เบญจธรรม
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 18 มกราคม 2548
ณ ห้องประชุมชั้น 2 ตึกวชิรญาณวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
หมวด
อันดับที่
เนื่องด้วยวันนี่ยังอยู่ในเดือนมกราคม และเป็นวันแรกสำหรับปีนี้ที่้ราพบกัน จึงขอถือโอกาสนี้ สวัสดีปีใหม่ท่านผู้ฟังค่ะ
เรื่องทเราจะพูดคุยกันคือเรื่อง เบญจธรรม เบญจธรรม ก็คือธรรมที่จะมาช่วยให้เรารักษาศีล 5 ได้ง่ายและสะดวกขึ้น เป็นต้นว่า ศีลข้อ 1 ไม่ให้เรา ประทุษร้ายกัน ไม่เอาชีวิตกัน เบญจธรรมข้อแรก สอนให้มีเมตตากรุณาแก่กัน เหมือนอย่างกับใจของ เราอ่อนโยน เคยช่วยเหลือดูแลใครอยู่ เมตตาเขาอยู่ แต่พอเราโกรธขึ้นมา คิดจะไปฆ่าเขา เราก็นึก เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า มันดูกระไรอยู่
ฉะนั้นข้อธรรมที่จะนำมาพูดกันในวันนี้ เป็นเรื่องที่จะช่วยหล่อเลี่ยงใจของเราให้อ่อนโยน ให้ รู้สึกว่าการรักษาศีลไม่ใช่ของยากลำบาก เพราะถ้ามี แต่คําห้าม จะทําอะไรก็ อย่า อย่าฆ่าสัตว์ อย่าขโมยคำว่า อย่า อย่า นี่ ทำให้ใจมันรู้สึกอึดอัดไปหมด แต่ถ้าเรานึกในด้านบวก คนเรารักกันดีกว่าชังกัน พอไปคิดโกรธจนถึงขั้นเอาเสียให้ตาย ใจที่ฝึกให้มีเมตตาต่อกัน ก็จะสะดุด ฉุกคิดขึ้นมาว่า ยกโทษให้เขาสักครั้งเถอะ ก็ทำให้ใจมีห้ามล้อได้ง่ายขึ้น แล้วก็ ไม่อึดอัดคับข้องข้อ 1 เบญจธรรมข้อแรกสอนให้เรามี เมตตากรุณาต่อกัน เมตตา คือการที่เรารักใคร่ เห็นใคร ก็อยากให้เขาเป็นสุข ให้เขาเหมือนเราทีสุขอยู่ เมตตา กรุณา คือเห็นเขาทุกข์ยาก เขาเดือดร้อน ทําอย่างไรเราจึงจะช่วยให้เขาทุกข์น้อยลงหรือไม่ทุกข์ เลยได้ ตัวอย่างเช่นเพื่อนนักเรียนที่เรียนหนังสือด้วยกัน บางครอบครัวก็ร่ารวย บางครอบครัวก็ ยากจน เอ๊ะ เพื่อนเรา มองดูเขาไม่มีข้าวกลางวัน มากิน ถึงเราจะเอาข้าวมาพอดีสําหรับเรากิน แต่เมื่อเช้าเราก็ได้กินแล้ว แบ่งให้เขาเถอะ มือแบ่งให้ใจก็เริ่มมีกรุณามีเมตตาต่อกัน น้ำใจเหล่านี้จะทําให้จิตใจของคนเราเกิดความรักใคร่ผูกพันกัน เหมือนอย่างกับช่างทําทอง จะเอาทองมาต่อเป็นลวดลาย เป็นดอกเป็นดวงให้สวยงาม เขาต้องมีน้ำ ประสานทองหยดลงไป แล้วเอาไปลนไฟ เป่า ทําให้ เป็นลวดลายสวยงามจิตใจคนก็เช่นกัน ถ้ามีเมตตากรุณาเหมือนน้ำประสานใจ ก็จะทำให้จิตใจทีแข็งกระด้าง ใจทีไม่สวยไม่งาม อ่อนโยนลงแล้วสวยงามขึ้น
มีเรืองทีเล่ากันมาว่า อาสาสมัครท่านหนึ่งไป สอนเด็กชาวเขา ปกติเด็กชาวเขาก็มีแผ่ต่าง ๆ กัน ต่างเผ่าก็มีภาษาของตน เพราะฉะนัน เด็กชาวเขา เผ่าใดก็เป็นเผ่านัน เขาจะไม่คุยต่างเผ่ากันเพราะเขาใช้แต่ภาษาของเขา อาสาสมัครท่านนีก็คิดว่า
จะเป็นชาวเขาเผ่าใดก็เป็นคนไทยด้วยกัน แล้วถ้า ไม่สามารถพูดคุยกันรู้เรื่องได้ ต่างคนต่างมาเรียนมาอยู่ด้วยกันเหมือนอยู่โรงเรียนประจํา สุดสัปดาห์
ถึงจะกลับบ้าน แต่อยู่ด้วยกันแล้วแยกกันอยู่แบบนี้จะมีคุณประโยชน์อะไรในที่สุดท่านจึงยอมให้ชาวเขาพวกนี้พูดคุย เฉพาะในหมู่เพื่อนเป็นภาษาของตัวเองได้ แต่เมื่อมาอยู่ในห้องเรียน หรือพูดกับครู หรือทำกิจกรรม ร่วมกัน ต้องพูดภาษากลางคือภาษาไทย ก็ค่อยๆ เริ่ม ตอนแรกเด็กชาวเขาไม่ยอม ผู้ปกครองก็ไม่ สนับสนุน แต่ความที่ครูมีใจรักเด็ก ก็ทําให้ในที่สุด เด็กๆ ยอมพูดภาษากลางคือภาษาไทยกับครู เมื่อ อยู่กับเพื่อนจึงพูดภาษาของตน ในที่สุดพวกชาวเขา เหล่านี่ก็เป็นเพื่อนข้ามเผ่ากัน เมื่อเด็กพวกนี้โตขึ้นก็ทําให้ชาวเขาต่างเผ่ามีการประสานกันได้ดีขึ้น เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้คิดว่า ถ้าเราค่อยๆ คิด พิจารณาและมีใจเอื้อเฟื่อต่อกัน เรื่องเล็กๆ น้อยๆเหล่านี่ ก็จะเป็นสิงที่ยิงใหญ่ต่อไป เพราะเมือเด็กพวกนี้โตขึ้น ไปเป็นหัวหน้าหรือเป็นคนสําคัญใน เผ่าของเขา เมือพวกเขาเป็นเพื่อนกันแล้ว มีเรื่องอะไรก็จะประสานกันระหว่างต่างเผ่าได้ ถ้าไม่เริ่ม จากตรงนี้ ก็จะต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเป็น มีอะไรกระทบกระทั่งกันนิดหนึ่งก็จะกลายเป็นเรื่องแข็ง เรื่องที่ไม่สามารถอภัยให้กันได้ ก็คิดเสียว่าเขา ไม่ได้ตั้งใจนะ เพราะฉะนั้น ยกโทษให้กันเถิด อภัยกันเถิดสิ่งเหล่านี้ถ้าฝึกให้มีขึ้นในใจแล้ว ใจจะอ่อนโยนเหมือนดินที่มีน้ำชุ่มชื่นแล้วนุ่ม เอาไปปันทําเป็นภาชนะหรือเครืองใช้อะก็แข็งก็กระด้าง ข้อสําคัญ เวลาทีมันแห้ง มันโหย มันหิว เพราะว่ามันพร่อง อะไรก็ตามทีพร่อง มัน จะกระหายอยากได้ มันจะดูดซับจากสิ่งรอบข้าง ดินที่แห้งมากๆ เมื่อเอาน้ำไปใส่ ฟุบเดียวน้ำหายหมดเลย ส่ลงไปเท่าไร...เท่าไร ก็เหมือนอย่างกับเป็นเปรตหรือเครืองสูบน้ำ กินเท่าไรก็ไม่อิ่มเสียที
