หลักใจสำหรับผู้ป่วยสิ้นหวัง
บรรยายโดย พญ.อมรา มลิลา
เมื่อ วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2528
ณ ห้องประชุมจงจินต์ ชมรมพุทธธรรม รพ.รามาธิบดี
หมวด
อันดับที่
ท่านอาจารย์และท่านผู้สนใจหลายท่านอาจนึกว่า เรื่องที่เราจะพูดกันวันนี้ห่างไกลตัวมาก แต่จากความจริงที่ประจักษ์ ความเจ็บและความตายเป็นสิ่งที่กำหนดกันไม่ได้ บางท่านกำลังแข็งแรง หนุ่มฉกรรจ์ ขับรถไปประสบอุบัติเหตุ กลายเป็นผู้พิการ ช่วยตัวเองไม่ได้ บางท่านเกิดเป็นมะเร็งในวัยที่ไม่คาดคิด แม้จะรักษาอย่างไร ๆ มะเร็งก็ลุกลาม ไม่หยุดยั้ง จนถึงแก่ความตายในที่สุดจากการได้เห็นอย่างนี้ ทำให้คิดว่า ทำอย่างไรจึงจะเตรียมชีวิตของเรา หรือในช่วงที่เริ่มรู้ว่าเราเข้าที่คับขัน เวลาที่เหลืออยู่อย่างจำกัดนั้น จะใช้ให้เป็นสาระประโยชน์อย่างที่สุดอย่างไรบ้างประการแรก ทุกคนพอเจ็บป่วย จะมีความหวาดกลัว ต้องการให้หมอบอกว่า เราเป็นอะไร จะตายหรือจะหาย ซึ่งหมอคนไหนคนไหนก็บอกไม่ได้ทั้งนั้น และถ้าคนไข้เอาใจไปมัวครุ่นคิดแต่ว่าจะหายหรือจะตาย เลยไม่มีจิตใจเหลืออยู่เพื่อทำชีวิตที่เป็นอยู่ให้สงบสุขได้
ทำอย่างไรหมอหรือผู้ใกล้ชิดจึงจะเบนความสนใจของคนไข้ออกจากตรงนั้นได้จากกรรมวิธีที่ตัวเองใช้และได้ผลก็คือ เริ่มต้นคุยกับคนไข้ก่อน ปูทางให้เห็นว่าทุกคนต้องตายทั้งนั้น ถึงไม่เจ็บก็อาจนอนหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็ได้ หรือคุณลุงดิฉันท่านเป็นมะเร็งที่ตับ คุณหมอตรวจแล้วบอกลูกหลานว่า ถ้าดูแลดี ๆ ก็อาจอยู่ไปได้อีกสักปีหรือสองปี แต่ถ้ามีอะไรแทรกซ้อนหรือกระทบกระเทือนใจก็อาจเร็วกว่านั้น ลูกหลานก็ทำใจไม่ได้ มัวเกี่ยงงอนกันว่าเวลาสั้นเกินไป แต่ความเป็นจริงคุณลุงเจ็บไปได้ยังไม่ถึงสองเดือน ท่านเกิดเป็นปอดบวมและตายด้วยโรคปอดบวม ดิฉันก็เล่าเรื่องนี้ให้คนไข้หลายคนฟัง จะอยากรู้ไปทำไมว่าการเจ็บป่วยครั้งนี้มันเจ็บป่วยด้วยอะไรกันแน่ เพราะเห็นไหม ทั้งที่ลุงดิฉันเป็นมะเร็ง กลับตายปุบปับด้วยปอดบวม หรือตัวดิฉันมาเยี่ยมคุณอยู่นี่ พอลากลับออกไปอาจถูกรถชนตาย แต่ตัวคุณซึ่งกังวลว่าจะตาย กลับยังมีชีวิตอยู่ก็ได้เรื่องทำนองนี้ ที่จะทำให้เขายอมรับความจริงว่า การตายไม่จำเป็นต้องเจ็บเสียก่อนถึงจะตาย แข็งแรงอยู่อย่างนี้อาจมีเหตุปัจจุบันอะไรมาทำให้ตายก็ได้ ให้ใจของเขาคลายกังวล ยอมรับว่าความตายเป็นเรื่องสามัญท่านอาจารย์สิงห์ทองเคยบอกว่า คนเราทุกคนพอคลอดจากท้องแม่ ร้องแว้แรก ก็เอาป้ายตัดสินประหารชีวิตห้อยคอมาด้วยแล้ว มีอะไรบ้างที่มีชีวิตในโลกนี้เกิดมาแล้วไม่ตาย เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ มันก็เหมือนกับว่า พวกเราทุกคน พอหายใจเฮือกแรก ก็รับป้ายตัดสินประหารชีวิตแขวนคอมาพร้อมแต่เขาจะเอาไปเข้าหลักประหารเมื่อไหร่เรารู้ไม่ได้ แล้วเราจะเดือดร้อนไปทำไมเมื่อคนไข้ยอมรับสัจธรรมข้อนี้แล้ว ท่านอาจารย์สอนให้รู้ไว้ว่า ความเจ็บป่วยเป็นโชค เพราะทำให้เรามีโอกาสได้ลงสนามซ้อม เพื่อเตรียมตัว ถ้ายิ่งเราได้เจ็บป่วยหลายครั้ง เจ็บแล้วหาย เจ็บแล้วหาย ยิ่งดี ได้ซ้อมจนช่ำชอง เพราะบางคนไม่มีโอกาสได้ซ้อม พอเจ็บครั้งแรกก็ตายเลย อย่างนั้นอาจเสียท่า ปรับตัวไม่ทัน แต่เราโชคดี ได้เจ็บและได้ซ้อม เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปห่วงว่า เจ็บนี่น่ะ มันจะหาย มันจะตาย มันจะเป็นอย่างไร อย่าไปสนใจ ความเจ็บเป็นเพียงแบบฝึกหัด ให้เราดูใจเราว่าพร้อมที่จะลงสนามรบครั้งสุดท้ายหรือยัง เราจะได้เก็บข้อมูลว่าตรงไหนที่ยังบกพร่อง คราวหน้าจะได้วางแผนให้รัดกุมกว่านี้
สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหามาก คือ เวทนา ความเจ็บปวด ถ้าคนไข้เป็นมะเร็ง ความเจ็บปวดจะเป็นเรื่องใหญ่ ที่คนไข้ประท้วงว่า มันดูใจไม่ไหวเพราะเห็นแต่ปวดท่าเดียว เราก็ปลอบว่า ตรงนี้แหละสำคัญที่สุด ถ้าเราไปยึดว่าความปวดเป็นตัวเราแล้วละก็ ใจจะจมมิดอยู่ในความปวดจนไม่มีทางช่วยตัวเองได้ เพราะ เวลาที่ใจจะเปลี่ยนภพ มันก็เหมือนเรากำลังออกเดินทาง ถ้าเราออกเดินทางเวลาโพล้เพล้ จะสว่างก็ไม่สว่าง จะมืดก็ไม่มืด มองอะไรก็ไม่ถนัด ยิ่งใจของเราตื่นกลัวหวาดหวั่น มันก็เหมือนฝนตั้งเค้าทะมึน มีลมพายุ ดีไม่ดีมีทั้งฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และฝนกระหนำลงมาจนเราเปียกปอน ลื่นล้มลงไปในหลุม ในร่องที่มองไม่เห็น แข้งขาหัก เดินต่อไปไม่ได้
เมื่อจะเดินทาง อย่างน้อยที่สุด ต้องมีไฟฉายคือสติปัญญาอยู่กับใจ ให้เราเห็นหนทาง ถ้าเตรียมสติปัญญาของเราพรักพร้อม ก็เหมือนเราออกเดินทางเวลาที่ท้องฟ้าแจ่มใส มองเห็นทางชัดเจน ถ้ามีเสบียงกรังมากกว่านั้น ก็เหมือนกับว่าเราไปพบถนนราบเรียบ ไม่อยากนั้นหนทางอาจขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ หรือหลงเข้าไปในป่าดงพงพีแล้วหาทางออกไม่ถูก
อะไรเล่าที่จะเป็นเสบียงกรังเหล่านี้
