือนสติของเรา ไม่ใช่ว่าหลง และไม่ใช่ว่าพอออกจากวัด กลับไปสู่ชีวิตแบบเดิม เราก็เลยสลัดสติที่ได้มาฝึกฝน โดยอาศัยรูปแบบภายนอกเหล่านี้เป็นเครื่องกระตุ้นทิ้งไปเลย
ให้เราคอยนึกถึงสภาวะอันนี้เอาไว้ในใจของเรา พอจะทำอะไรที่เรางด ไม่ทำในวัด ให้น้อมเอาอารมณ์ที่สงบ ละเอียด เบาสบาย ในวัดขึ้นมาเป็นอนุสติเครื่องเตือนใจ เหมือนที่เสื้อและผ้าซิ่นเคยเหนี่ยวรั้งเตือนใจเรามาแล้ว ทำให้เราสามารถปฏิบัติสำรวมตนต่อไปได้ การทำอย่างนี้จึงจัดว่าเป็นการมาพัฒนาตนที่แท้จริง ไม่ใช่กิริยาสักแต่ว่าพัฒนา พอออกไปก็สลัดทั้งหมดที่มา ทำกันทิ้งเอาไว้ที่นี่ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เป็นความล้มเหลวอย่างยิ่งของวิทยากร
ดิฉันหวังว่า สิ่งที่นำมาเล่าสู่กันฟังคงพอเป็นอุทาหรณ์สะกิดให้พุทธะในใจของท่านไหวตัวตื่นขึ้นมา ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้น ก็เป็นผลของกำลังใจที่แน่วแน่เด็ดขาดของท่านแต่ละคนนั่นเอง ดิฉันขอร่วมอนุโมทนาในกุศลจริยาเหล่านี้ เพราะการที่จิตใจของแต่ละท่านพัฒนาไปเช่นนั้น ย่อมยังความสงบร่มเย็นให้บังเกิดแก่ผู้คนรอบข้างที่มาเกี่ยวข้อง อย่างมิรู้คณานับ
มีท่านผู้หนึ่ง ไปกราบท่านอาจารย์พร้อมทั้งปรารภว่า "กระผมย้ายงานแล้ว"
ท่านอาจารย์ถาม "อ้าว …ย้ายทำไมล่ะ"
"คนมันเลวทั้งนั้นครับผม ตั้งแต่เจ้านายลงมาถึงภารโรง"
ทุกครั้ง บางที 2 อาทิตย์ไปครั้ง ก็ย้ายงานแห่งหนึ่ง บางที 2 เดือน ย้ายอีกแห่งหนึ่ง นับรวมเบ็ดเสร็จได้ 7 แห่ง
แต่ถึงแห่งที่ 7 ท่านอาจารย์ก็ยิ้ม ๆ ปรารภว่า ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่า คุณอาจจะเป็นฝ่ายบกพร่องก็ได้นะ เพราะทุกครั้งที่คุณย้ายงานไป ก็เป็นคนใหม่ ๆ ทั้งนั้น มีคนเก่ายืนโรงอยู่เพียงคนเดียว คือตัวคุณไงล่ะ ทั้ง 7 ครั้งเลย ถ้าคุณลองเปลี่ยนเป็นแก้ที่ตัวคุณดู บางทีจะไม่ต้องย้ายงานใหม่ก็ได้
ท่านไม่กลับไปที่วัดอีก เลยไม่ทราบว่า ไปแก้ไขตัวเองให้พ้นความหลงผิด แล้วไม่ต้องย้ายงานอีก หรือว่าเคืองท่านอาจารย์จนไม่เหยียบไปแล้วสำนักนี้เรื่องของท่านผู้นี้ทำให้ตัวเองได้คิดว่า จริงนะ บางทีเราเองก็หงุดหงิด แต่ไม่ถึงกับย้ายงาน แม้กระทั่งไปอยู่วัดบางทีก็ยังอดหงุดหงิดไม่ได้ เอ๊ะ …อยู่บ้าน เราไม่เห็นจะเหนื่อยยากอย่างนี้เลย ไม่เห็นจะต้องทนเสียงอะไรต่อมิอะไรอย่างนี้เลย เริ่มเผลอส่ายแส่ใจออกข้างนอกไปเพ่งโทษผู้อื่น แล้วเห็นว่าบ้านเราสัปปายะกว่า สะดวกกว่าสบายกว่า เพราะฉะนั้นกลับบ้านดีกว่า
ท่านอาจารย์ติงว่า "เอ …วัดไม่ใช่ที่ขังกิเลสเอาไว้ แล้วก็ปล่อยออกมาขบกัดคนนะ วัดก็เป็นที่สาธารณะ ใครแสวงหาความร่มเย็นก็มาประพฤติปฏิบัติ ธรรมจากครูบาอาจารย์ก็เป็นเหมือนผลไม้ ใครอยากเก็บเอาไปกิน หรือเอาไปทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น"เพราะเขาเหล่านั้นไม่เคยขัดใจเรา เราก็โกรธไม่เป็น อาฆาตไม่เป็น หลงหรือ ฉันก็ไม่หลง ฉันรู้ทั้งนั้น แต่พอเข้ามาอยู่ในวัด ทุกคนเสมอภาคกัน เพราะวัดเป็นของสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิ์เสมอกัน เราก็เริ่มรู้สึกว่า ทำไมถึงไม่มีใครมาคอยเอาใจเรา ตะกอนของตัวตนค่อย ๆ ถูกกระฉอกฟุ้งขึ้น ๆ จนถึงจุดหนึ่ง ก็ระเบิดขึ้นมาว่า ไม่ไหวแล้ว วัดนี้มีแต่กิเลสทั้งนั้นแท้ที่จริง มันกิเลสที่อยู่ในใจของเราเอง เพิ่งได้โอกาสแตกตัวจากก้อนตะกอนที่นอนก้นอยู่ ปลิวฟุ้งขึ้นมาให้รู้ให้เห็นแทนที่จะขอบคุณว่า เขามาทำให้เรารู้จักตัวเอง กลับไปโทษว่า คนพวกนี้ไม่ดี กวนใจเรา เรื่องอะไร เราจะนั่งภาวนา มาเดินจงกรมกรอกแกรก ๆ อยู่ได้ …หมาก็เหมือนกัน เรื่องอะไรเห่าอยู่ได้ ไม่รู้จักหุบปากภาวนาเสียบ้าง ทำอย่างไรเราถึงจะไปจับมันผูกปากเสียได้
แต่ไม่มีสติที่จะวกกลับมาสอนตัวเองว่า ใจของเราถ้าเก็บเอาไว้ในใจตัวเอง แล้วคอยเอาสติเฝ้าดูแต่ใจเรา มันก็อยู่ข้างในเรียบร้อยดี นี่ปรากฏว่าเราเอาใจของเรายืดงวงเป็นหนวดปลาหมึกเพ่นพ่านออกไป เสียงอะไรดัง กริ๊ก…ขึ้นมา เราก็ไปคว้าจับเอามาทุบถองบนใจเรา เขาอยู่ของเขาถึงตรงโน้น ม้วนใจของเราเข้ามาเสีย เสียงก็สักแต่ว่าเสียง