คนให้ก็เบื่อ เลยเลิกไม่ให้แล้วความจริง เป็นเพราะมันขาดพร่องเสียจน กระทั่งอดอยากปากแห้งหิวโหย จึงซับซึมเอาไปทำ ให้เกิดความอิมความเต็มความพอดีขึ้น ทีนี้เรา ไม่เข้าใจ เราจึงแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ไม่ได้ เพราะไม่ เข้าใจไปถึงธรรมชาติ ไม่เข้าใจไปถึงจิตใจว่า จริงๆ แล้วจิตทุกดวงมีความอ่อนโยน มีความสามารถที่ จะปรับตัวเข้าหากัน แล้วก็รับน้ำใจจากกันและกันได้แต่ถ้าเราละเลย ทอดทิ้ง จนกระทั่งมันแล้งแห้งผาก อย่างนี้แล้ว การจะให้หรือแก้ไขหล่อเลี่ยงให้กลับ
เป็นปกติได้ อาจต้องการมากมหาศาล จนกระทั่งบางครังเราเผลอลืมนึกไป เพราะเราไม่ขาดแคลน เลยคิดว่า อะไรกัน รู้มากเอาเปรียบ ไม่รู้จักพอเสียที แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ เป็นเพราะเขาลําบาก เขาขาดเสียจนกระทังใจพลอยเปราะบางไปด้วย จึงต้องเยียวยากันมากหน่อยเมื่อเป็นเช่นนี้ เราฝึกให้ผู้ที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราลูกหลานเรา ลูกน้องเรา เพื่อนฝูงเรา เต็มด้วยความเมตตาแล้ว ที่จะมาโกรธอาฆาตพยาบาททําร้าย เข่นฆ่าเอาชีวิตกัน ก็จะลดน้อยลงอย่างศีลข้อ 1 มีหลายคนชอบถามว่า ถ้าฆ่ามดตัวเล็ก ๆ นี่บาปเท่ากับฆ่าช้างตัวหนึ่งไหม คือคิดว่า ถ้าสิ่งมีชีวิตนั้นตัวเล็ก บาปก็น้อย ส่วนหนึงก็จริง เพราะการฆ่าควาย ฆ่าวัว ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีคุณประโยชน์ ช่วยทํานา ช่วยทํางาน ช้างช่วยลากซุงช่วยทำงานหนักให้กลายเป็นงานเบา แล้วเราไปฆ่าเขาก็เหมือนเราไปทําร้ายผู้มีพระคุณแต่ถ้าคิดอย่างนั้น แล้วเราก็ทําใจว่ามดตัวหนึ่งช่างมัน ไส้เดือนตัวหนึงช่างมัน เราก็ทําจิตใจของเราให้หยาบกระด้าง คุ้นเคยกับกริยาของการฆ่า ของการไม่เห็นคุณค่าของชีวิต เมือจิตใจของเราเป็นอย่างนี้ แล้วเราเกิดมีอกุศลวิบาก มีศัตรูคู่อาฆาต เกิดเคราะห์หามยามซวย วันที่เราไปเจอะเจอเขาเข้าโดยบังเอิญ ตรงนั้นมีดก็มี น้ำกรดก็มี ปืนก็มี ยาพิษก็มี คือเรียกว่ามีทุกอ่ยางครบครันหมด แล้วเกิดทะเลาะกันขึ้นวูบเดียวที่เราไม่มีภูมิคุ้มกัน เราอาจจะระดมทั่งมีดทั้งปืนกระหน่ำเข้าไปเลยแต่ถ้าเราฝึกเรา แม้มดตัวหนึ่งเราก็ยับยังใจไม่ฆ่า ชีวิตนะ ถึงจะชีวิตเล็ก ๆ แต่เขาก็มีชีวิตจิตใจ เหมือนเรา เขาก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกับเรา ถ้าเราเกิดหลงไปในเมืองยักษ์ แล้วยักษ์คิดว่าเราเป็นมดตัวหนึ่ง แล้วเขาก็ทำกับเราเหมือนที่เราไปบี้ไป ทําร้ายมด เราก็คงอกสันขวัญสยอง เจ็บแย่ไปเลย เมื่อใจของเราเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ที่จะไปคิดฆ่า กัน อาฆาตพยาบาทเบียดเบียนกัน ก็เพลาลง ถึง
จะมีปืนมีมีด ใจก็นึกถึงว่า ถ้ามีใครมาแทงเรามา ฟันเรา นึกถึงเราโดนมีดบาดนิดหนึงยังเจ็บไปตั้งใจที่พิจารณาอย่างนี้ก็รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
รู้จักคิดเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็ทําให้ที่จะทําอะไรไปโดย อัตโนมัติ โดยไม่มีความยับยั้งชั่งใจ จะเนิบช้าลง การรักษาเบญจธรรมจึงเป็นเหมือนเติมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น แล้วช่วยให้ใจของเราอ่อนโยนลง
เบญจธรรมขอหนึ่ง เราก็ได้ เห็นคุณค่ากันแล้วแต่นี้ต่อไปจะได้ฝึกเอาไว้ อยู่ว่างๆ รถติดแทนที่จะหงุดหงิด ก็แผ่เมตตาไว้ในใจ ขอให้เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายจงเป็นสุขๆ เถิด แทนที่จะไปนึกแช่ง
ว่าเขา โอ๊ย ผีบ้าตัวไหนมันทําให้รถติด เราก็นึกเขาคงมีเหตุจําเป็นอาจจะมีใครเจ็บหนักมาก เลยรีบร้อนจนกลายเป็นจระเข้ขวางทางไปหมด เอาเถอะเราเอาใจช่วยให้เขาไปถึงทีหมายดีเรียบร้อย ปลอดภัยทุกอย่าง ใจเราก็สบาย ประเดียวเดียวถนนก็ลื่นไหลไปได้ แตถ้าเราหงุดหงิดว่าผีบ้าตัว ไหนนะ พอเราไปได้ก็เหยียบพรวด ไปทิมท้ายคนพอเราไปได้ก็เหยีบพรวด ไปทิ่มท้ายคนอื่นเขาเข้าเราก็กลายเป็นจรเข้ขวางคั่นคลอง ต่อไป ทําให้คนอื่นทุกข์เดือดร้อน ถ้าเราคิดอย่างนี้ได้ อะไรๆก็หมดปัญหา แล้วทุกอย่างก็จะคลีคลาย ไปด้วยตี
ข้อ 2 เบญจธรรมข้อนี ให้ทุกคนมีสัมมาอาชีพคนเราถ้าไม่คิดไกลๆ ก็จะคิดแค่ว่า เรื่องอะไร ต้องมาอาบเหงื่อต่างน้ำ ลงทุนลงแรงทําให้เหนื่อย ยาก คนฉลาดเพียงคิดวางแผน แล้วมือยาวสาวได้ก็สาวเอา ให้คนอื่นทำไป ส่วนเราก็รอเก็บเกี่ยวผลของเขา หรือทำอย่างไรให้รวยเร็วๆ เล่นหุ้น ไป ตอบคำถามชิงรางวัลในรายการโทรทัศน์ แทนที่จะคิดทำอะไรที่ยั่งยืน กลับมองหาลู่ทางที่จะลงแรงแต่น้อยแล้วได้กำไรมากๆ ถ้าทุกคนทำอย่างนี้หมด แยเลย อาจไม่เหลือคนทํางานถ้าคนทำงานบริษัทหรืองานอะไรรู้จักคิด การ รวยจากเล่นหุ้น เล่นแชร์ แลดูเหมือนเราได้ แต่จริงๆ ถ้าดูให้ถ่องแท้ เงินที่เล่นหุ้น เล่นแชร์ มันออกจาก กระเป๋าคนนั้นมาใส่กระเป๋าคนนี้ แต่ว่าต้นทุนของประเทศไม่มีอะไรงอกเงยขึ้นมาเลยแต่ถ้าเราประกอบสัมมาอาชีพ เราเป็นชาว สวนเราดูแลเอาปุ๋ยใส่ดินของเรา ทําคลองระบายน้ำ ปลูกผลไม้ ปลูกผัก แล้วเอาผลผลิตไปขาย หักต้นทุน เรายังมีกำไร เงินกำไรนี้มันงอกขึ้นมาจริงๆ ประเทศของเรา หรือครอบครัวของเรา หรือองค์กรของเรา มีทุนรอนเพิ่มขึ้นจริงๆ มีความมันคงเป็นหลักฐานขึ้นจริงเพิมทุน ที่ให้แผ่นดินของเรามีผลิตผลขึ้นมา แผ่น