การอบรมใจ หรือที่เรียกว่าภาวนา ถ้าเราตั้งสติให้อยู่กับใจไม่ได้ ต่อให้มีมีด มีพร้า มีครบหมดทุกอันในเป้หลัง พอถึงเวลาจะใช้ หยิบไม่ทัน หาไม่ได้ แบกไปหนักเปล่า ๆ ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น หลายท่านที่เคยปฏิบัติ เคยรู้ธรรมข้อนั้น ข้อนี้ ข้อโน้น แต่เวลาจวนตัว ชักออกมาใช้ไม่ทัน คนบางคนรู้หมด ความโกรธไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ ต้องแก้ด้วยเมตตา พูดได้ทุกอย่าง แต่เวลาตัวเองโกรธเข้าจริง ๆ เปรี้ยงออกไปแล้ว ถ้ามีปืนอยู่ตรงนั้นก็ยิงไปเลย
นี่ก็เหมือนกัน เรารู้ว่าความเจ็บปวดต้องกำหนดแยกจากกาย แต่พอเจ็บปวดเข้าจริง ๆ สติตั้งไม่ได้ มันก็แยกความเจ็บปวดไม่ออก มันไม่เอาอะไรทั้งนั้น ใจไปคลุกอยู่แต่ตรงปวดนั่น เราก็ให้กำลังใจเขา ให้ลองซ้อมก่อน การจะซ้อมให้ได้ผล ก็ต้องเริ่มซ้อมตั้งแต่ยังไม่เจ็บปวด หรือเจ็บปวดน้อย ๆ ก่อน! เพราะถึงเจ็บเป็นมะเร็ง หรือเป็นอะไรก็ตาม ทุกขเวทนาก็ไม่หนักต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา มันจะมีขณะที่รู้สึกสบาย พอทนได้แทรกเข้ามาตรงที่สบายนี่แหละ ให้เขาลองฝึกสติ นั่งไม่ได้ นอนก็ได้ โดยมุ่งกำหนดสติให้อยู่กับใจการกำหนดสติให้อยู่กับใจ สำหรับผู้ไม่เคยเป็นของยากว่าจะกำหนดอย่างไร ถ้าคนไข้กำลังให้น้ำเกลือ เราก็ให้เขามองกระเปาะที่น้ำเกลือหยดลงมา เปรียบกระเปาะเป็นเหมือนใจของเขา คำบริกรรม”พุท-โธ” ที่เอาสติไปกำหนดเป็นเหมือนหยดน้ำเกลือ เมื่อกำหนดคำบริกรรมแต่ละคำหยดลงไปในใจ มันจะเข้าไปชะล้างจิตใจที่กำลังทุกข์ หวั่นกังวลด้วยความเจ็บปวด ให้คลี่คลาย เบาบางลง ตั้งสติให้แน่วแน่ไว้ที่ตรงหยดน้ำเกลือก็ได้เมื่อน้ำเกลือหยดหนึ่งหยด กำหนด “พุธ” หยดถัดไป “โธ” กำหนด พุท-โธ พุท-โธ ต่อเนื่องกันอยู่ดังนี้ เมื่อสติมีที่หมายชัดแจ้ง ใจก็จดจ่ออยู่แต่กับหยดน้ำเกลือ ไม่แวบปลิวไปที่ไหนเสียถ้าไม่มีน้ำเกลือ เรากำหนดที่ตรงไหนก็ได้ เป็นต้นว่าให้เพ่งเข้าไปในตัวของเขาเอง สมมุติว่าตรงกึ่งกลางอกเป็นที่ซึ่งใจเขาอยู่ ก็เอาสติไปกำหนดไว้ที่ตรงนั้น หรือกำหนดไว้ที่กะบังลม ตรงที่เขาหายใจเข้าไปจนสุด และกำหนดพุท-โธ ตามจังหวะที่ลมหายใจเข้า หายใจออกกระทบ ถ้ากำหนดได้ เขาจะรู้สึกใจสบาย ความเจ็บปวดค่อยคลายไป
คนไข้หลายราย ขณะมีกำลังใจ จะเอายาแก้ปวดวางไว้ก่อน แล้วกำหนดสติ ทำสมาธิ บางครั้งทำแล้วไม่ต้องใช้ยาแก้ปวด ผลที่ประจักษ์กับตนเอง ทำให้มีกำลังใจขึ้นมาก ถ้าเขาทำอยู่สม่ำเสมอ จนกระทั่งใจสงบลงรวมเป้นสมาธิ บางคนลงรวมจนรู้สึกร่างกายเบาหายไปหมด เหลือแต่ตัว “รู้” เฉย ๆ โปร่งโล่ง
ถ้าได้สัมผัสจุดนี้ เราก็อธิบายให้เขาเห็นว่านี่อย่างไร ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ากายของเราเป็นสมมติ ประกอบขึ้นจากธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งมีธรรมชาติแปรปรวน เปลี่ยนแปลง เหมือนสิ่งทั้งหลายในโลกที่เราเห็น เช่น อาคารบ้านเรือนก็เก่า แตกร้าว พังไป ต้นไม้ เมื่อถึงวาระก็ยืนต้นตาย สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ไม่ว่าพืช สัตว์ หรือ คน ที่เราเห็น รวมทั้งปู่ ย่า ตา ยาย ก็แก่ ก็ตายไปทั้งสิ้น
ก้อนร่างกายของเราก็เช่นกัน วันหนึ่งก็จะแปรปรวนไปอย่างนั้น แต่ใจซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นพลัง อมตธาตุ ไม่ได้ตายตามไปด้วย ภาวะสมาธิทำให้ประจักษ์กับใจของเขาเองแล้วว่า ธาตุรู้ และ ดิน น้ำ ลม ไ ฟ เป็นคนละส่วน คนละอันกัน ธาตุรู้ที่เป็นอมตธาตุ ไม่ตาย คง”รู้”อยู่ เช่นที่เขาเป็นขณะจิตรวม เมื่อเห็นชัดอย่างนี้ เขาก็เกิดความเชื่อ แน่ใจ มั่นใจว่า เวลาเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ กายกับใจแยกกันอย่างนี้เอง ถ้ามีสติกระชับอยู่กับใจแต่ถ้าตั้งสติไม่ดี อุปาทาน ความยึดมั่นถือรั้นผิด ๆ จะเป็นกาววิเศษ ที่ผนึกธาตุรู้ซึ่งเป็นใจ เข้าไว้กับกายซึ่งมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็ชักเย่อกัน ขลุกขลักทุลักทุเล ยิ่งมีเวทนาเข้าไปผสมโรงด้วย ทำให้ยิ่งแยกไม่ออก แล้วยังทุรนทุรายอีกด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้น หนทางก็มืดมิด ถนนที่ใครชี้บอกว่ามีอยู่ก็มองไม่เห็น ดิ้นรนจนตกลงไปในปลักโคลนตม ดีไม่ดีแข้งขาหัก เดินต่อไปไม่ได้เพราะเหตุอย่างนี้แหละ เราจึงต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อมที่จะลงสนามรบได้ทุกขณะ ถ้ามีหลักใจ เชื่อมั่นว่าใจไม่ได้ติด เกี่ยวพันกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่แปรปรวน เปรียบเหมือนเรานั่งอยู่ในบ้านที่ปลวกขึ้น จนจะพังมิพังแหล่ แต่ตัวเราไม่ได้ถูกปลวกกัดกิน ไม่ชำรุดทรุดโทรมไปด้วย เมื่อเห็นว่าบ้านอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว พังแน่ ๆ เราก็เดินออกประตู ทิ้งบ้านไป
ตัวเราก็เหมือนกัน ถ้าเห็นว่าก้อนดิน น้ำ ลม ไฟ อันนี้แปรปรวนเกินการเยียวยาแก้ไขแล้ว กลายเป็นภาระอันหนักแม้กระทั่งจะหายใจเข้าทีหนึ่ง ออกทีหนึ่ง ก็เหน็ดเหนื่อยเสียจนกระทั่งไม่มีแรงจะหายใจแล้ว เราก็ปล่อยให้เป็นไปตามสภาพของมัน จดจ่อดูธาตุรู้ เอาสติกุมมันไว้ให้ดี แยกไว้ต่างอันต่างไปถ้าหลักอันนี้แน่วแน่น มั่นคง เวลาที่จะไป เวลาวิกฤตใจจะไม่ทุรนทุราย มีสติอยู่รักษาใจ เมื่อตั้งสติได้อย่างนี้ ใจที่มีสติรักษา มีปัญญาแนะสอน ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน เพราะสิ่งไรก็ตามที่เรามีสะสมอยู่ บุญหรือบาป จะเป็นเสบียงกรังนำเราไปสู่ถิ่นที่เหมาะที่ควร