ใครที่เริ่มกำหนดสติได้อย่างนี้ เมื่อทำสำเร็จครั้งแรกจะพบว่า ใจสบายขึ้นเยอะ มีเพื่อนคนหนึ่ง บ้านเขาอยู่บนถนน ที่แต่ก่อนนั้นก็สงบเงียบดี ต่อมาทางด่วนตัดผ่าน ไหนจะเสียงรถแล่น เสียงเบรก เสียงมอเตอร์ไซด์ เสียงสิบล้อ พอเสียงดังพรื้ดที เขาอุทธรณ์ กลางวันก็ยังพอทน ที่สองยาม ตีสอง ไม่รู้จักหลับนอนกันหรืออย่างไร
โธ่เอ๋ย …ก็รถบรรทุกต้องแล่นเวลาอย่างนั้น ช่วงเวลาธรรมดาก็แล่นไม่ได้ เขาโกรธหงุดหงิดไปหมด ครั้นเริ่มหัดทำสมาธิได้ เขาบอกวันที่จิตของเขามีสติดี กำหนดเข้าที่ เสียงสักแต่ว่าเสียง มันมหัศจรรย์จริง ๆ เสียงรถก็คงดังเท่าเดิม แต่ใจนั้นร่มเย็น เขาเริ่มแยกได้เป็นครั้งแรกว่า เสียงอยู่บนทางด่วนโน้น แล้วระหว่างทางด่วนมาถึงบ้านของเขา รถระยะทางก็ไกลตั้งหลายร้อยเมตร แต่ก่อนนั้นไม่เห็นเลย รู้สึกว่า รถแล่นอยู่บนใจของเขา ทำให้ร้อนรนแหลกลาญไปหมด
พอกำหนดได้อย่างนี้แล้ว เขาถึงเข้าใจที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ธรรมคือการที่เรามารู้จักธรรมชาติแวดล้อมรอบตัวเรา คือ โลกภายนอก และตัวเรา โลกภายใน ตามเป็นจริง เป็นอย่างนี้เอง เป็นเครื่องพักใจของเราให้สงบ รู้ อยู่ที่ไหน ๆ ก็อยู่ได้ ไม่อย่างนั้นก็มัวไปเลือกสถานที่ว่า ตรงไหนจะสงบน่าอยู่ อีกตัวอย่างหนึ่ง คนงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งมีบ้านอยู่ในสลัม เขาบอกกับภรรยาว่า หัวเด็ดตีนขาดเราต้องเก็บหอมรอมริบ เพื่อย้ายบ้านให้ได้ เพราะรำคาญเหลือเกิน ข้างบ้านทะเลาะกันตลอดเวลา เหมือนการทะเลาเป็นเรื่องธรรมดา เขาทนไม่ไหวแล้วเมื่อปักใจว่าต้องย้ายให้เร็วที่สุด เขาก็เลยหงุดหงิดกับภรรยาเรื่องรายจ่าย เพราะคำนวณว่า เดือนหนึ่ง ๆ ควรใช้จ่ายแค่นี้…แค่นี้… แล้วภรรยามาบอกว่า สตางค์ไม่พอ แหม! หงุดหงิดพาลคิดไปว่า เห็นทีจะต้องหย่ากันเสียแล้ว จะมาล้างมาผลาญกันหรืออย่างไร เกิดความคิดไปเบียดเบียนภรรยา เคราะห์ดียังไม่หลุดเป็นคำพูดออกมา แต่สารภาพว่า ในใจเริ่มเป็นน้ำเดือดแล้ว พอได้ฟังธรรมที่โรงพยาบาลจัดทุกสัปดาห์ ฟังไปก็ทำสมาธิไป ด้วยเริ่มเห็นอานิสงส์ของสมาธิ
วันหนึ่งกว่าจะออกเวรกลับไปถึงบ้าน อาบน้ำอาบท่าเสร็จก็สองยามกว่า เกือบตีหนึ่งแล้ว นอนไปยังไม่ทันเต็มอิ่ม ก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะข้างบ้านบรรเลงเสียงทะเลาะกันสนั่นหวั่นไหว เหลือบดูนาฬิกา ยังไม่ทันตี 4 เลย ความโกรธพลุ่งขึ้นมาจนระงับไม่อยู่ คิดว่าวันนี้เป็นไงเป็นกัน จะเปิดหน้าต่างบอกไปว่า นี่คุณ…ดูนาฬิกาเสียหน่อยสิ มันเกินไปแล้วนะ รอให้สว่างก่อนไม่ได้หรือ
แต่สติที่ฝึกเอาไว้ พอลุกขึ้นเดินจะไปเปิดหน้าต่าง ก็เหมือนมีตัวอีกตัวหนึ่งในใจ คือ ตัวพุทธะ ไม่ใช่ตัวกิเลส พุทธะเตือนว่า ไหนเราเคยนึกว่า ถ้ามีแรงตื่นได้แต่เช้าสักตี 4 แล้วนั่งสมาธิได้อีกหนหนึ่งก่อนไปทำงาน คงช่วยให้ใจเรามีภูมิคุ้นกันเพิ่มขึ้น ใครจะบ่นจะว่า นายจะใช้งานหลายประเภทยุ่งจุกจิกนัก เราจะได้ไม่หงุดหงิด บัดนี้เราก็ตื่นเต็มตาแล้ว นั่งสมาธิเสียดีไหมพอสติเหนี่ยวรั้งขึ้นมาอย่างนั้น กายที่ถูกฝึกดีแล้วก็หันกลับไปทำวัตรเช้า แล้วนั่งสมาธิ จิตลงรวมดี เมื่อรู้ตัวถอนขึ้นมา ก็พอดีได้เวลาอาบน้ำ เตรียมตัวไปทำงาน จิตใจสงบผ่องใสดีมาก หูแว่วได้ยินเสียงเพื่อนบ้านยังทะเลาะกัน เขาเล่าว่า จิตที่เพิ่งได้กำลังเต็มที่จากความสงบ เกิดปัญญาเห็นตามเป็นจริง สลดสังเวชว่า ดูเถอะ บ้านเราอยู่ชิดติดกัน บนโลกผืนเดียวกัน เขาเป็นคนนำบุญกุศลมาให้เราแท้ ๆ เพราะถ้าเขาไม่ทะเลาะกันทำให้เราตื่น เราก็คงนอนจนสว่าง เช้านี้ก็หมดไปเปล่า ๆ ด้วยความหลงผิดว่า การนอนคืออาหารของใจ ไม่มีโอกาสได้พบความสงบ ปีติอย่างนี้แผ่กุศลผลบุญให้เขาทั้งหมด แล้วยังเกิดความเมตตาสงสารเขาจับใจ เพราะขณะที่เขาเอาบุญมาให้เรา ตัวเขาเองกลับทุกข์ทรมานอยู่ในขุมนรก เพราะคิดดูสิ ตั้งแต่ตี 3 กว่า ๆ จนเดี๋ยวนี้จะ 6 โมงเช้าแล้ว กี่ชั่วโมงที่เขารุ่นร้อนอยู่ในไฟโทสะ ความไม่ได้อย่างใจ เราไม่ต้องไปด่าไปว่าไปทำอะไรเขาเลย ผลที่เขาทำกับตัวเองด้วยความหลง รู้เท่าไม่ถึงการณ์เวลานี้ก็ผลิดอกออกช่อเป็นวิบากให้เขาชดใช้อยู่ด้วยความลำบาก ทุกข์ยากใจแสนเข็ญอยู่แล้ว
มันน่ากลัวจริง ๆ ที่ไม่มีใครทำให้เราทุกข์ได้เท่ากับเราทำตัวของเราเอง เพราะอวิชชา ความหลงชักจูงไป และทำลงไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ตัวของตัว