น้ำแผ่นฟ้าก็เป็นคุณประโยชน์ให้เราอาศัยเลี้ยงชีวิต แล้วได้กำลังไปทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม แก่โลก เพื่อที่ความทุกข์ยากหรือความเดือดร้อนจะได้คลีคลาย เบาบางลงไป จิตใจมีความสงบผาสุก ร่มเย็น เป็น บุญเป็นกุศลดียวนี้เราพบแล้วว่า การที่จิตใจของเราหรือ จิตใจของผู้คนมีความสงบผาสุก ร่มเย็น มีผลมากมายเหลือคณานับ เพราะทำให้มลพิษไม่เกิดขึ้นใน บรรยากาศเรารณรงค์กันถึงมลพิษทางวัตถุสิ่งของ ซึ่งเป็นรูปธรรมที่มองเห็นได้ เราต้องการให้ธรรมชาติแวดล้อมของเราสะอาดสะอ้าน เป็นสีเขียวชอุ่ม เจริญตา เจริญใจ แต่ลืมนึกถึงสภาพจิตใจของเรา ฉันไม่ได้พูด ฉันไม่ได้ทํากิริยาหยาบคาย แต่ ฉันคิดฟุ้งซ่าน คิดหงุดหงิด โกรธ โลภ เพ่งเล็งอยาก ได้สิ่งโน้นสิ่งนี้ จิตใจมีแต่ความรุ่มร้อนเข้าใส่กัน ความคิดในเป็นคลื่น เหมือนอย่างกับคลื่นเสียง แต่มีความถี่สูงเกินกว่าหูเราจะได้ยิน
ถ้าเราไปพูดกับผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านจะว่าเราเพี้ยนไป ความคิดของคนจะเป็นคลื่นเหมือนคลื่นเสียงได้ อย่างไรกัน ไม่เห็นเคยได้ยิน ฉันคิดอะไร ฉันยังไม่ ได้ยินเลยว่าฉันคิดอะไรหูเราไม่ได้ยินเสียงความคิด แต่ถ้าเรามี เครื่องรับคลื่นความถี่สูงเหล่านี่ได้สถานีวิทยุทีกำลังออกอากาศคลื่นที่ออกอากาศนี้
ถ้าเราไม่เปิดเครืองรับวิทยุ ว่านี่นะ ตลื่นที่เราอัดมา เสียงกันในวันนี่จะไปออกทาง เอฟเอ็ม คลื่นเท่านั้นเท่านี้ คลื่นเอเอ็มเท่านั้นเท่านี้ ในเวลานี้นะ เปิดวิทยุเข้า พอเปิดตรงคลีน ก็จะมีเสียงออกมาให้เราได้ยินจริงๆ ทั้งๆ ที่ถ้าเราไปอยู่กลางแจ้ง ไม่ได้เปิดเครื่องรับวิทยุ คลื่นนี้ก็มีอยู่ แต่เราก็ไม่ได้ยิน คลื่นใจของคนเราก็เป็นทำนองนั้น แต่มี อานุภาพมากกว่าคลื่นวิทยุ ตรงที่คลื่นวิทยุนี้ ถ้าเราไม่ชอบใจ เราก็ปิดเครืองรับวิทยุได้ ความคิดของคนเรานี้ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าเราคิดเป็นอกุศล มันก็เป็นไฟ ถ้าคิดเป็นอกุศลก็ มันก็เป็นไฟ แต่ถ้าคิดเป็นกุศลมันก็ร่มเย็นเป็นสุขนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ยืนยันแล้วว่าคลื่นความคิดที่สร้างสรรค์ เป็นเหตุเป็นผล เป็นสมาธิเป็น ฝ่ายกุศล เวลากระเพื่อมไปจะเหมือนเราเอาอะไรทิ้ง ลงไปในน้ำ จะเป็นระลอกคลื่นกระเพื่อมไปจนถึง ชายฝัง แล้วสะท้อนกลับมา คลื่นเหล่านี้จะดึงดูดให้ ประจุลบมาห้อมล้อม เมื่อเคลื่อนไปที่ไหนก็จะดึงดูด ประจุลบเข้ามาเหมือนเป็นกลุ่มหมอกเป็นรังสีห่อหุ้มกันไป ถ้าปริมาณของประจุลบมีมากขึ้น เมื่อคลื่นนี้ผ่านไปถึงจิตใจผู้ที่กำลังหงุดหงิด งุ่งง่าน โกรธ เหมือนมีกองไฟลุกไหม้อยู่ในใจ คลื่นนี้แผ่ความซุ่มเย็น เหมือนมีละอองไอน้ำตกมาพรม จนไฟมอดดับ คนทีกําลังขาดสติจะฆ่ากัน พอคลื่นนี้ผ่านไปถึงเขาจะรู้สึกตัวอะไรกันเสียสติไปแล้วหรือนี้ อย่าเพิ้งเข่นฆ่ากันเลย ก็ระงับดับไปได้ถ้าคลื่นของโทสะ ของอารมณ์ ความไม่มีเหตุ ไม่มีผลกระเพื่อมไป มันจะดึงประจุบวกมาห้อมล้อม เต็มไปหมด คลื่นนี้ผ่านไปถึงตรงไหน เป็นต้นว่าเรา กำลังนั่งร้องเพลงอยู่ดีๆ พอคลื่นประจุบวกผ่านมา จะรู้สึกเหมือนกับมีลมร้อนวูบมาใส่เรา ใจหงุดหงิต ขึ้นมาเดียวนั้นเลย เพลงก็หยุดร้อง แล้วตาขวางใส่ ถ้าใครเกิดโผล่เข้ามาตอนนั้นก็เหยื่อชัดๆ ดีไม่ดีเราก็พ่นวาจาเป็นปืนกลว่าอะไรเขาออกไป พอนึกขึ้นได้ก็ ตายแล้ว... นี่เราบ้าอะไรกัน เพิ่งเห็นหน้าก็ไปกัด เขาเข้าแล้ว มันเป็นอย่างนี้จริง ๆการที่เรารู้อย่างนี้ทำให้เห็นชัดว่า สัมมาอาชีพ นั้นไม่ได้ทำแต่อาชีพข้างนอก ด้วยกายด้วยวาจาเท่านั้น สัมมาอาชีพในใจยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นมาก ใจ ของเราอย่าเผลอสติไปทำร้ายใคร ไปเพ่งโทษใคร ไปเอารัดเอาเปรียบ หรือไปคิดไม่ดีไม่งามกับเขา เพราะเป็นการปล่อยมลพิษออกไป ทำให้บรรยากาศ ของโลกคับเครียด ร้อนรุ่มไปหมด ทุกวันนี้เรากลัว ผลของปฏิกิริยาเรือนกระจก ผลโน้น ผลนี่ ผลนั่น แต่เราไม่เคยนึกเลยว่าจิตใจของเรานี่ตัวร้าย ก่อให้ เกิดความร้อนรุม อุณหภูมิวิปริตแปรปรวนโดยเนื้อแท้ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มนุษย์เรามิใช่เป็นสิ่งแปลกแยก หรือเป็นอะไรที่โดดเดียวขึ้นมาจริงๆ แล้วเราก็คือธรรมชาตินั่นเองถ้าพิจารณาตามธรรม ร่างกายที่เราภาคภูมิใจ ว่าเป็นแต่ละปัจเจกบุคคลนั้น