ปัญหาที่หลายคนชอบถาม คือ มีผู้เฒ่าผู้แก่สอนว่าเวลาจะตายให้คนมาบอกทาง ให้เรานึกถึงแต่คุณงามความดี นึกถึงแต่บุญกุศล นั่นคือการพูดตามทฤษฎี ใครก็พูดได้ แต่ใจของคนเราเป็นของสลับซับซ้อน แปลกประหลาดมหัศจรรย์ทั้ง ๆ ที่พระมาสวดพุทธมนต์เต็มห้อง หรือคนที่รักกุมมือเรา ให้กำลังใจอยู่ สัญญาความจำเก่า ๆ ก็ยังแซงเข้ามาในมโนทวารทำให้ไปนึกถึงเรื่องที่ตัวเองซ่อนเร้น ปกปิด พยายามลืม แล้วความคิดนั้นก็เข้ามาจับใจของเราเอาไว้ เหนี่ยวนำให้ไปยึดติดอยู่ในโลกของความนึกคิด จนไม่รับรู้ความจริงเพราะฉะนั้น ทฤษฎีก็มีได้ พูดไปต่าง ๆ นานา แต่ถ้าไม่ฝึกซ้อม ไม่หัดช่วยตัวเองเอาไว้ ถ้าอารมณ์อะไรพัดเข้ามาในใจ ทำอย่างไรเราจะดับมัน ทำอย่างไรเราจะไม่ปล่อยใจให้ติดตามไปเสวยอารมณ์นั้น จนหาทางออกไม่ได้
ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังถึงแม่ชีท่านหนึ่ง บวชตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อบวชแล้วก็ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติอย่างดี จนใคร ๆ คาดเดาว่า เมื่อท่านตายไปคงไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว จิตของท่านคงยกภพภูมิ ไปเป็นเทวดาหรือพรหม
เมื่อท่านเข้าวัยชรา วันหนึ่ง ขณะเอาผ้านุ่งที่ซักเสร็จแล้วไปตากที่ราว เหลือบไปเห็นแมลงเล็ก ๆ เปียกน้ำตายติดอยู่ที่ผ้า คนทั่วไปพบเหตุการณ์ทำนองนี้ก็คงขออโหสิกรรมว่าไม่ตั้งใจ แล้วแผ่เมตตาให้บุญกุศลที่ได้กระทำมาช่วยให้แมลงนั้นไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น และเป็นสุขเป็นสุขเถิด ก็เป็นอันแล้วกันไป
แต่แม่ชีหักใจจากแมลงตัวนี้ไม่ได้ มันมาเกาะอยู่ในอารมณ์ ทำให้ใจหมองอยู่ตลอดเวลา ประเดี๋ยว ประเดี๋ยวก็นึกถึงแต่แมลงตัวนี้ แล้วก็ท้อใจ เสียใจว่า ดูทีหรือ เราปฏิบัติมาแต่เด็ก จนกระทั่งบัดนี้ ศีลบริสุทธิ์ ระแวดระวัง ไม่เคยให้ด่างพร้อยเลย เจ้ากรรมอะไรทำให้แมลงตัวนี้เกาะติดผ้าแล้วเปียกน้ำจนตายไป จิตใจเศร้าหมอง ที่เคยภาวนาได้ก็ไม่สงบ เพราะมัวแต่นึกถึงแมลงตัวนั้นที่เป็นต้นเหตุให้ศีลด่างพร้อยครั้นถึงวาระที่เจ็บ จะตาย แทนที่จะกำหนดสติให้อยู่กับใจ “รู้” อยู่กับขณะปัจจุบัน ใจกลับเกิดความท้อ หม่นหมอง จนกระทั่งหมดลมไป เลยไปเกิดในอบายภูมิ พวกลูกศิษย์ที่นั่งฟังอยู่ ประท้วงว่า… โอย… ไม่ยุติธรรมเลย ถ้าอย่างนั้นเราจะทำความดีไปทำไม… ท่านอาจารย์ตอบว่านี่อย่างไร ที่พระพุทธองค์ทรงย้ำให้อยู่กับปัจจุบัน ให้ฝึกสติเพื่อรักษาใจ “รู้” อยู่กับปัจจุบัน แต่ละขณะ แต่ละขณะ อะไรที่ผ่านเป็นอดีตไปแล้ว เหมือนรอยที่เขียนไปในน้ำ เอากลับคืนมาไม่ได้ เขียนแล้ว น้ำไหลพัดไปก็ลบหายหมด ต้องรอจนเมื่อไรผลของมันเกิดให้เราประสบเป็นปัญหา เราจึงค่อยแก้ไขในขณะนั้น ขณะนั้น แต่จะไปครุ่นนึกถึงอดีตเพื่อหมุนเอากลับมาลบแก้ ไม่ได้ทำนองเดียวกับหว่านเมล็ดอะไรลงไปในดินแล้ว ไปขุดขึ้นมาก็ไม่เป็นเมล็ดเดิมแล้ว เพราะมันเปลี่ยนแปลง เริ่มผลิใบเลี้ยง แทงต้น เป็นอะไร ๆ ไปแล้ว การปล่อยใจให้ไปนึกติดอยู่กับอดีต ก็เป็นอันตรายอย่างนี้ หรือถ้ามัวแต่ไปนึกถึงอนาคต อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ไม่ลงมือหว่านไถ ไม่ทำปัจจุบันให้ดี ก็ไม่มีประโยชน์นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจของคนไข้คอยไปนึกถึงแต่อดีตหรือนึกถึงแต่อนาคตอยู่เรื่อย ๆ ยิ่งกังวลว่าเวลามีน้อย ไอ้โน่นก็อยากทำ ไอ้นี่ก็อยากทำ ไอ้นั่นก็อยากทำ ใจเลยร้อนรุ่มกระสับกระส่ายไปหมด ต้องคอยเตือนเขาเอาไว้ว่า กำหนดสติ อยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นตัวบ่งบอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรถ้าเราทำตรงนี้ดี ก็เหมือนกับว่าเอาเมล็ดพันธ์ที่ดีหว่านลงไป พองอกเป็นต้นใบขึ้นมา ย่อมให้ดอกผลดีสมใจ ถ้าไม่เตือนอยู่อย่างนี้ อัตโนมัติของกิเลส ดึงดูดใจมนุษย์ให้หยุดคิดไม่เป็น ยิ่งป่วยไข้ เป็นกังวล ก็ยิ่งคิดมาก ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน เพราะไม่คิดด้วยเหตุผล แต่คิดไปด้วยอารมณ์รัก อารมณ์ชังการคิดด้วยเหตุผล เหมือนกับไฟลุกไหม้อยู่ในถ่านหินมีลักษณะคุกรุ่น ไม่โชนออกมา คิดด้วยอารมณ์เปรียบเหมือนไฟไหม้ฟาง ลุกโพลงให้เรารู้สึกว่ามีประสิทธิภาพกว่า ยิ่งคับขัน ยิ่งกังวลเท่าไร สติก็หลวมไปจากใจเท่านั้น ความคิดเลยไหลไปตามอารมณ์ คิดห่วงลูก ห่วงงาน ห่วงล้วนสิ่งไม่เป็นสาระ ทำให้จิตใจหม่นหมอง คิดแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ คิดแล้วก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้น ตื่นกลัวต่อสภาพความจริงที่ตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกไปได้ดังใจอยาก อารมณ์ก็ยิ่งเตลิดอยากไปตรงนั้น ก็ไปไม่ไหว ขยับตัวก็เจ็บแล้ว ลุกขึ้นก็เหนื่อยแล้ว ไม่มีแรง ใจก็ยิ่งหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเมื่อใจหงุดหงิด ของรอบข้างที่เห็นอยู่เฉพาะหน้าก็กลายเป็นความไม่พอใจไปทั้งนั้น มีแต่อกุศลหมุนเป็นพายุอยู่ในจิตใจ ทำให้รุ่มร้อน หงุดหงิด คับข้อง วาจาก็กระฉอกว่าคนรอบข้างให้เจ็บช้ำน้ำใจ เหนื่อย ท้อแท้ที่จะพยาบาลเรา กายกรรมก็ฟาดแขน ฟาดขา ทิ้งเนื้อทิ้งตัวด้วยความไม่ได้ดังใจ ก่อแต่วิบากที่เป็นอกุศลเต็มไปหมด เหมือนกับสร้างกรงขึ้นมาล้อมกรอบ ขังตัวเอง