เขาเล่าต่อไปว่า ใจของเขาเบา เกิดความสว่างไสว เข้าใจที่ว่า ธรรมอยู่ที่เดียวกับโลก เพราะแต่ก่อนเขาคิดว่า เขาจะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองเป็นคนหาเช้ากินค่ำเป็นคนงาน ครอบครัวก็มี ลูกก็กำลังเรียนหนังสือ ที่เรายากจนเพราะเราไม่มีการศึกษาสูง เพราะฉะนั้น ลูกจะต้องได้เรียน อย่างน้อยก็จบอาชีวะ หรือมหาวิทยาลัยถ้าเขามีปัญญาเรียนได้ ไหนจะต้องชักหน้าให้ถึงหลัง สำหรับรายจ่ายแต่ละเดือนแล้วยังจะต้องเก็บหอมรอมริบไว้สำหรับลูกอีก ตกลงใจกังวลกระสับกระส่ายไปหมด แล้วก็พาลน้อยใจว่า เราไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม
แต่เช้าวันนั้น ปัญญาสว่างไสวขึ้นในใจ ทำให้ความหลงจางหายไป คล้ายกับว่า ปัญญาเป็นเหมือนแสงแดดสาดส่องมาแทนที่ ได้เห็นประจักษ์ว่า โลกกับธรรมอยู่ที่เดียวกัน คือในใจของเราแต่ละคนนี้เอง
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราว้าวุ่น ปล่อยให้นิวรณ์ ความลังเลสงสัย ความฟุ้งซ่าน คิดปรุงไปไม่มีฝั่งมีตา ตามที่เราเคยชิน ปล่อยใจให้ซัดส่ายไปจนเหนื่อยล้า เกิดความหดหู่ ท้อถอย หรือไม่ก็ไปโลภอยากได้ ไปหมั่นไส้เพื่อนบ้าน จะต้องย้ายบ้านเพราะความหลงผิดของเราเอง จริง ๆ แล้วใจดวงนี้ ถ้าเรารู้จักปฏิบัติอย่างเช้าวันนี้ มันสุขยิ่งกว่าอยู่บนสวรรค์อีก ไม่ใช่แค่อยู่บนโลกธรรมดา ๆ มันสงบจนกระทั่งเขารู้ว่า ถึงยังอยู่ตรงสลัมนี่ เพื่อนบ้านก็ไม่มีอิทธิพลมารบกวนจิตใจได้ เพราะเขาชักสะพานเข้ามาเก็บไว้ข้างในใจ ไม่ยื่นเป็นหนวดปลาหมึกออกไปรับสิ่งนั้นสิ่งนี้เข้ามาถล่มตัวเองนี่แหละ หลักของธรรมะ คือ แค่นี้เอง มองตัวเอง ครองตัวเองให้เที่ยงธรรม ให้รู้ตามเป็นจริง แล้วเราจะออกไปสัมพันธ์กับโลกได้ตามเป็นจริง ไม่เบียดเบียนตัวเอง
คนเราไม่รู้ว่า การไม่ปฏิบัติธรรม คือการเบียดเบียนตัวเอง เพราะใจที่รั่วขาดสติ ทำให้เกิดนิวรณ์ความไม่แน่ใจ แล้วมานะทำให้เราไปเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นว่า เราด้อยกว่าเขา เราเสมอกับเขา เมื่อไหร่เราถึงจะดีเท่าคน ๆ นั้นเมื่อเปรียบเทียบว่า เราด้อย เราเสมอ หรือเราเหนือเขาแล้ว ใจก็เกิดอารมณ์ อารมณ์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นอกุศล ทำให้ใจเศร้าหมอง ถ้าเหนือกว่าก็ยกหัวชูหาง ยกตนข่มท่าน ด้อยกว่าก็น้อยเนื้อต่ำใจ เสมอกันก็คอยแข่งดีแข่งเด่น ดูว่าอย่าล้ำหน้าฉันไปนะ ไม่มีมุทิตาจิต บั่นทอนกุศลทุกอย่างที่จะเกิด เพราะความชิงดีชิงเด่นไปปิดกั้นเอาไว้ ทำให้ตัวเองไม่กลิ้งไปทางลบ ก็ติดอยู่แค่ศูนย์ถ้ารู้จักเอาธรรมมาเป็นหลัก เปิดกำแพงใจออก เรากับโลกหรือสิ่งรอบข้างล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ต่างก็มีใจที่ทุกข์ เดือดร้อน ด้วยความกังวลว่า เราจะเจ็บเมื่อไหร่ จะตายเมื่อไหร่ จะทุกข์ทรมานแค่ไหนเหมือน ๆ กัน สิ่งที่มีอยู่นี่จะพอเป็นหลักประกันให้เราคุ้มครองตัวรอดปลอดภัย หรือจะหมดเนื้อหมดตัว จะมีลูกเต้าหรือใครมาดูแลยามคับขันอับจนหรือเปล่า สัญชาตญาณเหล่านี้ก่อความกังวล ความทุกข์ให้กับใจเจ้าตัวเกินพออยู่แล้ว
ทำไมเราถึงจะแห้งแล้งน้ำใจ สร้างความทุกข์ให้กันและกัน เบียดเบียนกันและกันเข้าไปอีก เมื่อเจอะเจอกัน มีอะไรที่เราทำให้แก่กันได้ก็รีบทำเสีย จะได้ไม่ก่อหนี้สินค้างติดในใจต่อไป
ครั้งหนึ่งดิฉันคับแค้นใจมาก สมัยที่เป็นแพทย์ที่ปรึกษาอยู่ที่หอพักในโรงพยาบาล คืนหนึ่งไม่ใช่เวรของดิฉัน ตัวแพทย์ที่ปรึกษาจริงไม่รู้ไปไหน คนงานก็มาตาม คืนที่เป็นเวร ดิฉันก็อยู่แล้ว คืนถัดมาก็อยู่แทนเพื่อนที่มีธุระกะทันหัน คืนนี้จึงง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น พอคนงานมารายงานว่า "คุณหมอครับ หมอเวรให้มาตาม เพราะตามเวรที่ปรึกษาแล้วไม่อยู่ หมอเวรขอให้คุณหมอช่วยลงไปดูหน่อย นึกว่าเห็นแก่เด็กตาดำ ๆ"

ดิฉันบอก "ตาดำตาแดงไม่เห็นทั้งนั้น ไปตามหาเวรที่ปรึกษาให้ได้ก็แล้วกัน"