เราเอามาจากไหน เราเอามาจากแผ่นดิน มาเป็นเนื่อตัวเรา ส่วนที่ขันแข็งเป็นผม เป็นเลิบ เป็นกระดูกเป็นหนังก็คือดินเอามาจากดินส่วนที่เป็นน้ำเหลือง น้ำเลือดหรือเป็น วุ้นอยู่ในเซลล์ ก็คือน้ำ ลม ก็คือสิ่งที่เราหายใจเข้า หายใจออก หรือถ้ากินอาหารผิดสำแดง เครื่องย่อยของเราไม่ดี มีลมผิดที่ ก็ทําให้เกิดความเดือดร้อนปันป่วนปวดในท้องดีไม่ดีก็อาจเป็นลมปัจจุบันถึง เสียชีวิตได้ ไฟก็คือไออุ่นที่ได้จากการเผาผลาญสาร อาหารทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิร่างกายให้เป็น ปกติอยู่ได้ ถ้าเมื่อไรไฟธาตุแปรปรวน เราจะรู้สึกไม่สบาย วิงเวียน เป็นลมได้ เราจึงเป็นส่วนหนึ่ง ของธรรมชาติจริง ๆอยู่ดีๆ เราคิดจะดึงเอาดินจากแผ่นดิน จากธรรมชาติมาปันเป็นตัวเราขึ้นมาก็ไม่ได้ นึกถึงตอนแรกเมื่อเราอยู่ในท้องแม่ อยู่ในท้องแม่ก็ได้อาหารของแม่ ซึ่งแม่กินเข้าไปผ่านมาถึงเราทางสายสะดือต้นไม้ใช้รากหยังลงดินไปดูดปุ๋ย ดูดนา มาสังเคราะห์ เป็นใบ เป็นดอก เป็นผล เราก็เอาสิ่งนั้นมากินเข้า ไปทางปาก ซึ่งเปรียบเหมือนรากอากาศ สัตว์กินพืชเราก็กินทั้งพืชทั้งสัตว์อีกทีหนึ่ง เอาดิน ปุ๋ย น้ำ ที่พืช สังเคราะห์ขึ้นมาเป็นเนื้อเป็นตัวเราคือเรา ขโมยดิน ขโมยน้ำ มาจากธรรมชาตินี้แหละ เอามาเป็นเนื้อตัวถ้าเรามีสัมมาอาชีพจริงๆ เราซื่อตรง เราขอยืมธรรมชาติมาเป็นทุนรอนแล้ว เราจะคืนแผ่นดิน
แผ่นน้ํา กลับไปอย่างไร เริ่มแรก เราต้องรู้คุณ ไม่ ทําสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยต่อแผ่นดิน แผ่นน่า ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีหรือสารพิษที่จะทําให้ดินเสีย น้ําเน่า หรือใช้สอยแผ่นดิน แผ่นน่า อย่างพุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย จนคนอื่นไม่มีจะใช้ในสมัยโบราณ พ่อแม่ ปู่ย่าตาทวดของเราที่ท่านจะเคารพรู้คุณธรรมชาติที่ให้ความสมบูรณพูนผล ถึงฤดูปลาวางไข่ก็หยุดจับปลา จนมันวางไข่เสร็จ ลูกปลาตัวเลิกตัวน้อยเกิดขึ้นมา ปลอดภัยดีแล้ว จึงจะจับปลา
สมัยก่อนเรามีค่าพูดกันว่า ในน้ำมีปลาในนามีข้าวเมื่อดิฉันยังเด็กๆคุณแม่พาไปเยี่ยมคุณ ทวดที่ต่างจังหวัด บ้านคุณทวดอยู่ริมน้ำ พอไปนั่ง ทีโป๊ะ เอามือจุ่มน้ำเล่น ปรากฏว่ามีกุ้งก้ามกรามมาเกาะ เราจบถูกหนวดกุง ดึงขึ้นมาก็ได้กุ้งเราเพิ่งอายุ 4-5 ขวบ จับกุ้งขึ้นมาได้ ตอนนั้นในน้ำมี ปลาในนามีข้าว มีอาหารสารพัดสารพัน แต่เดียวนี้ ลงไปจับให้ตายก็ไม่มีกุ้งหรอก ดีไม่ดีอาจถูกขยะทั้งหลายทั้งปวงทำให้มือเราคัน เน่าหรือเป็นอะไรไปได้ ทุกวันนี้ นอกจากเราจะไม่ละไม่เว้นการจับปลาในฤดูที่ปลาวางไข่แล้ว ความซุ่ย ความขี้เกียจ ของเรา พอจะจับปลาก็ช็อตไฟฟ้าลงไป ปลาเล็ก ปลาน้อยตายลอยเป็นแพ เอามากินก็ไม่ได้ โยนทิ้ง เสียไปเปล่าๆ ถ้าปลาเหล่านี้ได้อยู่จนโตก็จะสืบพันธุ์ ต่อให้วัฏจักรนี้อุดมสมบูรณ์สืบต่อกันไป นอกจากนี้ เรายังใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง เปลืองมากๆ ไม่คุ้มค่า ซึ่งถือเป็นหนี้สินกับธรรมชาติที่จะต้องชดใช้ท่านอาจารย์เคยเทศน์ให้ฟังถึงว่า กว่าข้าวจะโตขึ้นมาเป็นต้นข้าว เป็นรวงข้าว แล้วเราไปเกี่ยว ข้าว เอามาขัดสีเป็นข้าวสาร มาหุงมาต้มกินส่วนเราไปซื้อข้าวสาร ซอขาวทเขาหุงตมสุก แล้วมาเป็นถุงๆ เราชาระหนีตามกฎหมายเรียบร้อย แล้ว พอกินแล้วเราไม่ชอบ ไม่ถูกกิเลสเรา เผืดเกิน ไป หวานเกินไป เราเททิ้งจะเป็นอะไรไป ก็เราชําระ หนีตามกฎหมายแล้วท่านอาจารย์บอกว่า นั่นเป็นเพียงสมมุติที่เรา ไปคิดเอาเอง แต่หนีต่อธรรมชาติคือวัตถุประสงค์
ที่อาหารเหล่านี้ต้องกระทํา ยังไม่ได้ชําระ เมื่อเรา ได้อาหารมาแล้ว เราจะใช้หนี้ธรรมชาติได้ครบถ้วน บริบูรณ์ ก็เมือเราเอามากินดับความหิวกระหายของ เรา ได้ใช้สมกับที่ธรรมชาติน้ำแสงแดด และอะไร ต่างๆ จะมารวมกันทำให้ต้นข้าวเกิดรวงข้าวเป็นเม็ดข้าวขึ้นมา แต่ถ้าเราเอาไปแล้วก็ไม่ได้กิน ตัวเองก็ยังหิว ยังแสวงหาต่อไปอีก หรือกินแล้ว อิ่มแล้ว แต่ยังมีอาหารเหลืออยู่ โดยคนหรือสัตว์ที่หิวโหยสามารถ กินได้ แต่เราเอาไปทิ้งให้บูดเน่า เราไม่เอาไปแจก ไม่เอาไปบําบัดความหิวกระหายของเขา เราก็มีหนี้ ส่วนนั้น ต่อไปโลกก็จะลำบาก อย่างที่เราเห็น บาง แห่งขาดแคลนอาหาร เกิดความอดอยาก เกิดโรคระบาดเพราะผู้คนไม่ประมาณในการใช้ทรัพยากร ธรรมชาติให้คุ้มค่า ไม่สุจริตและตระหนักในพระคุณ ของแม่พระธรณี แม่คงคา แม่นภากาศ แม่โพสพ ที่ให้ความสมบูรณ์พูนสุขแก่เราถ้าคิดกันให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เราจะเห็นว่า ธรรมชาติเริ่มเตือนเราแล้ว เริมส่งใบทวงหนี้มาแล้ว ถ้าเราได้คิดแล้วปรับพฤติกรรมของเรา ให้มีสัมมาอาชีพ มีความสุจริต มีจิตใจที่เป็นบุญเป็นกุศล ลดการส่งคลีนของมลพิษไปแปดเปื้อนในบรรยากาศ ความแปรปรวนทังหลายของธรรมชาติก็คงค่อย ๆ คลี่คลายไปในทางดีแต่ถ้าเรายังตาบอดหูหนวก ยังหนักหนาไปด้วยโมหะกันอยู่อย่างนี้ เราก็แก้ผิดวิธี ทำให้ไปทุบไปถองทำให้ใบเตือนยิงมาถีเข้าถี่เข้า แล้วใน ที่สุดธรรมชาติกิตัองเอาชีวิตของเรา ซึ่งเราประเมิน ว่าเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด เป็นค่าปรับไหมเพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ คืนสิ่งที่เราไปฉกฉวยมา แล้วทำ อันตรายต่อธรรมชาติ จนกระทังธรรมชาติกลับมา อุดมสมบูรณ์อย่างเดิมธรรมชาตินั่น ไม่ว่าจะร่อยหรอไปอย่างไร แค่ ไหน ผลที่สุดแล้วสมดุลของธรรมชาติจะกลับคืนมา