ถ้าใจเป็นอย่างนี้ ก็เหมือนคุณแม่ชีเมื่อกี้ แมลงตัวน้อย ๆ ตัวเดียว เกาะติดใจจนลื่นลงอบายภูมิไปได้
ท่านอาจารย์แก้ข้อกังขาของลูกศิษย์ที่ว่าไม่ยุติธรรมว่า แม้ขณะปัจจุบันเขายังรักษาใจให้เข้มแข็ง อยู่กับความจริงไม่ได้ เมื่อไปอยู่ในอบายภูมิไม่ได้ เมื่อไปอยู่ในอบายภูมิแล้ว คิดหรือว่าใจนั้นจะเกิดความเข้มแข็ง ได้คิดว่า… เออ… เราพลาดท่าไปแล้ว เพราะฉะนั้นตั้งสติให้มั่น จะได้ผ่านวิบากตรงนี้ไปได้ ใจก็คงขาดสติฟาดงวงฟาดงาเรื่อยไป พร่ำบ่นว่า ดูสิ ไม่ยุติธรรมเลยโลกนี้ เราทำความดีมาตั้งเยอะแยะแล้วยังต้องมาทุกข์ร้อนอย่างนี้ ถ้าใจมัวแต่คร่ำครวญ ทุกข์โทมนัสอยู่อย่างนั้น มันก็หมอง ไม่มีวาระที่จะเกิดสติ เกิดปัญญามาชักจูงให้เห็นหนทางที่ถูกที่ควรได้ จิตใจเวียนต่ำลง ต่ำลง ต่ำลง บุญกุศลที่มีอยู่ก็คอยอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ได้เจอะได้เจอกัน
ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างอีกรายหนึ่ง เป็นผู้ชาย เกิดมาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ เติบโตขึ้นมาโดยไม่มีใครอุปการะ อะไรที่จะทำให้ตัวสามารถเลี้ยงตัวได้ก็ทำทั้งนั้น ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ขอให้ตัวอิ่มมื้อหนึ่ง มีที่ซุกหัวนอนเป็นพอ วันหนึ่งไปพบพระอรหันต์เข้า ฟังท่านเทศน์ ก็เกิดความรู้สึกจับใจมองเห็นชีวิตของตนที่แล้วมา ถูกกาลเวลากินไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็เกิดความสลดใจ ได้คิดขึ้นมาว่า ทำไมเล่า เราก็ไม่มีห่วงมีใยอะไร ตัวคนเดียว ถ้าเราไปจัดการทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยบริจาคทานไปเสีย แล้วมาขอบวชเป็นพระติดตามพระอรหันต์องค์นั้นไปประพฤติปฏิบัติ เราก็คงพอสะสมเสบียงกรังให้ตัวเอง มีความสงบผาสุขอย่างท่าน
คิดแล้ว จิตใจก็ปีติ อิ่มเอิบ ตั้งใจไปจัดการบริจาคทรัพย์สมบัติ เพื่อติดตามสมณะรูปนั้น แต่ยังไม่ทันจัดให้แล้วเสร็จก็เป็นลมปัจจุบันตายไป จิตขณะตายยังปีติอิ่มเอิบ ก็ไปอุบัติบนสวรรค์ผู้ฟังประท้วง ทนไม่ได้…. โอย…. ถ้าเป็นอย่างนี้ละก็ เลิกทำคุณงามความดีกันเถอะ เพราะไม่รู้ว่าจิตใจจะปีติหรือหมองเมื่อไร
ท่านอาจารย์ก็ย้ำว่า รักษาใจให้อยู่กับขณะปัจจุบันสิ ปัจจุบันเท่านั้นที่มีความหมายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เพราะความเป็นพระพุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นมาจากปัจจุบันขณะนี้เอง ถ้าท่านปล่อยให้อดีตมีอิทธิพลครอบงำใจอยู่ ท่านก็คงเป็นโพธิสัตว์อยู่อย่างนั้นแหละ โพธิสัตว์ยังมีบุญแบะบาปคละเคล้ากันอยู่ แม้บุญจะมีมากกว่าบาป แต่ก็ยังไม่หมดบาป ที่คอยถ่วงบัญชีให้ปิดงบดุลไม่ได้สักทีถ้าใจอยู่กับปัจจุบัน ฝึกฝนสติ จนอารมณ์อะไรก็ตามที่กระเพื่อมขั้นมาเป็นสักแต่ว่า ท่านวางมัน และกระทำแต่สิ่งที่เป็นสาระ เป็นของจริง ของแท้ เมื่อหว่านแต่ของจริงของแท้ ผลที่งอกในอนาคตย่อมดีแท้ เป็นเสบียงใช้คุ้มตัวให้รอดปลอดภัย เหมือนกับชายผู้นั้น เมื่อไปอุบัติบนสวรรค์แล้ว ก็ยิ่งตั้งหน้าตั้งตาสะสมคุณงามความดีให้เจริญงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนสำเร็จเป็นอรหันต์ถ้าร่างกายยังมีอยู่ ไม่ตาย วิบากเก่า ๆ ที่ยังมีตกค้างอยู่ ก็ตามมาให้ชดใช้ เป็นต้นว่า พระองคุลิมาล เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว ไปทางไหนก็ถูกขว้างถูกปา ท่านก็ปล่อยไปตามสภาพ เพราะใจของท่าน “รู้” เข้าใจตามเป็นจริง อภัย อโหสิ ไม่ไปก่อกรรมใหม่ให้เกิดวิบาก เป็นภาระกดถ่วงจิตใจต่อไป ธาตุขันธ์อันนี้เคยติดหนี้อยู่ ใครจะมาทวง จะมาทุบถอง ก็ปล่อยให้เป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อไรที่ธาตุขันธ์แปรปรวนแตกสลายไป ก็จบกัน จิตที่เป็นอิสระ ปลอดภัยจากการเกาะเกี่ยว ลอยตัวเป็นอโหสิกรรม เกมกันไป
คนไข้ไม่ว่าจะเป็นคนดี คนไม่ดี เคยมีธรรม ไม่มีธรรม ถ้าเข้าใจความสำคัญของขณะเดี๋ยวนี้ ที่กำลังเป็นอยู่ เปิดใจเป็นภาชนะรับความเป็นจริง โอกาสมีเต็มที่ด้วยกันทุกคน ยิ่งในวาระที่เจ็บป่วย ยิ่งมีประโยชน์มาก สมัยพุทธกาลก็มีพระภิกษุองค์หนึ่ง อาพาธเป็นโรคผิวหนัง พุพองไปทั่วร่างกาย ได้รับทุกขเวทนามากมาย สบงจีวรเลอะไปด้วยน้ำหนองน้ำเหลือง เน่าเหม็น พระเณรที่คอยช่วยเหลือท่านต่างแตกหนีหมด ทิ้งให้ท่านอยู่แต่ผู้เดียววันนั้น ร่างอันเน่าเฟะของพระภิกษุนี้ปรากฏในข่ายพระญาณของพระพุทธเจ้า ท่านจึงเสด็จไปโรงไฟ ต้มน้ำ บรรดาพระสงฆ์ในวัดทราบ ก็พากันมาช่วยพระพุทธเจ้า ยกเตียงหามพระอาพาธไปโรงไฟ พระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระสงฆ์ช่วยกันเปลื้องสบงจีวร นำไปซักด้วยน้ำร้อน แล้วพระองค์ทรงชำระล้างร่างที่เกรอะกรังนั้นด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด ร่างกายที่รุมเร้าด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัส เมื่อได้รับการบริบาลก็เบาสบายขึ้น พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ร่างนี้ไม่นานก็จะทับถมลงกับแผ่นดิน ไม่มีวิญญาณเครื่องรับรู้ ก็ไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ หมดผู้สนใจ