ว่าแล้วก็หลับไปเลย รวดเดียวถึงเช้าตรู่พอไปทำงานเช้านั้น จึงทราบว่าเด็กคนนั้นตาย ความคิดแรกที่มากระทบในใจ คือ ถ้าเราลงไปดูเมื่อคืนนี้ เด็กคงไม่ตายก็ได้ พอความคิดนี้เข้ามาอยู่ในใจแล้ว ก็ไม่สามารถลบทิ้งไปได้ วันนั้นทั้งวัน ดิฉันทำงานไม่ได้เรื่องเลย เพราะความสงสัยนี้วนเวียนเข้ามาในใจเรื่อย ๆ แล้วพาให้คิดปรุงเอาเด็กคนนั้นขึ้นมาเป่าหัวให้กลับหายใจใหม่ เพื่อจะได้พิสูจน์ว่า ถ้าเราลุกขึ้นไปดู เด็กจะตายหรือเปล่าดิฉันเสียเวลา เสียกำลังใจอย่างนี้ไป 2-3 วัน จึงได้สติว่า ความคิดเหล่านี้เป็นสิ่งไม่มีอยู่ ไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะปัจจุบันความเป็นจริง เด็กคนนั้นตายแล้ว ถึงจะคิดยักย้ายถ่ายเทไปเท่าไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงไม่ได้ แล้วเราจะลุ่มหลง ปล่อยใจคิดเฟื่องให้เป็นบ้าอยู่ทำไมก็บอกกับตัวเองว่า แต่นี้ต่อไป ถ้ามีอะไรเกิดกับเราอย่างนี้ แล้วตัวเองจะมาเสียใจทีหลัง เพราะเกิดสงสัย เพ่งโทษตัวเอง เราจะลุกขึ้นไปโดยไม่หงุดหงิด หรือถามหาเหตุผลว่า เป็นเวรของใคร แต่จะถามตัวเองว่า ถ้าเราขึ้นไปไม่ไหวแล้วเด็กตาย เราสามารถทำใจได้ไหมว่า เด็กถึงคราวเคราะห์ของเขาเอง ถ้าลังเลว่า ทำใจไม่ได้ ก็ลากสังขารขึ้นไปเมื่อไปแล้ว เกิดง่วงจนเกินไปไม่ถึงหอผู้ป่วย จะหลับไปกลางทาง ก็ให้รู้ชัดไปเลยว่า เรามีปัญญา มีเรี่ยวแรงอยู่แค่นั้น สุดสติกำลังความสามารถของเรามีเท่านั้น ก็ทำได้เท่านั้น ใจจะได้สบายการที่เราทำดี ไม่ใช่ทำเพราะหวังว่า ฉันทำแทนเขาแล้วเจ้านายจะให้สองขั้น หรือประกาศให้รู้ว่า ฉันเป็นคนดีนะ ไม่ใช่อย่างนั้น เราทำเพื่อให้ใจของเราเป็นอิสระ ปลอดจากสังขารจิต ความปรุงคิดวิตกหวั่นกังวล ลงโทษตัวเอง
ตราบเท่าที่ใจยังมีนิวรณ์อยู่ เราไม่รู้ว่าวิบากอะไรจะมาทำให้เราปรุงคิดแผดเผาตัวของตัว เราจึงป้องกันตัวเองอย่างรอบคอบทุกอย่าง เป็นผู้ไม่ประมาท สิ่งใดที่กลัวว่า ตัวเองจะเดือดร้อนภายหลัง เราป้องกันเพื่อความปลอดภัยของตัวเพื่อเมตตาตน เป็นการตัดไฟแต่หัวลม นี่คือการปฏิบัติธรรมเมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรที่ทำลงไปแล้ว ย่อมไม่ก่อความเดือดร้อนให้ตนในภายหลัง ไม่ว่าเจ้านายจะเห็นหรือไม่เห็นคุณงามความดี เพื่อนจะมาต่อว่า …เรื่องอะไร คุณมายุ่ง เวรของฉันแท้ ๆ มาก้าวก่ายสั่งการรักษาคนไข้ของฉัน…เราก็ไม่ถือโกรธ และสวามารถตอบว่า "ขอโทษเถอะนะ" แล้วก็จบกันไป
ไม่อย่างนั้น เราจะไปแค้นใจว่า คนอะไร เรารู้อุตส่าห์อดหลับอดนอน ลุกมาทำงานแทนให้ แล้วยังมาใส่ไคล้กันอีกทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เราทำเป็นบุญกุศล เป็นสิ่งที่ถูกควร แต่เราไม่ฉลาดรอบคอบ ปล่อยความหลังให้มาลากใจเราไป จนกุศลด่างพร้อยกลายเป็นของเก๊ ตามกิเลสที่ดิ้นอยู่ในใจของเรา แล้วตีราคาสิ่งที่กระทำลงไปผิดพลาดคลาดเคลื่อนหมด เหมือนมีคนเอาเพชรมาให้เรา แทนที่เราจะเอาเพชรไปขายในราคาของเพชร เรากลับเอามาเผาเป็นเชื้อเพลิงแทนถ่าน เพื่อหุงข้าวหม้อเดียว ใครทำให้เราขาดทุนสูญเงินทองมากมหาศาลอย่างนั้น ก็ความหลงในใจของเรานั่นแหละ
การมาฝึกใจของตนที่เรียกว่าจิตภาวนา หรือพัฒนาคนก็เพื่อปลูกฝังสติปัญญาให้เจริญงอกงาม เพื่อลิดรอนความหลงให้หมดไป เราจะได้ครองตนของตนได้ดี ครองคนรอบข้างให้ถูกต้อง ถึงพร้อมด้วยพรหมวิหาร ครองการงาน หน้าที่ความรับผิดชอบให้เที่ยงตรง ปราศจากอคติ เป็นเสบียงกรัง คือ บุญกุศล เป็นบุญนิธิฝังฝากไว้ในธนาคารใจของเราเองบุญนิธิที่ฝากไว้ในธนาคารนี้ ใครมาปล้น มาจี้ มาแย่งของเราไปไม่ได้ เพราะมันไปหล่อหลอมเข้าเป็นคุณสมบัติของเนื้อจิตใจของเรา ทำให้มีคุณภาพละเอียดประณีตยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทำให้มองอะไรเกิดความเข้าใจละเอียดลึกซึ้งไปเป็นขั้น ๆ จนกระทั่งผ่านจากการเป็นปุถุชนคนหนา มาเป็น กัลยาณชน สุขุมาลชน อริยชน โดยลำดับเปรียบเหมือนของที่เริ่มต้นแล้ว จะไปถึงแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับพลกำลังของตนว่า เรามีศรัทธาเชื่อมั่นในสิ่งนี้ จนเป็นกำลังให้เพียรของเราต่อเนื่องไม่ขาดวรรคขาดตอนเพียงไหน ถ้ายังเชื่อไม่มั่นคง ความเพียรก็ขาดเป็นพัก ๆ เหมือนเครื่องยนต์ที่น้ำมันหล่อลื่นยังปรับไม่เข้าที่ เดินไป ๆ ก็สะดุดสมัยโบราณ ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องเอาไม้ไผ่มาสีกัน ผู้ที่เชื่อว่าสีแล้วเกิดประกายไฟ ก็ตั้งหน้าตั้งตาสี ประเดี๋ยวเดียวก็เป็นประกายไฟขึ้น เราไม่คุ้นเคย …มันจะเกิดไฟได้อย่างไรกัน สีไปมือก็อ่อนแรงลง ประจุความร้อนที่เริ่มสะสมก็ค่อยสลายกระจายตัวไป เพราะจังหวัดเสียดสีไม่สม่ำเสมอ ตกลงเราสีให้ตายก็ไม่เกิดไฟ เพราะเราทำผิดวิธี