โดยทุกสิ่งที่ร่อยหรอไปต้องถูกนํามาชดใช้เพื่อเติม ความอุดมสมบูรณ์ให้ครบถ้วนอย่างเดิม เหมือนคำกล่าวที่ว่า คนกินสัตว์ สัตว์กินพืช พืชกินดิน ดิน กินคนถ้าดูประวัติศาสตร์แล้วจะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
ฉะนั้น เบญจธรรมที่สอนให้เรามีสัมมาอาชีพ กัน อย่าไปถือเอาข้าวของที่เขาไม่ได้อนุญาต ไปลัก ไปโกง ไปละเมิดกรรมสิทธิ์ ไปทำลายธรรมชาติ โดยสําคัญผิดคิดว่าเรามีสิทธิ สามารถทำได้ เมื่อใด ที่เราไปทำลายธรรมชาติ โดยขาดความรอบคอบ ตระหนักรู้ในคุณค่าและพระคุณ ขาดความเคารพใน ความเป็นต้นกําเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวงของธรรมชาติ รวมทั้งความจริงที่ว่า เราเองก็คือเสี้ยวส่วนของ ธรรมชาติ เมื่อนั้นใบทวงหนี้จะหนักหนาสาหัส ถึง สภาพสิ้นโลกได้
ข้อ 3 เบญจธรรมข้อนี้ เราจะมีกามสังวร หรือบางแห่งก็ว่าเราจะมีสทารสันโดษ คือสรุปแล้ว การสังวร ก็คือการสำรวมระวังในการเสพวัตถุกาม คือ รูป รส กลิน เสียง สัมผัส อารมณ์ โดยไม่ จำเพาะเจาะจง จะพึงพอใจอยู่แต่เฉพาะภริยาหรือ สามีของเรา ที่เรียก สทารสันโดษ ก็คือเราจะพึง พอใจแต่ในคู่ครองของเราเท่านั้น สรุปแล้ว ธัมมะข้อนี เราฝึกของเราเอาไว้ ว่า ของอะไรที่เป็นของของเรา เราก็จะพึงพอใจดูแล รักใคร่ ไม่เอาใจไปล่วงละเมิดในสิงของที่เจ้าของเขา หวงแหน บางคนบอกว่า เราเป็นผู้ชายแล้วไปยุ่งกับผู้หญิงอื่นที่ยังไม่ได้แต่งงานถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าผู้หญิง มีพ่อแม่ มีพีมีน้อง หรือมีใครที่คอยดูแล รักและ ห่วงแหน แล้วเราไปยุ่งไปทําให้เขาเสียหายแล้วไม่ รับผิดชอบ พ่อแม่พี่น้องของเขาก็กระทบกระเทือนศีลข้อนี้ก็ผิดทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราไปยุ่งกับ ผู้หญิงที่ไม่มีสามีหรือผู้ชายที่ไม่มีภรรยาแล้วเป็นใช้ได้บางคนก็ไกลไปถึงขันว่า ถ้าฉันมีภรรยาแล้ว แต่ภรรยาฉันไม่ว่าไม่กล่าวก็ไม่ผิด ภรรยาทั้งหลาย ถึงจะขมขื่นใจแค่ไหน อย่างไร แต่ถ้าเราใช้ไม้อ่อน เข้าไว้ อย่างน้อยสามีก็ยังอยู่ ยังเป็นพ่อของลูกเรา จะมีลุกเพิ่มขึ้นมาอีกเราก็ทําใจว่ามีลูกเพิ่มขึ้นมาก็ดี แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องสะเทือนใจทั้งนั้น ไม่มีภรรยาคนไหนที่สามีไปมีคนอื่นมาแบ่งปันแล้วจะเห็นเป็นของดีของงาม ใจทียังไม่เป็นพระอรหันต์จะต้อง จับจองยึดครองเป็นเจ้าของทั้งนั้นสมัยที่ดิฉันจบใหม่ๆ เพื่อนดิฉันมีสามีแล้วบังเอิญได้ข่าวว่าสามีเพื่อนไปหลงใหลได้ปลื้มผู้หญิงอื่น เพื่อนดิฉันทุกข์โศกมาก ทีนี่เรายังเป็นโสดไปถามเพื่อนว่า เป็นอย่างไรบ้าง จะให้ช่วยอะไรไหม เพื่อนก็เปรียบให้ฟังว่า แปรงสีฟันนั้น เป็นของใช้ส่วนตัว ใครจะเอาแปรงสีฟันทีเรารู้อยู่ว่าคนอื่นได้ เอาของเราไปใช้แล้วมาใช้ถูอีกได้ ซึ่งฟังการเปรียบ เทียบก็พอหลับตาเห็นภาพว่าความรู้สึกนั่นมันจะเป็นอย่างไร แค่ไหน เพราะฉะนั้น เรื่องอย่างนี่เราจะอ้างว่า ถามภรรยาแล้วภรรยาว่าไม่เป็นไร ซึ่งเธอก็ต้องพูดว่าไม่เป็นไรอยู่วันยังคํา ดีกว่าเสียไปหมดทั้งตัว เธอก็ต้องพยายามประคับประคองสถานการณ์เอาไว้ แต่เราก็ว่า เฮ้อ เขาว่าไม่เป็นไรๆ เริ่มแรกก็มีคนหนึ่ง ต่อมาก็อีกคนหนึ่งก็เกิดเป็นนิสัย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ถูกศีลถูกธรรม เพราะฉะนั้น เราจะต้องสังวรระวัง แล้วพยายามสร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดขึ้นในจิตใจของเราก่อนที่จะไปถึงเรื่องคนที่เป็นคู่ครอง กามสังวรนี้ที่ท่านบอก ไม่ว่าเราจะเสพรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอะไร
ให้ตั้งสติเอาไว้ แล้วคอยฝึกฝึนใจเอาไว้ ให้เป็นอุปนิสัย ต่อไป พอจะไปถึงเรื่องใหญ่อย่างนั้นใจจะมีภูมิคุ้วกันเยอะแล้วก็จะไม่ไปละเมิดอะไรบ้างทีจะทําให้เราหลงไหลได้ปลืมไป มองดูสิ เดี๋ยวนี้ ร้านอาหาร แทนที่จะกินอาหารเฉยๆบางแห่งก็มีบริกรมา ไม่ใช่มาคอยตักอาหารให้ แต่ทําเหมือนกับเราง่อยเปลี่ยเสียขา มาป้อนให้อีก มันก็เลยค่อยๆ ทําให้จิตใจเราพึงพาตัวเองไม่ได้ แล้ว หลงใหลได้ปลื้มติดข้องในสิ่งเหล่านี้ไป จนกระทั่งสติความรู้สึกตัวค่อยๆ สึกกร่อนไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ระมัดระวังเอาไว้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าประเดี่ยวเดียวอะไรจะเกิดขึ้น เพราะความไม่สํารวมระวังของคนเรา ท่านผู้รู้ท่านเปรียบ เหมือนเราไปยืนอยู่บนตลิ่ง ทรายที่ถูกนําซัดมาอยู่เรื่อยๆ เราก็อวดว่า เรารู้ หรอกน่าว่าถ้าตลิ่งเอียงหรือทําท่าจะยุบยอบ เราวิ่งหนีทัน แต่ความเป็นจริงไม่ทันหรอกมีนิทานเรื่องหนึ่ง เล่าถึงว่านกทั้งหลายกับอีกาอาศัยอยู่บนชายฝั่งน้ำทีมีตันไม้ซึ่งมีผลสุก รสหวาน อร่อยทั้งอีกาและนกอื่นก็บริโภคผลไม้เป็นอาหารอยู่ กันมาด้วยความปกติสุขดี วันหนึ่ง มีซากช้างเน่า ลอยตามน้ำมา อีกาเป็นสัตว์ชอบกินของเน่า มันก็ รื่นเริงบันเทิงในการกินซากช้างเน่า นกทังหลายก็เหมือนพวกเราที่รักษาศีล มีธรรมคุ้มครอง ก็เตือนอีกาว่า อย่าไปติดในรสชาติซากช้างเน่าซึ่งไหลตามแม่น้ำไปเรื่อย ๆเดียวเถอะ ซากช้างจะตกปากอ่าว แล้วก็ไหลไปสู่
มหาสมุทร ก็เหมือนกับพวกเรา ต้องตกลงไปอยู่ในสังสารวัฏอีก มาเกิดใหม่เวียนว่ายอยู่อย่างนี้ ที่เราอุตสาหเข้ามาจนถึงแม่น้ำแล้ว เห็นทางที่จะเดินขึ้นไปถึงตันน้ำ แล้วขึ้นฝังได้ ถ้าเรารักษาศีล ภาวนา
เราก็มีทางที่จะถึงจุดหมายปลายทางอีกาก็ไปว่านก ว่าเจ้าโง่เซ่อ ไม่รู้ว่าถึงซาก ช้างเน่าจะลอยไปถึงมหาสมุทร กาก็สามารถบินกลับ เข้าฝังได้ นกก็เตือนแล้วเตือนอีก เตือนแล้วเตือนอีกอีกาก็ทรนงตัวอยู่อย่างนี้ ในที่สุด มันก็เผลอเพลินเพระเห็นแก่รสจนกระทังพอนึกขึ้นไต้ ซากช้าง เน่าก็ลอยเลยปากอ่าวไปไกล จนมันไม่สามารถบินกลับเข้าฝังได้ แล้วมันก็ตกตายอยู่ในทะเล ก็เกมือนอย่างใจของเรา ที่เราไม่สํารวมระวังในรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส เราไม่มีกามสังวร เราก็จะหลงตายไป แล้วก็เวียนเกิดเวียนตาย ติดอยู่ในสังสารวัฏอยู่อย่างนั้น
ข้อ ๔ คือให้เรามีสัจจะ มีความซื่อตรง ศีลข้อที่คู่กัน คือ ให้เราไม่พูดเท็จ ไม่พูดปด ทีนี้การที่เราจะซี่อตรง บอกกันอย่างนี้ เราก็ว่าง่ายจะตาย เราเป็นคนจริงไม่ใช่คนปลอม เราไม่ใช่คนที่จะไปพูดเท็จโกหกหลอกลวงใคร ลองตั้งสติให้ดี สังเกตเราเอง บางครังเราหิวด้วย เหนือยด้วย นัดกับเพื่อนเอาไว้ 11 โมง รถก็ติดจนถนนเป็นอัมพาต เราจะกินข้าวก่อนก็ไม่ทัน ไปถึง บ้านเขาเกือบบ่ายโมง ท้องร้องจ๊อก หิวจนแทบจะ เป็นลม ในใจคิดว่า พอเจอเถอะ เสือช้างกวางทรายก็จะกินให้เรียบหมด แต่พอไปถึง ปรากฏว่าเพื่อนๆโต๊ะกินข้าวถูกเก็บเสร็จหมด เพื่อนเห็นเราโซซัดโซเซมา เป็นอย่างไรกินข้าวแล้วหรือยัง เมื่อกี้ที่คิดไว้ว่าจะกินเสือช้างกวางทราย โดยมารยาท ทุกคนก็จะบอกว่า ไม่ต้องห่วง ฉันอิม แล้วนี่ก็อยู่ในขอบข่ายของการพูดไม่จริงแต่ด้วยความไม่มีสติ ไม่ได้เจตนา และเมื่อทําอย่างนี้บ่อยๆ ก็จะเป็นอุปนิสัย แล้วต่อไปปากกับใจก็ไม่ตรงกัน พูดออกไปแล้วก็จะนึกว่า ทําไมฉันถึงพูดอย่างนี่นะแต่ก็พูดออกไปทุกที่แล้วทีนี่จะทำอย่างไรเล่า จิตใจมันไม่ได้อย่าง ใจ แต่ตัวทําไปแล้ว แทนทีจะไปทํากิจกรรมที่เป็นปัจจุบันไปตามปกติ ใจยังตกหล่มอารมณ์ตรงนี่อยู่ ทำไมเราจึงพูดอย่างนั้นนะ แหม เราน่าจะพูดความ จริงกับเขาให้เขารู้ เราจะได้ไม่ต้องหิวแสบท้องอยู่ อย่างนี้ วิบเดียวที่สติตามไม่ทัน มันไปแล้ว ไปเป็น การกระทำคำพูด เป็นพฤติกรรมไปแล้ว ซึ่งทำให้เหมือนกับว่าเราไม่มีศีลไม่มีธรรมข้อนี้แต่แล้วก็ให้แล้วกันไป ถ้าเราเป็นคนเด็ดขาด ใจเด็ดขาด อยู่กับปัจจุบันจริงๆ ก็เตือนตัวเองว่าคราวหน้าอย่าทําอย่างนี่อีกเป็นอันขาดนะ แต่ไม่อย่างนั้นสิ คร่ำครวญตกหล่มอารมณ์อยู่ไม่รู้แล้วประเดียวเดียว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใหม่ สติไม่ได้อยู่ กับใจ เอาอีกแล้ว พล่อยปากไปอีกแล้ว รู้อย่างนี้ไม่
พูดอยางทพูดกด ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ก็วุ่นวาย วุ่นวายเพราะเราทําเรา เพราะสติตามไม่ทัน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ถึงข้อ 5