พระภิกษุรูปนั้นได้ฟังพุทธวจนะจบลง จิตบรรลุอรหัตผลพร้อมๆกับสิ้นลม
เราแต่ละคนก็มีโอกาสทองเต็มเปี่ยม เช่นเดียวกับภิกษุอาพาธรูปนั้น เพราะเรามีกายที่ป่วยไข้ และมีใจที่รู้สุขรู้ทุกข์เช่นเดียวกับท่าน เพียงแต่เราต้องมีกำลังใจที่จะพากเพียรไม่ละไม่ถอย เมื่อเพียรแล้วโปรดอย่าตั้งความหวังว่า ใจต้องสงบ ลงรวมเป็นสมาธิ คนส่วนมากไปยึดว่า ความสำเร็จคือการที่ใจลงรวมเป็นสมาธิ นิ่งสนิทต่อเนื่องกัน ไม่ใช่เช่นนั้น
การฝึกใจคือการสร้างสติให้รู้อยู่กับตัว คิดดีก็รู้ว่าคิดดี คิดชั่วก็รู้ว่าคิดชั่ว แล้วมองความคิดเหล่านั้นเหมือนกับว่าเป็นคนละส่วนคนละอันกับใจของเรา อารมณ์ใดเกิดขึ้น ให้รู้ว่าเราเสวยอารมณ์อย่างนั้นๆ เหมือนกับร่างกายกินอาหาร อย่าเผลอเพลิดเพลินจุบจิบตามความอร่อย เดี๋ยวหยิบอันนั้นเข้าปาก หยิบอันนี้เข้าปาก ใจเราก็ทำนองเดียวกัน ถ้าไม่ฝึกสติ จะเพลิดเพลินจนอร่อยไปกับอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง คิดฟุ้งซ่านต่อเนื่องไปไม่รู้จบใจที่ฝึกดีแล้วจะไม่กลิ้งคลุกไปกับอารมณ์เช่นนั้น ถ้าไม่มีสติ ความคิดอะไรเกิดขึ้นก็ยึดติดหน่วงไว้ในใจ ทำนองเดียวกับนายช่างเขียนแบบแปลน ทำพิมพ์เขียวไว้ก่อนแล้วจึงลงมือก่อสร้างตามแบบพิมพ์
ท่านพระอาจารย์มหาบัวเล่าไว้ในหนังสือ ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ว่า เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่วัดบ้านหนองผือ มีอุบาสิกาท่านหนึ่งมาเล่าเรื่องภาวนาของตัวเองถวายท่านว่าขณะท่านนั่งภาวนาจิตรวมสงบแล้วเห็นกระแสจิตอย่างยิ่ง เป็นสายยาวเหยียดพุ่งไปสู่ภายนอกก็สงสัย จึงกำหนดตามไป ตามไป จนพบว่าสายนั้นไปจับจองที่เกิดอยู่ในท้องหลานสาว ทั้งที่ตัวแกยังไม่ตาย ระยะเดียวกันหลานคนอื่นนั้นก็เริ่มตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนแล้ว อุบาสิการักหลานคนนี้มาก ห่วงใย และติดต่อเกี่ยวข้องอยู่เสมอ
แกถามท่านอาจารย์มั่นว่า ตนจะไปเกิดในท้องของหลานสาวหรือ ท่านอาจารย์พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วอธิบายว่า เมื่อจิตรวมคราวต่อไป ให้แกตรวจดูกระแสจิตให้ดี ถ้ายังเห็นส่งออกไปภายนอก ให้กำหนดจิต ตัดด้วยปัญญาให้ขาด อย่าทำเพียงว่าสักแต่ว่าทำนะ ถ้ากำหนดตัดไม่ขาด เวลาตายต้องไปเกิด ในท้องหลานสาวแน่ๆ แกกลับมาก็มากำหนดตามที่ท่านอาจารย์แนะนำ พอจิตรวมลงสนิท เห็นกระแสจิตเด่นชัดอย่างเคย ก็กำหนดตัดด้วยปัญญา จะขาดกระเด็นไป คืนรุ่งขึ้นก็กำหนดดูอย่างงละเอียด เพื่อความแน่ใจว่าไม่ปรากฏมีอีก วันถัดไปจึงออกมาเล่าถวายท่าอาจารย์มั่น ฝ่ายหลานสาวพออุบาสกตัดกระแสจิตขาด ก็แท้งในระยะเดียวกัน
เมื่อท่านอุบาสิกากลับไปแล้ว บรรดาพระทั้งหลายก็เอาเรื่องนี้มาวิพากษ์วิจารณ์ และกราบเรียนถามท่านอาจารย์ท่านก็อธิบายว่า จิตนี้พิสดารเกินกว่าความรู้ ความสามารถของคนธรรมดาจะตามรู้ ตามรักษาได้ ดยไม่ให้มีภัยแก่ตัวผู้เป็นเจ้าของคนธรรมดาจะตามรู้ ตามรักษาได้ โดยมิให้เป็นภัยแก่ตัวยังไม่ทันตายเลย กระแสจิตขโมยไปจับจองท้องหลานเป็นที่เกิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องด้วย ถ้าไม่มีหลักใจทางภาวนาจะไม่มีทางรู้วิถีทางเดนของใจได้เลย ยิ่งเวลาเจ็บไข้สติปัญญายิ่งสำคัญมาก ในการตามรู้ รักษาจิต ตลอดจนต้านทานทุกขเวทนาไม่ให้มาทับจิตในเวลาจวนตัว
โปรดลองคิดดู วันทั้งวัน ใจของเราที่ไม่มีสติกำกับจะไปดาวน์บ้าจัดสรร กล่าวคือ ไปจับจองท้องใครต่อท้องใครเป็นที่เกิดเอาไว้ที่ไหนแล้วบ้าง ไปดาวน์เอาไว้ในท้องคนก็ยังดี เกิดไปดาวน์ไว้ในท้องสัตว์เดรัจฉานเข้าคงลำบากหน่อยหรือจับพลัดจับผลูเกิดอุบัติเหตุหล่นลงไปอยู่ในนรกก็ยังดี
เพราะเหตุนี้แหละ ท่านจึงพร่ำสอนให้หมั่นฝึกใจของคนอยู่ทุกลมหายใจเข้าและออก เพื่อปิดกั้น ตัดโอกาสไม่พึงประสงค์เหล่านั้น การที่อุบบาสกอุบาสิกากำหนดปัญญาตัดกระแสจิตของท่านขาดและหล่นแท้งนั้น เป็นเพียงตัวอย่างให้เห็นหนึ่งชาติ หนึ่งภพเท่านั้น ซึ่งความจริงใจของเราไม่ได้ซัดส่ายไปสร้างพิมพ์เขียวไว้แต่เพียงชาติเดียว เมื่อไรที่คิดวุ่นวี่วุ่นวายอยู่ทุกเวลานาทีด้วยความรัดความผูกพัน ก็ก่อภวภพ ด้วยความผลักไสไม่พอใจก็ก่อวิภวภพ กล่าวคือ ไปจับจองด้วยใจต่อต้าน เกลียดชัง แปะติดอยู่ตรงนั้น ตระเตรียมเอาไว้แล้ว
ที่ร้ายที่สุดคือความปรุงคิด ขณะที่ลมหายใจกำลังดับสิ้นลงไป อารมณ์นั้นแหละคือวัวปากคอกที่เกี่ยวพันใจของเราให้กลิ้งตามไปเถิด ถ้าไม่ฝึก อบรมใจเอาไว้ เราจะไปรู้หรือว่าความเคยชินไหน อารมณ์ไหน ที่มีสะสมเป็นประจุกรรมอยู่ในจิตไร้สำนึกที่สติหยั่งลงไม่ถึงจะปลิวขึ้น มาแจ๊กพอต เราเข้า ถ้าอารมณ์ประจุคิดของเราเป็นเหมือนอย่างกับหนังที่ฉาย ใจที่ขาดสติ ไม่มีสมาธิ จะสงบนิ่งไม่เป็น ต้องฟุ้งปรุงซัดส่ายเป็นนิวรณ์อยู่ตลอดเวลา เปรียบเหมือนมีหนังกลางแปลงฉายห้าเรื่องสิบเรื่องให้เราดูพร้อมๆกันเราไม่รู้ด้วยซ้ำด้วยว่าใจกำลังคิดเกี่ยวพันกับอะไรอยู่ ไปดาวน์บ้านจัดสรรไว้ตรงไหน
พอลมหายใจดับ ก็เหมือนหนังที่ใจกำลังจอจ่ออยู่ฟิล์มขาด รูปนั้นก็เลยฉายค้างอยู่ อารมณ์ที่เกี่ยวพันใจเราอยู่ขณะหัวเลี้ยวหัวต่อก็คือคติภพที่เราไปอุบัตินั่นเอง