เรารู้ไม่รอบ รู้ไม่จริง ความเพียรของเราไม่ถึงที่ แต่แทนที่เราจะเห็นอย่างนั้น เรากลับไปโทษว่า "ที่เขาสอนกันว่า ไม้ 2 อันมาสีกันแล้วมีไฟ เธออย่าไปเชื่อ เรื่องงมงายทั้งนั้น" นอกจากไม่รู้จริงแล้ว ยังพาคนอื่นผิดอีก อันตรายแค่ไหนชีวิตของเราทุกวันนี้ เมื่อไม่รู้จักความหลงในใจของตนแล้ว ก็เลยกำจัดความหลงให้หมดไปจากใจไม่ได้ เราจึงทำชีวิตตัวเองให้เป็นรวงรังของทุกข์ มีแต่ทุกข์… ทุกข์… ไม่ว่าหันไปทางไหนก็ทุกข์
เราเลี้ยวผิดทาง ทิฐิที่มีต่ออารมณ์กระทบเลยกลายเป็นความเห็นไม่ชอบ พาเราหมุนหนีออกจากมรรค เพียรเท่าไหร่ยิ่งเดือดร้อนเท่านั้น เหมือนดิฉันไปเลือกเรียนวิชาสะเดาะกลอน ไม่ได้คิดจะเป็นขโมย แต่อยากเข้าไปเดินเล่น ชมดูว่าบ้านเขาสวยงามเพียงไหน ขอดูกันแค่นี้จะเป็นไรไป เขาเลยเรียกตำรวจมาจับ กล่าวข้อหาว่าบุกรุกบ้าน เราถูกจับในบ้านเขาจริง ๆ จะไปร่ำร้องว่า เปล่า…ไม่ได้ขโมย… เขาก็ไม่ฟังเรา
เมื่อเราไม่รู้จักสอนใจตัวเองว่า อะไรก็ตามก่อนจะใส่ความเพียรลงไป ต้องไตร่ตรองให้ถูกต้อง ให้เป็นเหตุ เป็นผล เป็นมรรค เราก็เอาตัวไปเข้าที่คับขันทุกครั้งไป
ใจคนเรานั้น นึกอยากอะไรก็ได้อย่างใจทุกอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ แต่เพราะความหลงมาบังสติปัญญาเอาไว้ จนกระทั่งเราไม่เคยจับสังเกตเห็นเหตุอันนี้ ส่งมาเป็นผลอันนี้ หรือวาระที่เหตุกับผลแต่ละอัน ละอัน เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้สัมพันธ์ต่อเนื่องกันให้เราเห็นได้กระจ่างชัด เราก็เลยไม่เห็นประจักษ์ว่าทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจเป็นต้นว่า เวลาเรียนหนังสือ ถ้าเราไม่ตั้งใจฟังครูอาจารย์ให้เข้าใจ กลับมาทบทวนท่องบ่นให้รู้กระจ่างแจ้ง เราก็สอบตก เราอยากทำงานที่ตรงไหน เราไม่ไปขวนขวายสมัคร ไม่ติดตามเรื่อง ไม่สืบเสาะให้รู้ว่าคุณสมบัติของผู้สมัครเป็นอย่างไรบ้าง เราก็เตรียมตัวไม่รัดกุมเต็มที่ ก็ไม่ได้รับเลือกเข้าทำงานนั้นความจริงแล้ว ชีวิตเราก็เป็นไปตามพุทธพจน์ที่ว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ การที่ใจของเรามารู้ มาเห็นอย่างนี้ เป็นต้นว่า อยากรู้ข่าวอะไรก็มีเหตุให้ได้รู้ อยากรับประทานปลาก็บังเอิญให้ได้ปลา เป็นเพราะใจของเราส่วนจิตไร้สำนึกนั้น ไปกำหนดเพ่งเอาไว้ เป็นเหตุให้ผลสำเร็จเป็นอย่างนั้นขึ้นมา ถ้าจิตใจของเราละเอียดขึ้นไปอีก เราก็จะเห็นได้ว่า ทำไมจึงต้องสำรวมความคิด คือ ใจของเรา ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้มีโอกาสไปอยู่วัดหลวงตาติดต่อกันนานเป็นหลายเดือน เพราะคุณโยมแม่ของท่านล้มเจ็บ วันหนึ่งขณะเดินจงกรมอยู่ จิตซึ่งไม่ใช่อิฐใช่ปูน ขนาดเท้าก็ก้าวเดินจงกรม กำหนด พุท-โธ อยู่ ใจยังแวบออกไปคิดตามประสาปุถุชนคนธรรมดา สิ่งที่แวบคิดไปก็ไม่มีสาระแก่นสารอะไร ปรุงขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า ถ้าได้กินไอศกรีมสักถ้วยคงดีแท้ ก็มองใจตัวเอง …ไม่ใช่กิเลสความอยาก เพราะคิดแล้วก็ไม่กระสับกระส่ายวุ่นวายต่อไปว่า แหม…เอไรเราจะได้กลับกรุงเทพฯ ไปกินไอศกรีมหนอ ก็สรุปกับตัวเองว่า นี่เป็นเพียงสังขารจิต อยู่เฉย ๆ ก็ปรุงคิดขึ้นมา เหมือนอย่างกับอารมณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ดูใจก็สงบดีอยู่ ก็เดินจงกรมต่อ เข้าใจว่า จบกันไปแค่นั้น ไม่ได้คิดว่าจะมีผลอะไรสืบเนื่องต่อไป
ขณะนั้น หลวงตาท่านน้ำตาลในเลือดต่ำ ทุกเช้าโยมอุปัฏฐากจะนำไอศกรีม 1 ถ้วย ใส่กระติกน้ำแข็งมาถวายให้ท่านฉันก่อนให้พร ไม่อย่างนั้นบางทีขณะที่ท่านกำลังให้พรอยู่ เสียงก็เบาหายไป เพราะท่านเป็นลม
ท่านก็เมตตาฉันให้ด้วยอนุโลมว่า ยังเป็นการฉันในอาสนะเดียว ฉันไอศกรีม แล้วให้พร แล้วถึงฉันจังหันติดต่อกันไปเมื่อวันก่อนที่ดิฉันเดินจงกลมแล้วคิดอยากไอศกรีม วันถัดมาในชามข้าวก็มีไอศกรีมส่งลงมา เห็นชัดว่า หลวงตาตักฉันไปครึ่งหนึ่งแล้วจิตอันซุกซนเหมือนลูกลิงของดิฉันที่ปรารถนาไอศกรีมด้วยรู้ไม่จริง หลงคิดว่าไม่ได้มีเจตนา เป็นเพียงแต่ความคิดปรุงที่บังคับไม่ได้ ไม่มุ่งหวังผลอะไรทั้งนั้น ความจริงเป็นมโนกรรมเมื่อเป็นกรรมคือการกระทำ ก็ต้องงอกงามเกิดเป็นผลขึ้น จะอย่างไรก็ตาม ก็ไปบันดาลให้ไอศกรีมของหลวงตาครึ่งถ้วย ปาฏิหาริย์ลงมาอยู่ในถาดข้าวของดิฉัน