ข้อ 5 คือสติสัมปชัญญะ เป็นข้อที่คู่กับศีลข้อที่ว่าเราจะไม่เสพน้ำเมาสุราเมรัยหรือสิ่งที่เป็นยาเสพติด อะไรก็ตามที่พอเราไปเสพมันเข้าแล้วจะให้สติเลื่อนเป็อน แล้วเรารักษาตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่แต่เฉพาะยาเสพติดเท่านั้นคราวหนึ่ง เราไปวัดกัน เพื่อนดิฉันเป็นคอ กาแฟขนาดหนัก เธอต้องมีกาแฟแห้งพกพาติดตัว ไปเสมอ ถ้าไปที่ไหนหานําร้อนไม่ทัน เธอก็เอา กาแฟแห้งใส่ปาก แล้วก็จะตีนและเป็นปกติได้ ทีนี้ตอนนั้นที่จะไปวัด เธอมีเหตุยุ่งจนจัดกระเป๋าไม่ทัน ตกลงขวดกาแฟก็ไม่ได้เอาไปด้วย พวกเราทุกคนก็ไม่มีใครเอากาแฟติดไปเลยสักคนเดียว ซึ่งเป็นสิงผิดปกติวิสัยมากตื่นเช้าขึ้นมาเธอก็มองหากาแฟ เอ้า ไปเดินจงกรมเถอะ เพื่อจะได้ลืมไม่นึกถึงกาแฟ ก็เจ้ากรรมกุฏิข้างๆ เรา ซึ่งก็ไม่ได้รู้จักกันหรอก เขาชงกาแฟ หอมมาก หอมไปจนกระทั่งถึงทางจงกรม ปรากฏว่า เพื่อนดิฉันเดินตามกลิ่นเข้าไปที่กุฏิเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ยังไม่ทักทายกับเขาด้วย เดินไปหยิบ ถ้วยกาแฟของเขาถ้วยหนึ่ง แล้วก็ไปร่วมวงกาแฟ นั่งจิบกาแฟอย่างมีความสุขจนกาแฟหมดไปครึ่งถ้วยถึงนึกได้ว่าเรายังไม่ รู้จักกันเลย แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่า เขาอนุญาตให้เราว่า ตายจริง ขอประทานโทษเถอะนะคะที่ดิฉันไปเอา กาแฟของคุณมาดื่ม ไม่ทันได้ขออนุญาต บังเอิญคอกาแฟต่อคอกาแฟเขารู้กัน เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไร หรอกเชิญตามสบายพอเรียบร้อย ตื่นสนิท กาแฟหมดไป 2 ถ้วย
ที่ตรงนั้น กลับมาเจอพวกเรา เธอจึงเล่าให้ฟังว่าฉันตกม้าตายตังแต่ตอนเช้าแล้ว ด้วยฉันทําวีรกรรมอย่างนี้ลงไป เราก็เลยได้สติว่า อ้อ... ไม่ต้องเป็นยา เสพติดหรืออะไรหรอก แค่กาแฟธรรมดา ๆ มันก็ทำให้เราประมาทขาดสติ ศีลข้อนี้ ธรรมข้อนี้ กระจุย กระเจิงหมดเลยเราก็มานึกต่อไปว่า นีมันเรืองธรรมดาๆ แล้วเจ้าของกาแฟก็เป็นคนมีศิลมีธรรม แต่ถ้าบังเอิญเราเกิดภาวะอย่างใน แลิ้วเจ้าของกาแฟเป็นอันธพาล หรือมาเฟีย เราก็ไม่มีทางช่วยตัวเอง เพราะเราดื่มของเขาหมดไปครึ่งถ้วยแล้วถึงนึกขึ้นได้ แล้วจึง ไปขออนุญาตเขา เขาบอก ไม่เป็นไรหรอกครับ ดื่มเถอะครับแล้วเกิดวันหนึ่ง เขาติดต่อเรามา คุณครับ ผมอยากไปปล้นที่ตรงนี้ รู้สึกคุณจะเป็นผู้ช่วย ที่ดีของผม ช่วยผมหน่อยนะครับ เขาขอร้อง เราจะ ทำอย่างไรเล่า เราจะปฏิเสธเขาว่า ไม่ได้ ฉันไม่ทำกาแฟครึ่งถ้วยก็อยู่ในท้องเรา ทำให้รู้สึกว่า จะพูดจาหยาบคายกับเขาอย่างนั้นก็พูดไม่ได้ตกลงการที่เราประมาท ขาดสติแค่วิบเดียว เรืองทีมองดูเล็กนิดเดียว แต่เราขายอิสรภาพของ
เราไปแล้ว ถ้าเคราะห์หามยามชวย วิบากกรรมจากตรงนี้หนาแน่น ก็อาจจะพาเราไปทําอะไรต่อมิ อะไร จนในทีสุดเรามีหนีสินล้นพ้นตัว ล้มละลายตาย จากความเป็นมนุษย์ไปก็ได้ท่านจึงว่า สติสัมปชัญญะนันมองดูก็เหมือน กับของเล่นๆ เล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่เล็กไม่น้อยเลย มันสามารถจะทําให้จากจุดเล็กๆ แต่เรากลิ่งเหมือน ลื่นจากภูเขาที่กำลังปีน ก็นึกว่าคงจะลินสัก 2-3 ก้าวแล้วก็ยั้งอยู่ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ ลื่นพรวดเดียว ไม่ได้อยู่ที่พื้นด้วย กลิ่งลงเหวต่อไปอีกด้วย แล้วก็ ไม่รู้ว่าจะปีนขึ้นมาได้อย่างไร ตรงนี้ชี้ให้เราเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเจริญสติกันเข้าไว้ดิฉันเคยเถียงกับอาจารย์ว่า สตินี้เป็นเรื่องแสนจะง่ายเพราะเราเองก็เป็นคนปกติ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีเมื่อไปเริ่มปฏิบัติกับท่านอาจารย์ ท่านก็บอกว่า ศิษย์จะตื่นกี่โมง จะเดินจงกรมจะนั่ง ภาวนาเท่าไร เราคนโตกันแล้วอาจารย์ไม่บังคับ แต่หน้าที่ของศิษย์ตลอดเวลาที่อยู่ในวัดี่ลืมตาตื่นอยู่ จะไม่ทิ้งสติให้คลาดจากใจไปเลยนะ
เราก็นึกง่ายจะตายไป แน่ะ เบ่งอีก สติไม่ให้คลาด จากใจไปเลยนะที่นี่เริ่มต้น เราก็กำหนดของเราไป กำหนด ไป พอตกกลางคืนสวดมนต์ไหว้พระเสร็จจะนอน เราก็ทบทวนว่า วันนี่สติของเรามีมากน้อยแค่ไหนสติของเราต้องอยู่กับใจแน่ ก็ค่อยๆ นึกทบทวนว่า ก่อนสวดมนต์ไหว้พระเราทำอะไรบ้าง ทบทวนๆ ไป ยังไม่ทันถึงบ่าย มันค่อยๆ หายไป กว่าจะถึงเช้า ก็มีช่องโหว่ว่างเยอะเลย ตกลงวันทั้งวันมันโหว่หาย ไปเยอะมาก ทำให้นึกถึงนิทานเซนทีเคยอ่านนิทานเล่าว่า มีลูกศิษย์คนหนึ่ง พออาจารย์ให้ ปริศนาธรรมก็เข้าป่าไปขบคิดปริศนาธรรม จนวัน หนึงก็นึกว่าเราบรรลุแล้ว เราคิดปริศนาธรรมออกแล้ว ก็ดีใจ รีบออกจากป่า จะมากราบเรียนอาจารย์ พอดี ฝนตกก็กางร่มมา พอมาถึงกุฏิท่านอาจารย์ เอาร่มพิงแล้วถอดรองเท้าออกวางไว้ ท่านอาจารย์ก็รู้ แล้วว่าศิษย์จะมาเล่าอะไร ลูกศิษย์เองจิตใจมีสติแค่ ไหน พอลูกศิษย์กราบอาจารย์เสร็จ อาจารย์ก็ถามว่า เออ ข้างนอกฝนตกใช่ไหม เจ้ากางร่มมาหรือเปล่า กางร่มมานี้ แล้วเจ้าเอาร่มวางไว้ข้างซ้ายของ รองเท้าหรือวางไว้ข้างขวาของรองเท้าลูกศิษย์ก็ตอบว่า ข้างซ้าย เอ้อ... ข้างขวา เอ๊ะ มันข้างซ้ายหรือข้างขวาของรองเท้ากันแน่ ก็เราวางมือเองนี่นาในทีสุดก็กราบอาจารย์อีก 3 ครั้งแล้วกลับเข้าป่าไป เพราะรู้แล้วว่าสติวันนี้ยังใช้ ไม่ได้ อย่ามาโม้เลยว่าฉันตีปริศนาออกแล้วตอนอ่าน