ตัวเองเคยประสบมาแล้ว ก่อนหน้านั้นหลงว่า ถ้าเวลาจะตาย ขออย่าได้มีทุกขเวทนาเลย เราจะได้ตั้งสติ ตามรู้จิตของตนได้ ก็เหมือนอย่างกับโชคให้โอกาสได้ทำแบบฝึกหัดซ้อมฝึกดูใจ กล่าวคือ อยู่ดีๆก็ปัสสาวะเป็นเลือดโดยไม่มีอาการเจ็บปวด หรือผิดปกติอื่นใด ถ้าไม่ก้มไปดูปัสสาวะของตัวเอง ก็จะไม่รู้ว่าเลือดออกปนมาอย่างกับท่อประปาแตก มันออกจนกระทั่ง พอลุกจากที่นอนไปห้องน้ำ ปัสสาวะเสร็จก็หน้ามืดทรุดลงกองอยู่หน้าชักโครกนั่นเอง
ครั้นมีแรงกลับมาที่นอนได้ ก็กำหนดจิตไว้กับพุท-โธ ปรากฏว่าเห็นจิตตัวเองแยก มีส่วนที่เป็นเหมือนผิวน้ำ ที่สติกำกับอยู่กับพุท-โธ พุท-โธ บางแสนบาง เดี๋ยวก็พริ้วหายไป เดี๋ยวก็ปรากฏอยู่ ส่วนจิตที่เหลือทั้งหมดไร้สำนึก สติแตะลงไปไม่ถึง เดี๋ยวเรื่องนั้นพัดขึ้นมา เรื่องนี้ แล้วก็เรื่องโน้น อย่างกับมีหนังกลางแปลงสักสิบโรง ฉายให้ดูพร้อมๆกันจะหยุดอันไหนก็หยุดไม่ได้
ใจสั่งให้หยุด พยายามเพ่ง พุท-โธ เสียบลงไปให้เป็นพุท-โธ ทั่วพร้อมหมดทั้งใจ ตอนแรกก็ทำท่าว่าหนังทั้งหมดจอล้ม ใจจดจ่อเป็นพุท-โธ ยังไม่ทันถึงอึดใจ ประเดี๋ยวเดียวพุท-โธ ก็ถูกเบียดพริ้วขึ้นมาอยู่ที่ตรงผิว เห็นวับๆแวมๆตามเดิม น้ำข้างใต้คือจิตทั้งดวงก็ชุลมุนชุลเกกันใหญ่ หยุดไม่ได้ เหมือนกับเราตั้งใจประทับปืน เล็ง ทัศนวิสัยภายนอกสงบ ปลอดโปร่ง ไม่มีลมพายุสิ่งรบกวนใดๆ แต่มือของเราเองมันสั่นตลอดเวลา ทำอย่างไร อย่างไร ก็บังคับเข้าศูนย์ไม่ได้ ก็เลยได้คิดว่า ที่อวดโม้เอาไว้ ถ้าไม่มีทุกขเวทนา เราจะเลี้ยงตัวรอดนั้น ถ้าไม่ได้ประกอบเหตุที่สมควร คือไม่ได้ฝึกเอาไว้ให้เพียงพอ กำลังของมรรคย่อหย่อน อย่าคิดว่าจะติดสินบนไปทางลัด คือไม่มีทุกขเวทนาแล้วจะตัวรอดหลังจากหายแล้ว มีโอกาสได้กราบท่านอาจารย์ ท่านก็หัวเราะหึ หึ ซักไซ้ว่า เป็นยังไงล่ะ ไม่มีทุกขเวทนาแล้วเอาตัวรอดไหมล่ะ ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่รอดเจ้าค่ะ เพราะเหตุนี้แหละ มันจึงต้องฝึก ฝึกกันอย่างจริงจัง พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ท่านไม่เคยตรัสว่า บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะขี้เกียจขี้คร้าน เราเคยหลงว่า ตัวเองมีปัญญาสามารถหาทางลัดได้ คราวนี้ซึ้งเลย ตั้งหน้าพากเพียรไปโดยสุจริต เลิกคิดหาลู่ทางคอรัปชั่นท่านอาจารย์บอกว่า บนถนนสาย “มรรค” ค่าของเงินไม่ยุบไม่พอง เงินสกุลอริยทรัพย์ที่ขวนขวายหามาได้เท่าไรก็มีค่าเท่านั้น อย่านึกโกงว่า ถ้ามีปัญญา มีโน่นมีนี่แล้ว ไม่ลงมือประกอบเหตุ คิดสร้างวิมานในอากาศ จะทำให้มันพองออกได้ ไม่มี ดีไม่ดี กิเลสสอดไส้เข้ามาทำให้หลงว่ามีอริยทรัพย์แล้ว แต่ปรากฏว่าขนเงินเก๊ไปทั้งนั้น ไปถึงไหนเขาก็ไม่ยอมรับเงินของเรา
เมื่อเห็นอย่างนี้ รู้อย่างนี้แล้ว จะได้เริ่มฝึกใจของตน เพราะรู้ไม่ได้ว่า เดินออกไปจากห้องประชุมนี้ เราอาจถูกรถชนตาย หรือเกิดอะไรๆ ขึ้นก็ได้อย่างผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด ที่ถูกยิงตายเมื่อสองสามวันนี้ เป็นเพื่อนนักเรียนแพทย์จบรุ่นเดียวกัน ก่อนถูกยิงตาย ท่านมาเข้าร่วมสัมมนาเรื่อง นิ่วในทางเดินปัสสาวะที่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คุณหมอสง่า นิลวรางกูร เพื่อนร่วมรุ่นอีกท่านหนึ่ง เป็นผู้จัด ระหว่างสัมมนาท่านยังพูดคุยกับคุณหมอรุ่นพี่ที่นำผลงานวิจัยไปเสนอ เล่าถึงผู้ป่วยที่โรงพยาบาลของท่าน หลายรายมีอาการทำนองนี้ กลับไป จะไปรวบรวม ศึกษาวิจัย ท่านให้ข้อคิด แลกเปลี่ยนความเห็นด้วยความสนใจ เต็มไปด้วยความหวัง ความเบิกบาน ได้พูดคุย ปรับทุกข์ประสาเพื่อนกับคุณหมอสง่าระหว่างพักการประชุม
เมื่อเลิกสัมมนา ท่านขับรถเดินทางกลับจังหวัดร้อยเอ็ด ไม่มีใครคิดเลยว่า ไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ท่านถูกยิงตาย ขณะเดินทางกลับบ้าน ไม่มีอะไรแน่เลย ถ้าเราไม่เตรียมหลักใจไว้ให้พร้อม ไม่หาเสบียงอริยทรัพย์ไว้ แล้วจัดลำดับให้ดีว่า ถึงยามคับขันจะหยิบอะไรขึ้นมาใช้ได้ทันท่วงที ก็ยากจะรักษาตัวรอด
หลายท่านรอบรู้ทั้งนั้น เวลาพูด เวทนา….. อ้อ….. คนละส่วนคนละอันกันกับใจ ให้กำหนดสติ ”รู้” ไว้ แต่พอเวทนาเกิดขึ้นจริง เราไปเยี่ยมท่าน ปรากฏว่าหงุดหงิด ไม่ได้อย่างใจไปเสียทุกอย่าง เราแย้บว่า ทำไมไม่กำหนดสติล่ะคะ ตาเขียว เอ็ดตะโรว่า โอ้ย… ใครจะทำไหว ก็มันปวดขึ้นมาถึงหัวใจ คุณไม่เจ็บ คุณจะพูดยังไงก็พูดได้ ลองมาเจ็บดูบ้างสิท่านอาจารย์ถึงเตือนว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด มันเป็นอย่างนี้ ทั้งที่รู้ แต่รู้ด้วยสัญญา ไม่เคยนำมาลองฝึกปฏิบัติกับตัวเองให้รู้เห็นเป็นปัญญาแจ่มชัดขึ้นในใจ เวลาสอนคนอื่นน่ะ สอนได้ สอนเท่าไร เท่าไร ก็สอนได้ แต่พอเอามาสอนตัวเอง มันไม่ฟัง และไม่ยอมฟัง ไม่ยอมทำตามทั้งนั้น เพราะมันเคยแต่ทำตามกิเลสที่ผูกขาดลากจูงจิตใจเอาไว้ตลอดกาล ท่านจึงย้ำว่า ถ้าอะไรก็ตาม เราไม่ทำให้รู้ เห็น เป็น ขึ้นในใจของเราแล้ว อย่าหวัง อย่าหวังว่าจะคุ้มครองตัวรอดได้ ต้องทำให้รู้ เห็น ประจักษ์ขึ้นในใจตนเสียก่อน