พอตัวเองเห็นถ้วยไอศกรีม ก็เกิดความรู้ซึ้งขึ้นในใจว่า ที่เราต้องสำรวมระวังความนึกคิดคืออย่างนี้เอง เพราะเราไม่มีญาณหยั่งรู้ว่า ที่นึกคิดไปเรื่อย ๆ โดยไม่เจตนานั้น จะไปกระทบกระเทือน รบกวน เบียดเบียน ท่านผู้ใดเข้าบ้างความคิดทุกอันเมื่อหล่นออกไปจากใจแล้ว อุปมาเหมือนก้อนหิน แม้จะเล็กเท่าละอองเม็ดทรายหรือเม็ดกรวดก็ตาม เมื่อหย่อนลงน้ำ ย่อมก่อระลอกให้กระเพื่อมออกไป ความสั่นสะเทือนของคลื่นความนึกคิดก็เช่นเดียวกันกับระลอกน้ำ เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็ไปเบียดเบียนท่านทั้งที่ไม่เจตนา เพราะเมตตาดุจห้วยมหรรณพของท่าน ทำให้ท่านไม่ทอดธุระสงเคราะห์กรรมที่ไม่เจตนานั้นให้สัมฤทธิผลดิฉันเข้าใจต่อไปถึงว่า ทำไมคนโบราณถึงย้ำสอนให้สำรวมระวัง สะดุ้งกลัว ละอายต่อความผิดความชั่ว เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้น น่ากลัว จะไม่ดี อย่าไปคิดกลบเกลื่อนว่า ช่างมันเถอะ จิตของเราจะกระด้าง จิตของเราจะเสื่อมคุณภาพ
จิตนี้โดยธาตุเดิมแท้เป็นของมีคุณค่ามหาศาลยิ่งกว่าเพชรเสียอีก มีความละเอียดอ่อน สุขุม ประณีต รู้ตามเป็นจริง เป็นพุทธะอยู่แล้ว แต่เราปล่อยให้ของปลอม ของเก๊ ของสกปรก ของเศร้าหมอง มาเคลือบแฝงเสียจนกระทั่งจิตใจเราด้าน เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นกิเลสเป็นของดีงาม แล้วเราก็ไปปกป้องทะนุถนอมเอาไว้ใครประท้วงว่า "คุณ…อ้ายสิ่งนี้ อย่าไปทำนะ"โกรธเขา เพราะเราหลงเห็นของปลอมเป็นใจของเรา รู้อย่างนี้แล้วเราจะได้เข้าใจว่า การที่คนโบราณท่านสอนให้เรามีความละเอียดตัวเอง มีความสะดุ้งกลัวบาป กลัวความผิดชั่ว ซื่อสัตย์ต่อตัวเองทั้งในที่ลับที่แจ้ง ไม่กระทำสิ่งที่เราเองรู้สึกตะขิงตะขวง ไม่สบายใจ เหล่านี้คือพื้นฐานของใจที่เหมาะจะเป็นภาชนะรองรับธรรม ธรรมไม่ใช่ว่าต้องมาปฏิบัติอยู่ที่วัดจึงจะทำได้ จึงสามารถปลดเปลื้องความหลงออกจากใจได้การปฏิบัติธรรม ต้องพากเพียรเพ่งให้มีสัมมาสติอยู่กับใจทุกเวลานาทีที่ล้มตาตื่นอยู่ และต้องฝึกให้เคยชินจนเกิดเป็นอุปนิสัย เป็นอัตโนมัติ มิฉะนั้นเมื่อมีเวลาว่าง ไปวัดเพื่อปฏิบัติอุปนิสัยไม่ดี ๆ ที่เราประพฤติอยู่จนเคยชิน ก็มาเป็นแรงขับเคลื่อนพาเราโลดเต้นไป แล้วก็ปีติยินดี หลงเข้าใจว่า นี่คือความเพียร ในการปฏิบัติธรรม ทำให้เราเพียรผิดทางเป็นต้นว่า เราไปทำบุญ หยิบปัจจัยขึ้นมาอธิษฐาน "เจ้าประคู้ณ ขอให้บุญกุศลนี้พาเราให้ได้ไปสวรรค์ ไปนิพพาน" หรือไม่อย่างนั้นก็"ขอให้เราได้ร่ำรวย …ขอให้ลูกเราได้งานทำเป็นฝั่งเป็นฝา … ฯลฯ"
เจตนาซึ่งเป็นตัวชักจูงการกระทำ เป็นโลภะ ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายอกุศล ตกลงเราก็ปฏิบัติอกุศลธรรมด้วยความหลงผิด ผลที่จะได้รับย่อมเป็นอกุศล เพราะเกิดมาแต่ความหลง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เลยเป็นธรรมปฏิรูป เก๊หมดตลอดสาย
แล้วเราก็พร่ำบ่น … ทำบุญก็ไม่เห็นได้ผล ใจก็หงุดหงิด กระสับกระส่ายอยู่อย่างเดิม ยิ่งแก่ตัวลง ก็ยิ่งกังวลเพิ่มขึ้น ลูกเต้าแยกไปมีครอบครัวของเขา เริ่มต้นก็มาเยี่ยมอาทิตย์ละครั้ง ต่อไปเดือนละครั้ง ครั้นเขามีลูก กลายเป็น 3 เดือนครั้ง … แล้วนี่เราจะอยู่ยังไง เกิดเจ็บไข้ไปใครจะมาดูแล… ใจมีแต่นิวรณ์ มีแต่ความรักตัวเอง ห่วงตัวเอง หวงตัวเอง ทุกข์ไปหมดเมื่อเป็นอย่างนี้ เราจึงต้องรีบฝึกเสียงตั้งแต่บัดนี้ ยิ่งเริ่มฝึกเร็วเท่าไร นิสัยของเราก็เปลี่ยนเป็นความถูกต้อง เบาบางจากความหลงไปโดยลำดับเร็วเท่านั้น ครั้นมีวาระโอกาสได้ไปปฏิบัติ เราจะได้ปฏิบัติตรงทาง เพราะเป็นการปฏิบัติด้วยสติ ด้วยปัญญา เมื่อเป็นอย่างนี้ ทุกเวลานาที ไม่ว่าเราอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม เรามีโอกาสถากถางความหลงออกไปจากใจได้ทั้งนั้น ด้วยการกำหนดสติไว้กับใจ อยู่ในอิริยาบถไหน ทำอะไร ๆ เราก็กำหนดสติไว้กับกายกับใจได้ทั้งนั้นเมื่อไหร่ที่ใจของเรามีสติระลึกรู้ โอกาสที่เราจะเห็นตามจริง โอกาสปลดคอนแทคเลนส์สีดำ สีเทา สีแดง สีเขียว ออกก็ง่ายขึ้น เพราะใจเราตามระลึกรู้ คอยถามหาเหตุผลว่า ที่จะกระทำนี้ มีผลให้เราสบายหรือจะพาให้เราเดือดร้อน สมควรหรือไม่สมควร ใจจะรู้เหตุรู้ผล รู้ตัวของตัว