เราก็ข้าลูกศิษย์คนนัน โธ์เอ๋ย แค่ นี้ก็ยังไม่รู้ตัวเองเลย อย่าโม้เลยว่าฉันตีปริศนาธรรมแตกแล้ว แต่พอมานึกย้อนว่า วันนี่เราทำอะไรมา บ้างก่อนสวดมนต์ไหว้พระ เราก็ได้สติว่า อย่าไป ยกตนข่มท่านเลย มันก็เข้าตะเภาเดียวกันนันแหละอยู่ไปๆ เราก็ค่อย ๆ เริ่มมองเห็น ที่ราว่า เรามีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ดีนัน มันมีหรือไม่มีกันแน่ ๆซ้ำร้าย ท่านอาจารย์ก็ช่วยตรวจการบ้านให้ว่า ถ้า พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่แล้วมาดูเรา ท่าน คงสมเพชเราเหมือนเราดูคนไข้โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา แล้วเราสงสารเขา ถึงตรงนี่เราก็ว่าซักจะเลยเกินไปแล้ว แต่เมือเรามามองตัวเอง อีอม... ก็ ใช่ ตัวเราเองก็ปานๆ คนโรคจิตเหมือนกันเวลาที่เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมนั้น เรามักจะให้คะแนนตัวเองสูงเกินจริงไป แล้วไม่มีใครทีไหนจะมาเตือนเราได้ ไม่มีใครจะมาบอกเราได้ แต่ถ้าเรา ลงมือปฏิบัติแล้วจับโกหกตัวเอง จะรู้เลยว่างานที่เราต้องทำมีอีกเยอะมาก ๆตอนนี้เราก็จะขวนขวายประกอบสัมมาอาชีพ ของเรา คือระหว่างที่ทำงานการอะไร เราก็ทำด้วย ความตั้งใจ ซื่อสัตย์สุจริต มีสัจจะ มีความจริง มีเมตตา เพราะฉะนัน ธรรม ๕ ข้อนีก็จะมากลมกลืน อยู่ในจริยาวัตรประจําวันของเรา ศีลของเราก็จะค่อย ๆ ละเอียดถี่ถ้วนขึ้นเรี่อย ๆ เราจะมองเห็นว่าการงานทุกอย่างหรืออะไรต่ออะไรที่เกิดขึ้นในชีวิต ประจำวัน คือแบบฝึกหัด คือข้อสอบ ที่ธัมมะจัดสรร มาให้เราทําถ้าจับประเด็นได้อย่างนี้ เราก็จะตั้งอกตั้งใจ ทำการบ้านของเรา ทำแบบฝึกหัดของเรา อย่างแล้วดูใจ ถ้าใจกระฉอกกระเพื่อม แล้วเราไม่สามารถตั้งสติได้ หยุดงานนั้นก่อน มาตั้งหลักให้ใจของเราดีเสียก่อน แล้วจึงทำต่อไป เราก็ไม่ทำเหมือนแต่ก่อนที่เราทําบ้าตะบึงเข้ารกเข้าพง ไม่ได้ ฉันต้องเก่ง ฉันต้องสำเร็จ ฉันต้องวิเศษ แต่ใจจะ เลือดตกยางออก ขาดทุนสูญกำไรเท่าไร เรื่องส่วน ตัวของฉัน คนอีนไม่เกียวถ้าพิจารณาให้รอบคอบ ถ้าฉันขาดใจตายไปตอนนี่ ไปไหนล่ะ อุบายภูมิแน่นอน ใจทีเดือดร้อน กระฉีกกระฉักอย่างนี้ ไม่ได้ไปดีหรอก ไปร้ายแน่ๆตอนนี่ เราก็ได้สติแล้วว่า ใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เพราะเมือหมดลมหายใจแล้ว ใจก็ยังอยู่เป็นตัวที่จะทําให้เราทุกข์เราสุขต่อไป แล้วก็เอามรดกนี่ไปหา บ้านช่องต่อไปอีก สิ่งที่พาเราไปเกิดดี เกิดร้าย ก็ใจตัวนี่แหละ ถ้าเราไม่ฝึกฝนให้ใจมีเสบียง รูทิศทาง ที่ถูกต้อง เราก็ขาดทุนสูญกำไรเพราะฉะนั้น เราพิจารณาเรื่องของเบญจศีล เบญจธรรมให้ถ่องแท้อย่างนี่ แล้วเอาตรงนี่มาเป็น หลักเป็นเครืองเตือนใจเรา ก็ทำให้อะไรที่จะทำลงไป ลัวนเป็นกุศล เมื่อเป็นกุศลกรรมทั้งนั้น
อาหาร เป็นความอิ่มเต็ม ไม่พร่อง พอ บรบูรณ์ เมื่อใจอิ่มใจเต็ม ใจไม่พร่อง ก็เกิดเป็นกําลังขึ้น หมั่นฝึก ไปเรื่อยๆ ความอิ่มความเต็ม ที่ฉ่ำเหมือน กับแช่อิมเอาไว้นี้ ก็จะทําให้เกิดปีติมาหล่อเลี่ยงใจกลายเป็นใจที่อ่อนโยน อะไรมากระทบก็มีภูมิคุ้มกัน ให้คิดหมุนไปหากุศล แทนที่จะสติแตก นอตหลุด กลายเป็นถูกอกุศลธรรมประทับทรง แล้ว พฤติกรรมเราก็เลยพาให้เราขาดทุนสูญกำไรถ้าเราระมัดระวังเราอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ไม่ต้อง ไปเคร่งไปเครียด ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนโนันคนนี้ว่าเขาปฏิบัติไปถึงไหนแล้ว เราขึ้นหน้าหรือว่า ขาดทุนเขา ตัวเราก็ตัวเรา เราเปรียบเทียบกับตัว เราเอง เราแข่งกับตัวเราเอง เราก็ได้ความเจริญ ก้าวหน้า ถ้าเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แข่งกับคนอื่น เราได้เวรได้ภัย ได้ศัตรู ดีไม่ดี ใจเราถลอก ใจเราขึ้นขี่สนิม แต่ถ้าเราแข่งกับเรา เราได้ความ พากเพียร เราได้ความอดทน แล้วเราก็ขวนขวาย บากบันพยายาม จนได้เสบียงติดตัว เป็นสมบัติของเรา ใจก็จะมีแต่ความชื่นบาน มีปีติอิมพอหล่อเลี้ยงแล้วกระจายความปีติอิ่มพอนี้ไปเป็นความเมตตากรุณาเอื่อเฟื้อเกื่อกูลคนอื่นด้วย โลกก็จะร่มเย็นเป็นสุขเดียวนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้น มันแลดู เหมือนอย่างกับว่าทำให้เราใจหายใจคว่า วิตกว่าโลกกำลังจะร้าย กำลังจะรุนแรง แต่ใจของเราเป็นพลังที่มีพลังเหนือพลังใด ๆ ในจักรวาล ถ้าเราช่วยกัน เอาพลังของใจมารวมกัน แล้วแผ่ออกไป ให้เป็นคลีนของความร่มเย็นเป็นสุข เป็นคลีนของความเมตตา ที่จะเอาประจุลบกระจายไปในจักรวาล ว่า อะไรๆ ทีแลดูเหมือนจะเป็นปัญหาก็คงจะคลีคลาย เหมือนพายุฝนที่ตังเค้ามา พอลมพัดประเดี๋ยวเดียวเราก็จะเห็นแสงแดด แล้วจิตใจก็จะแจ่มใสชื่นบาน กัน ก็ขอฝากไว้เป็นขวัญและกำลังใจสำหรับปีใหม่นี่ตลอดไป
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/69-kadtamhaisuy.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น