การที่เราจะไปช่วยคนไข้ ตัวเองต้องทำให้ตัวเชื่อทุกอย่างที่พูดกับคนไข้ ไม่อย่างนั้น พูดไปแล้วคนไข้อาจประท้วงว่า แล้วตัวหมอเองเคยเจ็บเท่านี้หรือเปล่า ลองมาเจ็บดูบ้างเป็นไร มีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นมะเร็ง ลุกลามไปที่กระดูก ตอนที่ปวดกระดูกมากๆ อาจารย์เปรียบเทียบให้ฟังว่า ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน หรือนอน มันเหมือนกับมีปลายเข็มแหลมๆทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา ทุกรูขุมขน อาจารย์ถามดิฉันว่า ลองนึกดูเถิด จะเอาสติไปกำหนดกับอะไรที่ตรงไหนดี ต่อมา….. ต่อมา….. ยาสมุนไพรช่วยให้ความเจ็บปวดทุเลา อาจารย์เล่าว่า พอหลับได้บ้าง เพราะจ้าเข็มแหลมๆเปลี่ยนสภาพเป็นแค่กรวดก้อนเล็กก้อนน้อย
โปรดนึกสภาพดูว่า ถ้าเราได้นอนบนก้อนกรวด เราจะนอนได้ไหม นอกจากนอนไม่ได้แล้ว ยังโกรธ หงุดหงิด กระสับกระส่าย ตั้งสติไม่ได้อีกด้วย แต่อาจารย์ผ่านข้อสอบที่รุนแรงร้ายกาจกว่านี้มาแล้ว เลยรู้สึกทนได้ พอตั้งสติได้เป็นครั้งคราว จิตใจเบาขึ้น แต่ไม่ใช่ว่ามีความสุข ยังรู้ว่าอยู่บนเม็ดกรวด ซึ่งบางทีก็คั่วไฟร้อน ๆ อีกด้วย นี่แหละ อานุภาพของทุกขเวทนา ความเจ็บปวดถ้าไม่ทำภาวนา ใจยอมเชื่อว่าเวทนาก็สกแต่ว่าเวทนา เมื่อเรายังนั่งสบายอยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นเหน็บขึ้นมาแล้วสั่งไม่ให้ขยับ ให้เอาสติกำหนดจนเห็นเวทนาแยกตัวอยู่เป็นสักแต่ว่าเวทนา รับรองทำไม่สำเร็จ เพราะเหน็บไม่ได้รู้สึกอยู่แต่ที่ขา มันไปจับอยู่ที่หัวใจ จนทนไม่ไหว หาจังหวะที่จะเอาสติไปกำหนด แยกให้เห็นว่าเวทนาก็เป็นเวทนา ใจก็เป็นใจไม่ได้ สติแทรกไม่เข้า เพราะความยึดว่าใจเจ็บด้วย เป็นตัวดึงความเจ็บปวดมาคลุกกับใจ จนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันไปหมด
แต่หลักมีอยู่อันหนึ่ง อาจารย์ลำดับให้ฟัง ขณะที่อาจารย์พอสบาย ถ้าใครคอยเตือนเอาไว้ อาจารย์คะ อย่าลืมค่ะ เอาสติกำหนดไว้กับใจ อาจารย์ก็กำหนดได้ ครั้นเผลอ คือเวลาพลิกตัวเปลี่ยนท่า ขณะที่พลิก ระดับที่วางแขน หรือขาเหลื่อมไป เพียงแค่หนึ่งชั้นบางๆของผ้า มันก็มีความหมายเหลือแสน ภรรยาที่มาเฝ้าพยาบาลอยู่ทุกวันทุกคืนก็แย่ จากความเหน็ดเหนื่อย ห่วงกังวล อาจารย์ก็แย่ จากพยาธิสภาพและกำลังใจที่ร่อยหรอไปทุกวัน ต่างฝ่ายต่างก็พร้อมที่จะประสาทพอจะพลิกตัวครั้งไร ใจก็เริ่มเครียด มัวจดจ่อกังวลว่าผ้ารองตรงข้อศอกไม่พอดี ตรงใต้เข่าหนาเกินไป ฯลฯ ทั้งที่เรามองดู ก็ไม่รู้สึกว่าหนาบางต่างไป แต่ใจของอาจารย์ตอนนั้น ไว ละเอียด แยกได้เป็นไมครอนขณะที่มัววุ่นวายกับผ้า เผลอส่งใจออกไปข้างนอก สติก็พลัดหลุดไปจากใจ ใจกับเวทนามาเกาะเกี่ยวกันแน่น ถึงใต้ผ้าห่มผืนที่ถูกใจมารองแล้วก็ยังปวดอยู่นั่นแหละ กว่าจะแยะใจออกจากเวทนาได้ บางครั้งหมดไปครึ่งค่อนวัน หรือวันทั้งวันเลย สะบักสะบอมอยู่อย่างนั้น จนผลอยหลับไปก็มี ลืมตาขึ้นมาใหม่จึงค่อยมีสติ แยกใจออกมาได้มันเป็นอย่างนี้ ขณะเผลอนั้น สั้นเพียงกระพริบตาครั้งเดียว ครั้นมันชนะเราแล้ว กว่าจะตีตื้นกลับมาได้สะบักสะบอม ถ้าเป็นอย่างนี้ครั้งสองครั้ง สติจะไหวตัว คอยรักษาตัวเองได้ทันท่วงที เพราะความเจ็บปวดนั้นไม่สุนทรีเลย
ผู้มีสติปัญญา มีเหตุผล จะระมัดระวัง ปรับปรุงใจของตนให้สงบเบาขึ้น แต่ถ้าเป็นพาล จะโทษซ้ายป่ายขวา ภรรยาก็ไม่ดี ลูกก็ไม่ดี หมอก็ไม่ดี ทุกอย่างไม่ดีหมด อกุศลวิบากยอดพุ่งฉิว แต่แรกมีหนี้อยู่พันบาท พอเสร็จ งบบัญชี หนี้เพิ่มเป็นร้อยล้าน
ขณะจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ถ้าไม่มีสติรักษาใจ กิเลสจะมาชักจูงให้เราตกหนัก เอาตัวไม่รอด เพราะอย่างนี้
กิเลสไม่ต้องการปลดปล่อยสัตว์โลกให้พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ แต่ต้องการหวงแหนไว้เป็นข้าทาสบริวาร ให้อุ่นหนาฝาคั่ง จึงเย้ายวน ชักจูง ให้ใจเผลอสติ รู้สึกว่าสภาวะรอบข้างเป็นสิ่งไม่สบอารมณ์ เมื่อไม่สบอารมณ์ เกิดความคับข้อง อะไรๆที่กระทำก็เป็นอกุศลไปหมด เมื่อไม่มีสติแล้ว ใจก็หมดความไตร่ตรอง ยับยั้งชั่วตวงในการจะประกอบกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ผลจึงกลายเป็นความเดือดร้อนแก่ตนหากไม่หงุดหงิดคับข้อง ก็อาจเสียดาย อาลัยอาวรณ์ชีวิต ไม่อยากตาย ไม่ต้องการตาย ใจก็ทุกข์โทมนัสเดือดร้อนเช่นกันการมาฝึกภาวนา ไม่ได้หมายความว่าจะหนีพ้นกรรมไม่ดี แต่เพียงแค่ว่าเราพยายามช่วยตัวเอง เป็นต้นว่า ถ้ามีหนี้อยู่หมื่นบาท การภาวนา รักษาใจให้ไปเกิดในถิ่นที่สมควร ได้รู้จักพุทธศาสนา มีผู้ฝึกอบรมบ่มอุปนิสัยของเราให้มีคุณธรรมความดี มีอริยทรัพย์เลี้ยงตัว ก็เหมือนกับเรารู้ว่าตัวเองมีหนี้อยู่ เขาจะมาทวงเป็นงวดๆ เราเตรียมพร้อมเอาไว้ พอเขามาทวง เราก็มีใช้ให้เขาได้ หนี้ก็ลดไปโดยลำดับ ผลที่สุดหมื่นบาทก็หมดเกลี้ยงได้ ภพชาติที่ไปเกิดแต่ละครั้ง ก็เป็นมรรค ให้เราขวนขวายช่วยตัวเอง ปลดหนี้เก่า ขณะเดียวกันก็ยุติการสร้างหนี้ใหม่ ผลที่สุดก็เป็นไทแก่ตัว แต่ถ้าไม่ฝึกสติ อบรมปัญญา ไม่รู้จักภาวนา ใจปลิวไปตามอารมณ์ ไปอุบัติในถิ่นที่ไม่มีใครสอนให้รู้จักฝึกอบรมจิตใจ หรือมีผู้ฝึกสอน ใจของเราก็มืดบอด ปิดหู ปิดใจ ไม่รับฟัง