รู้ประมาณ รู้กาลเทศะ รู้ชุมชน รู้บุคคล ที่เราไปเกี่ยวข้อง ความรู้เหล่านี้จะตามมาช่วยให้อะไร ๆ ที่เราตัดสินใจกระทำลงไป ถึงไม่ถูกที่สุด แต่ก็เที่ยงตรงขึ้น คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น อย่าไปนึกว่า ฉันตั้งใจดีแล้ว ทำไมยังมีที่ผิดอีกครั้งหนึ่งมีคนไปกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า เขาไม่กลับไปวัดของท่าน เพราะยังเป็นคนไม่ดี ถ้าเมื่อไรเขาดีแล้ว ถึงจะกล้าไปกราบท่านอาจารย์ และไปปฏิบัติที่วัดท่านอาจารย์ตอบว่า ‘ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนผงซักฟอก ถ้าใจของเราดีแล้ว สะอาดแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมาวัดหรอก เพราะใครจะบ้าเอาผงซักฟอกไปซักผ้าสะอาด เขาต้องซักขณะผ้ายังสกปรกสิ’เพราะฉะนั้น เมื่อไรที่เราปฏิบัติไปแล้ว พบว่าสิ่งที่ทำไปเมื่อวานนี้น่าจะดีได้กว่านี้ แสดงว่าสติของเราเริ่มเจริญขึ้นแล้ว เราจึงเห็น รู้เท่าทันสิ่งที่กระทำลงไปว่า ยังมีอิทธิพลของความหลงปิดบังอยู่ เมื่อเราหลงน้อยลง เราก็เห็นที่เมื่อวานเราว่าดีนั้น ความจริงยังมีที่ที่เราน่าจะทำให้ดีขึ้นอีกได้ การปฏิบัติของเราจึงจะเจริญงอกงามขึ้น ขณะเดียวกัน ความหลงก็ลดน้อยลงโดยลำดับ จัดเป็นการดำเนินมรรคเมื่อทราบอย่างนี้ กายของเราก็ทำภาระหน้าที่ไป จิตใจของเราก็ไม่เหน็ดเหนื่อย เพราะแต่ก่อนเราทำไปด้วยความหลง คิดน้อยเนื้อต่ำใจว่า เพราะเราโง่เซ่อรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถึงทำตัวเองให้มาตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ กัดฟันนับวันคอยว่า เมื่อไหร่จะจบ ๆ ไปเสียที ครั้นรู้ เข้าใจ อย่างนี้แล้ว ในเมื่อเราได้ปลูกมะม่วง รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแล้ว หน้าที่ออกลูกออกผลเป็นหน้าที่ของเรา หรือเป็นหน้าที่ของมะม่วง เมื่อเราได้กระทำแต่กุศลกรรมลงไปแล้ว ทำไปด้วยความรู้สติ ด้วยปัญญาเห็นชอบ ด้วยเหตุผลสมควรแล้ว หน้าที่ของเราก็เพียงแต่คอย เมื่อถึงวาระที่กรรมเหล่านั้นจะผลิดอกออกผลให้เราได้รับ มันก็งอกของมันเอง
เราไม่สงสัย ไม่ไปหงุดหงิด เร่งวันเร่งคืน แล้วทำร้ายตัวเองด้วยการกังวล หวั่นระแวง สงสัยว่า…น่ากลัวใครมาขโมยของเราไปแล้ว น่ากลัวต้นที่งอกขึ้นมาคงจะไม่รอด ความคิดที่เป็นนิวรณ์เหล่านี้ทำร้ายใจเราเปล่า ๆ
ให้เราจดจ่อใจให้สติงอกงามตั้งมั่นยิ่งขึ้น เมื่อเห็นผลขึ้นในใจ เราจะได้ปีติอิ่มเอิบ ถ้าใจของเราเป็นอย่างนี้อยู่ เวลาสวดมนต์ ก็จะสงบจดจ่ออยู่กับบทสวด หรือมานั่งสมาธิ ก็สงบลงรวมง่าย เพราะวันทั้งวัน ใจของเราอยู่กับเหตุกับผล ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ไปฟุ้งซ่านเป็นนิวรณ์ ก็เท่ากับเราปฏิบัติอยู่โดยธรรมชาติตลอดเวลา ไม่ต้องไปคอยว่า เมื่อไรจะถึงเวลาได้นั่งสมาธิ
การที่เรายังหาเวลานั่งสมาธิ เดินจงกรม เป็นกิจวัตร ก็เพื่อย้ำให้ใจได้สัมผัสผลละเอียดแจ่มชัดขึ้น เหมือนกับเราจะลากเส้นตรงเป็นบรรทัด แต่ไม่มีเวลาได้ลงนั่งลากต่อเนื่องกัน เรากำลังจะลงมือลาก พอจรดดินสอลงไป ลากได้นิดหนึ่ง พอเป็นจุดเป็นขีด คนมาตามไปทำโน่นทำนี่ เราก็ต้องเปลี่ยนไปจดจ่อทำอย่างนั้น ประเดี๋ยวกลับมาจุดต่อได้อีกจุด สองจุด ก็มีเรื่องอื่นอีก ทำให้เส้นของเราขาดเป็นห้วง ๆ ใจจึงไม่เคยได้รับความปีติอิ่มเอิบ สงบผาสุกจากรสของสมาธิ หรือเกิดปัญญาเห็นเหตุผล แก้ปัญหาที่ค้างคาอยู่ในใจได้ทะลุปรุงโปร่ง จนใจเบาสบาย อย่างคุณคนงานคนนั้นที่ดิฉันเล่าให้ฟัง เพราะถ้าเขาทำทีละนิดทีละหน่อย ไม่ได้ลงนั่งสมาธิ เขาก็จะไม่ได้ความสงบเต็มอิ่มอย่างเช้าวันนั้นการที่เราหาเวลาปฏิบัติทุกวัน ๆ ก่อนนอนหรือตื่นนอนเช้าก็เพื่อเมตตาตัวเองให้จิตใจได้อาหาร เป็นความสดชื่นอิ่มเอิบร่มเย็น เกิดเป็นปีติสุข หล่อเลี้ยงใจให้ศรัทธาต่อการปฏิบัติ ยิ่งฝังลึกแน่นแฟ้นเข้าไปเพื่อนเขาแอบหัวเราะเยาะว่า หยุดพักกลางวันแทนที่จะไปเดินเที่ยว หรือมาพูดคุยเรื่องโลกสรวลเสเฮฮากัน เรามัวแต่ไปนั่งพุทโธ อรหังสัมมา ยุบหนอพองหนอ นี่มันจะบ้าอะไรกัน เราก็ไม่หวั่นไหว เพราะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า รสที่เราได้สัมภาษณ์กับใจ แม้จะเป็นสิ่งที่เราเอาไปเฉลี่ยแบ่งปันให้กับใครก็ไม่ได้ แต่เรารู้ของเรา เราปีติอิ่มเอิบใจของเราใจที่แต่ก่อนเคยแห้งเกราะเหมือนฝุ่นดินด้วยความทุกข์ ความลังเลสงสัย ความน้อยเนื้อต่ำใจ เริ่มชุ่มฉ่ำกลายเป็นดินเหนียวที่เราพอจะจับมาปั้นตกแต่งด้วยสติ ให้เป็นใจที่ไม่รั่ว กักกั้นสะสมความแน่วนิ่งจนเกิดเป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นได้สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และสัมมาทิฐิที่เกิดขึ้นนี้ จะช่วยรักษาจิตใจของเราให้ค่อยตื่น คลี่คลายจากความหลงผิด รู้ไม่รู้ รู้ไม่จริงเพราะฉะนั้น จุดมุ่งหมายของการที่เรามาสัมมนากันครั้งนี้ ก็เพื่อจะรู้จักและเขี่ยความหลงออกไปจากชีวิตจิตใจของเรา ผลพลอยได้ หรือผลที่ได้รับขั้นแรกทันตาเห็นคือใจ ใจที่มีความสงบ มีสุขภาพจิตแข็งแรง สังเกตดูระหว่างที่เรามาพักกันอยู่ที่นี่ เราจะเห็นว่าใจของเราสงบกว่าอยู่ที่ทำงาน เพราะสถานที่ช่วยทำให้เราวางความกังวลอะไรต่อมิอะไรที่เคยก่อกวนใจเรานิด ๆ หน่อย ๆ ไปได้
เราถือว่าเรามาได้ เพราะได้รับอนุญาตแล้ว เราไม่รู้สึกตัวเองมีความผิด หรือหลบเลี่ยงภาระหน้าที่มา เมื่อกลับไปแล้วให้ประคองใจที่รู้จักวางอย่างนี้กลับไปด้วย เวลาจะนั่งหรือเดินเพื่อปฏิบัติใจ ให้น้อมเอาความรู้สึกนี้ ซึ่งเป็นเหมือนไอเย็นจากตู้น้ำแข็งมาหล่อเลี้ยงใจ ให้เกดความเอิบอิ่มอยู่ภายใน ความสงบจะเกิดได้ง่ายขึ้น
เมื่อไหร่ใจเรากำลังร้อนขึ้นมา เพราะมีเหตุที่คาดไม่ถึงมากระทบ เราก็กำหนดสติมาไว้กับใจ น้อมอารมณ์อันนี้ความรู้สึกอันนี้ ซึ่งเป็นบุญนิธิฝังอยู่ในใจเราขึ้นมา พอนึกเพ่งน้อมเอาขึ้นมา ก็เหมือนอย่างกับความรู้สึกสงบเบานี้มาห้อมล้อมใจเราไว้ เราก็มีหลักพักพิงของใจ มีหลุมหลบภัย
ถ้าจะเกิดอะไรที่เราพลาดพลั้ง เราก็พึ่งตัวเราได้ โดยกำหนดสติให้แน่วแน่ แล้วใจของเราก็จะรวม มีสมาธิเป็นฐานให้เรามองปัญหานั้นว่า จะเอาเหตุเอาผลอันไหนไปแก้ไขความหลง ความตื่นเงาของใจตัวเองก็ค่อยหมดไป
แต่ถ้าสติมาไม่ทัน พออะไรมากระทบปุ๊บ เปรียบเหมือนพายุทรายพัดมาเข้าตาเรา ทำให้มองอะไรไม่เห็น แทนที่จะหยุดเพื่อเช็ดตาให้แลเห็นหนทางเสียก่อน ความตื่นกลัวพัดใจเราปลิวไปจากสติสัมปชัญญะ ทุกอย่างเลยออกมาตามอัตโนมัติของสัญชาตญาณ อะไรที่เคยทำเมื่อเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ตื่นกลัว หรือโกรธ ก็จะมาครอบครองเป็นเจ้าของใจเรา พาเตลิดเข้ารกเข้าพง ไม่รู้ทิศ ไม่เห็นหนทาง จนกลิ้งล้มแข้งขาหัก
เหมือนอย่างที่ดิฉันเคยเปรียบเทียบ เวลาเรามีความหลง ยึดผิดอยู่ในใจ เรากลัวงู เดินไปเห็นกองเชือกในพงหญ้าเข้า ก็สำคัญผิดว่าเป็นงู ไม่ได้ตั้งสติพิจารณาให้รอบคอบ ให้แน่ใจ พรวดพราดตื่นเงาของความหลงผิดในใจ ออกวิ่งไปสะดุดขาตัวเองล้มลง กระดูกสะโพกหัก หลังจากสะโพกหักแล้ว ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์เข้ามาช่วยเหลือสำรวจดูจนรู้ชัด ก็บอกว่า "ผมไปดูแล้ว ไม่ใช่งูหรอก กองเชือกเก่า ๆ น่ะ"เราจะไปตบสะโพกแล้วบอกว่า "ติดกันอย่างเดิมเถอะนะ เชือกน่ะ ไม่ใช่งูสักหน่อย" กระดูกที่หักไปแล้วก็ย่อมไม่รับรู้ด้วย คงหักอยู่อย่างนั้นอะไรก็ตามที่เราวู่วามกระทำตามความหลงผิดไปแล้ว เกิดเป็นวิบากขึ้น วิบากนั้นเป็นของจริง เราต้องรับผิดชอบชดใช้ถ้าปล่อยให้ความหลงคือเงาในใจหลอกเรา เป็นต้นว่า เชือก ก็สำคัญว่า งู ชีวิตเราก็ขาดทุนล้มละลาย เพราะถ้าเหตุมีจริง สมควรที่เราจะไปเป็นหนี้ ก็น่าที่เราจะยอมทนเหนื่อย นี่ปรากฏว่าเหตุไม่มีเลย แต่ใจของเราเป็นกระต่ายตื่นตูม ดูสิ เชือกแท้ ๆ เราก็พาตัวเองเตลิดไปจนสะโพกหัก ต้องนอนใส่เฝือกเสีย 2 เดือน ดีไม่ดี ใส่เฝือกแล้วไม่ติด ต้องผ่าตัด ดามเหล็ก หมดเวลา หมดเงิน หมดอะไรต่อมิอะไรไปไม่รู้เท่าไหร่
ถ้าเกิดโชคไม่ดี กระดูกเราผุกร่อน ดามเหล็กใส่เฝือกแล้วก็ไม่ยอมติด เลยกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต วิบากที่เกิดขึ้น แล้วส่งผลสืบต่อ ๆ ไปนั้น เรารู้ไม่ได้ว่าจะมีพิษภัยร้ายแรงเพียงใดรอคอยเราอยู่บ้าง เพื่อความไม่ประมาท ความไม่หลง เอาสติเป็นกำแพง เป็นเขื่อนกั้นใจของเรา เอาไว้ให้ปลอดภัยดีกว่า ใจเราจะได้อยู่บนมรรคตลอดเวลา
พิมพ์โดย   ปภัสสร  มีพงษ์
แหล่งที่มา   http://web.krisdika.go.th/buddha/22_toBeAstray.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top