ปล่อยชีวิตให้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่อาจชำระหนี้ให้หมดสิ้นได้ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ เราอาจปล่อยใจหลงไปอุบัติในภพภูมิสัตว์เดรัจฉาน ไม่สามารถดูแลจิตใจได้ เพราะต้องกังวลแสวงหาอาหารมาเลี้ยงชีวิตวันต่อวัน หาที่พักพิงกายให้ปลอดภัย ไม่เปียก ไม่ร้อน ไม่หนาว จนเกินทน เวลาหมดไปด้วยเรื่องของร่างกายท่านผู้รู้กล่าวว่า ขันธ์ทั้งห้าเป็นรวงรังแห่งทุกข์เป็นภาระหนัก ระหว่างดูแลขันธ์ อาจก่อบาปก่อกรรมขึ้นใหม่ พอเจ้าหนี้มาทวง….. เมื่อวานนี้ เกิดเจ็บกะทันหัน เสียค่ารักษาพยาบาลไปหมดแล้ว เลยต้องผัดหนี้ต่อไปอีกนานวันเข้า ทั้งดอกทั้งต้น ทั้งหนี้ใหม่ รวมเข้าแล้ว หมื่นบาทอาจกลายเป็นร้อยล้านก็ได้การฝึกอบรมใจ ให้มีสติ มีปัญญา ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ก็เพื่อคุ้มครองใจไปอุบัติในที่เหมาะควร จะได้เอาเหตุการณ์ในชีวิตมาเป็นหินลับสติปัญญา ให้ใจรู้เห็นตามเป็นจริง เป็นสัมมาทิฏฐิ หยั่งรกรากลงไป จนกระทั่งสติไม่เพียงแค่ลอยอยู่แต่ผิวๆ เป็นจิตสำนึกน้อยนิดเดียว คุ้มครองตัวยังไม่ได้ หากค่อยหยั่งลงไป หยั่งลงไปจนอาณาบริเวณของจิตสำนึกลึกลงไป ลึกลงไป โดยลำดับ อย่างพระพุทธองค์ สติของท่านได้ฝึกเต็มรอบแล้ว ไม่ว่าท่านจะอยู่ในอิริยาบถใด แต่ละขณะ แต่ละขณะ สติก็อยู่กับใจต่อเนื่องกัน ไม่ขาดวรรคขาดตอนสติที่พัฒนาอย่างนั้นแล้ว เป็นสติที่หยั่งทะลุจิตไร้สำนึกทั้งหมด ทำให้จิตทั้งดวงกลายเป็นจิตรู้สำนึก เพราะมีสติเครื่องระลึกรู้ตามเป็นจริง รักษาอยู่ จึงเป็น “พุทธะ” รู้ ตื่น เบิกบาน คุ้มตัวรอดตลอดไปจิตพวกเรามีเปลือกเป็นพุทธะ แต่ไส้เป็นกิเลสสารพันชนิด ประเดี๋ยวๆเปลือกปริแตก ทำให้ไส้เยิ้มเหนียวหนึบออกมาเคลือบเปลือกมิดหมด เราก็กลายเป็นกิเลสไปทั้งแทง บริหารกันด้วยกิเลส จึงเอาตัวไม่รอดเวลาที่เปลือกปริ คือขณะวิกฤต เหนื่อยมากๆ เจ็บปวด หรือไม่ได้ดังใจ เวลาสบายๆนั้น พุทธะผ่องใส เบิกบาน ทำให้หลงตัวไปว่าเราไม่มีกิเลสเหลืออยู่อีกแล้ว โกรธก็ไม่เป็น เห็นใครก็สงสาร รัก ชอบ ไปหมด เมตตาไปทั่วหน้า แต่พอไม่ได้อย่างใจปุ๊บ ไม่ทราบเปลือกหลุดไปข้างไหน ไอ้ความขี้โกรธ ขี้เกลียด เยิ้มหนึบออกมา เป็นยางเหนียว พออะไรมาแตะเข้า ก็คลุกติดเข้าไป ไม่ได้บันยะบันยัง มันเป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนให้ไม่ประมาท อย่าปล่อยกาลเวลาให้กลืนกินชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น เราควรขวนขวายช่วยตัวเอง ฝึกสติปัญญาให้เต็มรอบ นึกไว้ว่า เราคือผู้ป่วยสิ้นหวัง เพราะยังไง ยังไง ตัวเราก็ไม่พ้นความตายไปได้ มันเตือนเราว่า เหลือเวลาอีกยี่สิบปี อีกสิบปี การคิดเช่นนั้น ยังเป็นความประมาท ให้คิดเสียว่าผู้ป่วยสิ้นหวัง ตายเมื่อไรย่อมได้ จะได้ไม่ประมาท และเตือนตัวเอง สอนตัวเอง ให้ฝึกสติเอาไว้ หมั่นฝึกเรื่อยไป จนกระทั่งสตินี้เป็นอัตโนมัติคอยรักษาใจเมื่อใจคิดไปตามความจำ หรือนึกปรุงไปตามอารมณ์ สติจะเป็นห้ามล้อให้หยุดคิด รักษาใจให้สงบ มีสมาธิเป็นพื้นฐาน ไม่ไปคิดอกุศลกับใคร ไม่เพ้อเจ้อเปล่าประโยชน์ พออารมณ์พัดขึ้นมา สติก็เตือน ไม่มีประโยชน์ เพราะความต้นเดาคิดคือเงาทั้งนั้น คิดแล้วทำให้เราเห็นผิด ไปก่อกรรมทำเข็ญให้ผู้อื่นโดยเปล่าประโยชน์ สู้ให้เหตุการณ์จริงๆเกิดขึ้น ได้เห็นด้วยตาของเรา ได้ยินด้วยสองหูของเรา ถึงตอนนั้นค่อยตอบสนองออกไป เป็นปัจจุบันกรรมที่มีสาระ มีสติปัญญากำกับ สิ่งที่ทำไปจึงเป็นมรรค เมื่อเป็นมรรคแล้วชีวิตของเราก็ปลอดภัยแต่ถ้าไม่ทำจริงจัง เผลอสติเมื่อไร เราก็กลิ้งเข้ารกเข้าพง ถูกบ่วงทุกข์รัดมัดตัวมัดใจจนขาดทุนสูญกำไรเรื่อยไป เกิดความท้อถอย เบื่อ ลังเล สงสัยว่าการปฏิบัติมีผลแน่หรือ คิดเพ่งโทษธรรมะว่าเป็นหมัน แทนการย้อนมาตรวจสอบวิธีการของตนว่า ถูกต้อง รัดกุมแน่หรือหากการฝึกจิตใจเป็นเรื่องไม่จริงไม่จัง ไร้ผล งมงาย เหตุไฉนเจ้าชายสิทธัตถะซึ่งบริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ อำนาจ ราชอาณาจักร จึงไม่ใยดีสิ่งเหล่านี้ หากโลกสมบัติมีคุณค่าสาระ สามารถหอบหิ้วไปเป็นประโยชน์ได้จริงจัง เจ้าชายสิทธัตถะคงไม่สละเป็นเดิมพัน เพื่อออกแสวงหาวิมุตติธรรมปลดเปลื้องใจจากพันธนาการของความยึด เห็นผิดเป็นชอบ หลงวน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์โทมนัส ไม่รู้จบ วิมุตติจิตของท่านเป็นไทจากวัฏวน อิสระ เบา สงบร่มเย็นอย่างแท้จริง หากพิจารณาพระพุทธองค์เป็นหลัก เราก็หมดความลังเลสงสัย เกิดกำลังใจ ที่จะปฏิบัติต่อไปหากสิ่งที่พูดกันในวันนี้ สะดุดใจท่านผู้ใดให้เริ่มและเร่งปฏิบัติ เพราะเห็นตนเองเป็นผู้ป่วยสิ้นหวังแล้ว ขออานิสงส์จากบุญกุศลเหล่านี้ เป็นพลวปัจจัยให้จิตของแต่ละท่าน ที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้ดิฉันรับเชิญมาพูดในวันนี้ ดำเนินอยู่บนมรรค ด้วยความแน่วแน่มั่นคง สร้างสมเมตตากรุณา สติปัญญา อภัย ให้อโหสิ เห็นสิ่งทั้งปวงตามเป็นจริง เพื่อชะล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ เป็นพุทธะ รู้ ตื่น เบิกบาน
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/12_died.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น